“งั้นหรือ แต่ข่าวที่ได้รับล่าสุดของมารในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี สหายหานน่าจะรู้แล้ว” หมิงจวินพยักหน้าแล้วเอ่ยออกมา
“แผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี หรือว่าเขาทำเรื่องที่น่าตกตะลึงอันใด?” หานลี่เอ่ยถามพร้อมกับใจหายวาบ
“ใช่แค่ตกตะลึงที่ไหนกัน ครั้งนี้สร้างความสั่นสะเทือนเสียยิ่งกว่ายามที่อยู่ในแดนสวรรค์โลหิต” หมิงจวินเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม จากนั้นพลันสะบัดข้อมือ โยนคัมภีร์ในมือมา
หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียก คว้าคัมภีร์เอาไว้ นำมาแตะที่หน้าผากอย่างไม่ต้องขบคิด กวาดจิตสัมผัสเข้าไปด้านใน
ผลคือผ่านไปเพียงชั่วครู่ เขาก็เลื่อนคัมภีร์ออกด้วยสีหน้าปั้นยาก และค่อยๆ เอ่ยกับผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างแช่มช้า
“คิดไม่ถึงจริงๆ คาดไม่ถึงว่ามารเหี้ยมตัวนี้จะไปล่วงเกินเผ่าเขาแมลง และยิ่งไปกว่านั้นยังสังหารระดับมหายานสี่คน แถมยังสู้กับจิตวิญญาณเที่ยงแท้โบราณสามตน ทว่าที่บอกว่าหายตัวไปหมายความว่าอย่างไร?”
“ง่ายมาก ก็คือหลังจากที่สู้รบกับจิตวิญญาณเที่ยงแท้โบราณสามตน คนผู้นี้ก็หายตัวไปจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี ไม่มีผู้ใดหาเบาะแสของเขาพบอีก” ชายชราเอ่ยอย่างแช่มช้า สีหน้ากังวลใจไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
“อันใด พันธมิตรของท่านพบอันใดหรือ?” หานลี่เป็นผู้ที่อยู่ในระดับไหน ชั่วพริบตาก็มองความแปลกประหลาดในสีหน้าของอีกฝ่ายออก ทันใดนั้นก็เอ่ยถามตรงๆ
“สหายมีดวงตาเฉียบแหลมนัก! ใช่แล้ว ยามที่การต่อสู้เพิ่งจบลง พันธมิตรของข้าเข้าไปตรวจสอบจุดที่มารเหี้ยมหายตัวไป ผลคือพบระลอกคลื่นห้วงเวลาอยู่จางๆ และยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศรอบๆ ก็มีรอยคนแหวกห้วงเวลา แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือคนในพันธมิตรของข้าใช้วิธีการต่างๆ ก็ไม่อาจไล่ตามไปได้” หมิงจวินเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“เช่นนั้นมารเหี้ยมตนนี้ก็หายตัวไปจริงๆ แค่อาศัยพลังของห้วงเวลาหลบหลีกไปชั่วคราว” หานลี่เองก็หน้าเปลี่ยนสี
“ใช่แล้ว เกรงว่าคงเป็นเช่นนั้น” ชายชราตอบกลับอย่างแช่มช้า
“เช่นนั้นพี่หมิงกังวลใจอันใด เหตุใดต้องเรียกข้ามาคุยเรื่องนี้” หานลี่ครุ่นคิด แล้วกลับย้อนถาม
“พี่หานจะถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วทำไมกัน ในเมื่อมารเหี้ยมตัวนั้นปรากฏตัวที่แผ่นดินสวรรค์โลหิต และเสียงเพรียกอัสนีตามลำดับ การจะมาที่แผ่นดินใหญ่วายุปราณของพวกเราก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ในฐานะที่สหายหานอยู่ในระดับมหายานของเผ่าเรา และเป็นสิ่งที่อยู่ระดับยอดที่สุดของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี จะไม่สนใจมารเหี้ยมไร้เทียมทานงั้นหรือ ไม่กลัวว่ามันจะมาทำการบวงสรวงโลหิตที่เผ่าเราหรือ! จากระดับที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าเขาแมลง ยามนี้ยังสูญเสียพลังปราณแท้ไปจำนวนมาก หากเผ่าเล็กๆ ในแผ่นดินใหญ่วายุปราณของพวกเราถูกจับตามองล่ะก็ คงจะตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์” หมิงจวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หึๆ สหายพูดแปลกๆ นะ แผ่นดินใหญ่วายุปราณมีเผ่าต่างๆ ตั้งมากมาย คนผู้นั้นจะบังเอิญมาหาเผ่าที่อ่อนแออย่างพวกเราทำไมกัน ผู้แซ่หานคิดว่าเผ่าใหญ่ๆ เหล่านั้นน่าจะสะดุดตายิ่งกว่า” หานลี่หัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“พันธมิตรของข้าวิเคราะห์การเลือกผู้ที่มาทำการบวงสรวงโลหิตของมารเหี้ยมตัวนั้นแล้ว พบว่ามันดูเหมือนจะไม่มีเป้าหมายชัดเจน แค่พบสถานที่ๆ มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จำนวนมาก ก็อาจจะลงมือบวงสรวงโลหิต แม้ว่าแต่ก่อนเผ่าของข้าจะไม่ค่อยมีชื่อเสียง นั่นเป็นเพราะแต่ก่อนไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน จากจำนวนของคนในเผ่าและระดับความหนาแน่นของคนที่มารวมตัวกันก็เพียงพอจะจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของแผ่นดินใหญ่แล้ว พี่หานมั่นใจจริงๆ หรือว่าเจ้าบ้านั่นจะไม่มาหาเรื่องเผ่าเรา?” ชายชราผมสีแดงเอ่ยอย่างราบเรียบ
“พี่หมิงกำลังข่มขู่ผู้แซ่หาน?” รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
“ข้าน้อยไม่มีเจตนานั้นแน่นอน แค่บอกความจริงเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นจะว่าไปแล้ว มารเหี้ยมผู้นี้ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับสหาย อัตราการตามหาเผ่ามนุษย์ไม่ต่ำดังที่พี่หานจินตนาการไว้แน่” ใบหน้าของหมิงจวินเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“คำนี้หมายความว่าอย่างไร?” หานลี่ตกตะลึงไปเล็กน้อย
“ข้ามีภาพวาดเหมือนอยู่สองคน สหายหานรู้จักหรือไม่?”
หมิงจวินพูดไปพลาง ใช้มือหนึ่งพลิกฝ่ามือไปพลาง คัมภีร์อีกม้วนหนึ่งปรากฏขึ้น แค่ใช้นิ้วทั้งห้าตะปบออกไปแล้วโบกสะบัดไปมาสองสามครั้ง ทันใดนั้นรัศมีลำแสงก็ม้วนวนออกมาจากด้านใน
ท่ามกลางรัศมีลำแสง มีเงาร่างภาพเหมือนบุรุษและสตรีแขวนอยู่ตรงนั้น
“นี่คือ…”
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“ดูแล้วคงรู้จักสองคนนี้จริงๆ ไม่ทราบว่าจะบอกประวัติความเป็นมาสักหน่อยได้หรือไม่” หมิงจวินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็เอ่ยอย่างไม่ประหลาดใจเลยสักนิด
“น่าจะกล่าวได้ว่าข้ารู้จักเพียงคนเดียว สตรีผู้นี้มีนามว่าปิงเฟิง แม้จะไม่ใช่คนของเผ่ามนุษย์ แต่ก็มีที่มาเดียวกันกับข้า อันใด เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับนางหรือ? บุรุษผู้นี้คือผู้ใด” หานลี่จ้องภาพวาดเหมือนเขม็ง ถึงได้สั่นศีรษะแล้วเอ่ยขึ้น
“บุรุษผู้นี้มีประวัติความเป็นมาได้ ข้าก็ไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าเขาน่าจะเป็นคนของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน และยิ่งไปกว่านั้นพันธมิตรของเราพบว่ายามที่เขาต่อสู้กับผู้อื่น เป็นตะขาบยักษ์หกปีก พละกำลังไม่นับว่าอ่อนแอกว่าระดับมหายาน ดูเหมือนว่าเขาและปิงเฟิงจะไปล่วงเกินมารเหี้ยมตัวนั้น คาดไม่ถึงว่าจะถูกมันไล่สังหารจากแดนโลหิตสวรรค์จนมาถึงแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี ข้าสงสัยแม้กระทั่งว่ามารเหี้ยมมาหาเผ่าเขาแมลง ก็เพราะสองคนนี้” หมิงจวินมีสายตาเคร่งขรึมขณะเอ่ย
“ตะขาบหกปีก? ถูกมารเหี้ยมตัวนั้นไล่สังหาร?” แม้ว่าหานลี่จะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมา ก็ยังปกปิดสีหน้าตกตะลึงเล็กๆ ไม่ได้
“อันใด ในที่สุดสหายก็นึกถึงสองคนนี้ออกแล้วหรือ!” หมิงจวินแววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยถาม
“หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ บุรุษผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นสหายเก่าของข้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเช่นนี้” หานลี่จ้องภาพวาดเหมือน แล้วเอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด
“ที่แท้สองคนนี้ล้วนเป็นสหายเก่าของสหาย เช่นนี้เกรงว่าเผ่ามนุษย์คงตกอยู่ในอันตรายแล้ว หากเจ้าบ้านั่นรู้ประวัติความเป็นมาของสองคนนี้ เกรงว่าคงวิ่งมาที่เผ่าของเราแล้ว” หมิงจวินเอ่ยอย่างแช่มช้า
“พูดเกินไปแล้ว แต่ข้ากลับดูเหมือนจะไม่อาจไม่เกี่ยวได้ แต่ไม่ทราบว่าเขาสองคนปรากฏตัวที่ใด ยังอยู่ในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีหรือไม่?” หานลี่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“ตามที่พันธมิตรของเราไปสืบหามา สองคนนี้ดูเหมือนจะหายตัวไปพร้อมกับมารเหี้ยม ในเมื่อสหายรู้จักกับสองคนนี้ คิดว่าพวกเขาจะไปที่ใดหรือ?” หมิงจวินมองหานลี่พลางเอ่ยถามอีกครั้ง
“เรื่องนี้พูดยาก แม้ว่าข้าจะรู้จักพวกเขา แต่ก็ไม่ได้พบหน้ากันหลายปีแล้ว” หานลี่สั่นศีรษะ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“พวกเขาจะกลับไปเฟิงหยวนเพื่อตามหาสหายหรือ?” หมิงจวินกลับซักถามต่ออย่างไม่ปล่อยไป
“ตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปไม่ได้จริงๆ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ปวดหัวแล้ว กล่าวจนมาถึงยามนี้ ข้าน้อยอยากถามพี่หมิงสักหน่อย เจ้าคิดว่ามารเหี้ยมตนนั้นมีโอกาสเป็นเซียนจากแดนเซียนแค่ไหนกัน?” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยถาม
“จากการคาดเดาของข้า มีโอกาสแน่ๆ” หมิงจวินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยแต่หลังจากครุ่นคิด ก็ยังตอบกลับตามความเป็นจริง
“เหตุใดสหายถึงมั่นใจเช่นนี้” หานลี่ลูบใต้คางพลางเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม
“ง่ายมาก เป็นเพราะคนผู้นี้สำแดงอิทธิฤทธิ์ที่เป็นเคล็ดวิชาลับของแดนเซียน จุดนี้ข้ารับประกันได้ เพราะบรรพบุรุษของข้าน้อยคือชนรุ่นหลังสายต้นของเทพเซียน แม้ว่าเคล็ดวิชาลับของแดนเซียนบางส่วนจะไม่ได้ถูกถ่ายทอดมา แต่คำอธิบายและสิ่งที่เป็นรูปธรรมกลับบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน” หมิงจวินตอบกลับพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้น คนผู้นี้ก็เป็นเทพเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย นี่ไม่ใช่ข่าวดีอันใด! ทว่าสหายเรียกข้าน้อยมาพูดมากมายเช่นนี้ คงไม่ได้คิดจะให้ผู้แซ่หานรับมือกับคนจากแดนเซียนเพียงลำพังสินะ” หานลี่เอ่ยถามอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“สหายหานล้อเล่นแล้ว ผู้แซ่หมิงจะคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าน้อยคิดแทนทั้งแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน แค่อยากให้สหายทุกท่านร่วมมือกันเท่านั้น พวกเราขาดการติดต่อจากแดนเซียนไปตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว ยามนี้จู่ๆ ก็มีเทพเซียนที่แข็งแกร่งลงมาจุติ ก็ไม่รู้ว่าเขามีเป้าหมายใดกันแน่? หากเขามาไล่สังหารในแผ่นดินใหญ่ของพวกเราจริงๆ ผู้แข็งแกร่งอย่างพวกเรารวมตัวกัน ก็พอจะบีบให้เขาล่าถอยไปได้ หรือไม่ก็กดเขาเอาไว้ มิเช่นนั้นหากแยกย้ายกัน ก็ทำได้เพียงทำให้อีกฝ่ายมาไล่สังหารเท่านั้น” ใบหน้าของหมิงจวินฉายแววโหดเหี้ยมขณะเอ่ย
“ร่วมมือกัน? ดูเหมือนว่าสำนักสายโลหิตของแผ่นดินใหญ่โลหิตสวรรค์จะเคยทำเรื่องเช่นนี้ และยังถูกอีกฝ่ายใช้พละกำลังทำลายได้ไม่ใช่หรือ” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ปากก็เอ่ยถามอย่างแช่มช้า
“คนของโลหิตสวรรค์เหล่านั้นดูถูกอีกฝ่ายมากเกินไป ขณะที่ยังไม่รู้ประวัติความเป็นมาของอีกฝ่าย ก็รวบรวมระดับมหายานมาแค่สิบกว่าคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นมีผู้แข็งแกร่งแค่สามสี่คน จึงล้มเหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ผู้แซ่หมิงเสนอให้ร่วมมือกันในครั้งนี้ กลับเป็นการร่วมมือกันของผู้แข็งแกร่งระดับแนวหน้าของสวรรค์โลหิต ประกอบพันธมิตรของข้าก็จะเรียกจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่แข็งแกร่งมาร่วมต่อสู้เช่นกัน จึงต้องทำสำเร็จแน่ เทพเซียนคนหนึ่งต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน พละกำลังส่วนใหญ่ก็ถูกผนึกเอาไว้ ไม่อาจต่อกรกับพวกเราที่ร่วมมือกันได้” หมิงจวินเอ่ยอย่างทะนงตัว
“สหายจะเชิญคนมากมายทีเดียวพร้อมกันได้จริงหรือๆ? นอกจากผู้แซ่หานแล้ว มีคนเท่าไหร่ที่ยอมตอบรับมือเรื่องนี้” หานลี่ประหลาดใจเล็กน้อย
“พี่หานโปรดวางใจ นอกจากสหายยังมีสหายอีกกว่าครึ่งที่เห็นด้วย ขอแค่เทพเซียนผู้นี้ลงมาเหยียบแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน พวกเขาก็ยอมเข้าร่วมการร่วมมือกัน ส่วนสหายที่เหลือเชื่อว่าขอแค่ติดต่อไป ภายใต้การเดิมพันนี้ก็น่าจะไม่ปฏิเสธ ถึงอย่างไรเสียผู้ใดก็ไม่อยากให้เทพเซียนคนหนึ่งมาทำลายแผ่นดินใหญ่ของตัวเอง” หมิงจวินตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
“ในเมื่อพี่หมิงขบคิดถี่ถ้วนแล้ว ผู้แซ่หานก็ตกลงชั่วคราว แต่หากพันธมิตรของเจ้าไม่อาจหาผู้แข็งแกร่งที่เพียงพอได้ ข้าน้อยก็จะสะบัดหน้าจากไปทันที” หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสขณะขบคิด แล้วถึงได้พยักหน้าอย่างแช่มช้า
“ฮ่าๆ พี่หานโปรดวางใจ หากไม่อาจรวบรวมคนให้ครบได้ ผู้แซ่หมิงเองก็ไม่มีทางไปตายฟรีๆ ยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นนี้ สหายเก็บไว้ให้ดี ถึงยามนั้นขอแค่มีข่าวของเทพเซียน ข้าจะส่งข่าวให้ทุกท่านทันที และให้ทุกท่านไปรวมตัวกันให้ไวที่สุด” หมิงจวินหัวเราะร่า แล้วเอ่ยอย่างดีใจยิ่ง
จากนั้นเขาก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์สีเงินอ่อนแผ่นหนึ่งบินออกมา
หานลี่พยักหน้า สะบัดแขนเสื้อ ม้วนยันต์วิเศษเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบ