หลังจากผ่านไปครึ่งปี ยามที่สำเภายักษ์สีดำปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือเมืองเทวะสวรรค์ เผ่ามนุษย์และปีศาจในเมืองล้วนพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
ไม่เพียงอาวุโสของทั้งสองเผ่าจะออกจากที่พักด้วยความนอบน้อม แล้วพลันทำความเคารพไปทางสำเภา และรายงานม่อเจี่ยนหลีที่ฝึกฝนอยู่ใกล้ๆ เมืองเทวะสวรรค์พอดีอย่างเร็วที่สุด
หานลี่เรียกระดับผสานอินทรีย์เข้าพบ ให้ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ในสำเภาเลือกที่จะอยู่หรือจะจากไปไปด้วยตัวเอง แล้วพามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่ยินยอมจะอยู่ไปรอม่อเจี่ยนหลีให้สำเภาศักดิ์สิทธิ์
หนึ่งวันต่อมาเมื่อเสียงหัวเราะสดใสดังมาจากจุดที่ไกลออกไป หานลี่ที่กำลังคุยกับหนานกงหวั่นในห้องโดยสารบนสำเภา พลันยืนขึ้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มทันใด
“พี่ม่อมาแล้ว อิงเอ๋อร์เจ้าตามข้าไปต้อนรับด้วยกันเถิด”
“แต่สหายม่อเจี่ยนหลี หวั่นเอ๋อร์เห็นท่วงท่าอันสง่างามของเขาพอดี” สองสามวันที่ผ่านมาหนานกงหวั่นรู้เรื่องของระดับมหายานเผ่ามนุษย์ผู้นี้จากปากของหานลี่นานแล้ว พอได้ยินก็ฉีกยิ้มเบิกบาน
หานลี่หัวเราะร่าสะบัดแขนเสื้อ รัศมีสีเขียวม้วนวนออกมา ห่อหุ้มตนและผู้ที่อยู่ด้านข้างเอาไว้ แล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งออกมา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ด้านหน้าสำเภายักษ์บนดาดฟ้าก็มีลำแสงหลีกหนีสว่างวาบ หานลี่และหนานกงหวั่นยืนเคียงไหล่กันอยู่ตรงนั้น และกำลังมองในจุดที่ไกลออกไป
เห็นเพียงไกลออกไปมีเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุด สายรุ้งสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น ใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อพุ่งเข้ามา แค่กะพริบวาบๆ ก็เลือนรางแล้วปรากฏตัวเหนือสำเภายักษ์
“น้องหาน ไม่ได้พบกันนาน สบายดีหรือไม่”
สายรุ้งสีขาวหมุนวนกลางอากาศ ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง เผยชายชราที่มีสีหน้ามีกำลังวังชาออกมาคนหนึ่ง หลังจากกวาดตามองหานลี่ที่อยู่ด้านล่าง ก็เอ่ยปากพร้อมกับยิ้มจนตาหยี
“ขอบพระคุณพี่ม่อเป็นห่วง แม้ว่าครั้งนี้น้องจะออกไปข้างนอกได้ไม่นาน แต่ในที่สุดก็บรรลุปรารถนาที่ยาวนานได้ หาคู่บำเพ็ญเพียรที่แดนมนุษย์ของข้าน้อยพบ หวั่นเอ๋อร์รีบคารวะพี่ม่อเร็ว” หานลี่ประสานมือคารวะไปกลางอากาศ แล้วเอ่ยแนะนำด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“อันใด เซียนผู้นี้คือน้องหญิงหรือ?” ม่อเจี่ยนหลีได้ยินย่อมตกตะลึง
“หนานกงหวั่นคารวะท่านอาวุโสม่อเจี่ยนหลี แม้ว่าข้าจะถูกกักอยู่ในสวรรค์วิญญาณ แต่ก็ได้ยินเรื่องของท่านอาวุโสมาจากปากของสามีสองสามครั้ง เผ่ามนุษย์ประคับประคองไปได้เพราะพลังของท่านอาวุโส ข้าเลื่อมใสท่านเป็นอย่างยิ่ง” หนานกงหวั่นเข้ามาคารวะแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
“เซียนหนานกงเกรงใจเกินไปแล้ว รีบลุกขึ้นเถิด ตาเฒ่าและสหายหานก็นับว่าสนิทสนมกัน ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทขนาดนั้น จากนี้เจ้ากับข้าก็ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว หากไม่รังเกียจเรียกข้าว่า ‘พี่ม่อ’ ก็ได้” ม่อเจี่ยนหลีพิจารณาหนานกงหวั่นรอบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
หนานกงหวั่นฉีกยิ้มเริงร่า รู้ว่าอีกฝ่ายและหานลี่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก จึงไม่มีข้ออ้างที่จะไม่เรียกว่า ‘พี่ม่อ’
ม่อเจี่ยนหลีได้ยินก็ฉีกยิ้มเบิกบาน หลังจากครุ่นคิดแล้ว ทันใดนั้นก็ควักกล่องหยกสีเงินอ่อนออกมา ใช้น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยว่า
“ในเมื่อเรียกข้าว่า ‘พี่ม่อ’ ได้พบกับพี่ชายครั้งแรกย่อมไม่อาจมามือเปล่าได้ ข้าเพิ่งได้เข็มบดหยินเทว
นารีมามีทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดเล่ม มันมหัศจรรย์มาก นับว่าเป็นสมบัติระดับสุดยอดที่หายาก ถือว่าเป็นของขวัญให้กับน้องหญิงก็แล้วกัน”
หนานกงหวั่นเองก็เป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา ก็รู้ว่าเข็มบดหยินเทวนารีต้องไม่ธรรมดา จึงเอ่ยขอบคุณ แล้วถึงได้ก้าวมาข้างหน้าพลางรับกล่องสีเงินด้วยมือทั้งสองมือ และเปิดฝาออกดูทันที
เห็นเพียงด้านในมีเข็มบางๆ สีดำความยาวสองสามชุ่นวางอยู่ร้อยกว่าเล่ม ทุกเล่มดูเหมือนจะบางเฉียบ แต่ผิวมีผลึกลำแสงวาววับ และมีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ออกมา หลังจากที่สัมผัสกับกับจิตสัมผัส คาดไม่ถึงว่าจะเย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็งก็ไม่ปาน
หนานกงหวั่นพลันตกตะลึง รู้ว่าสมบัติชุดนี้ล้ำค่ามากกว่าที่คิดเอาไว้ หลังจากเอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจแล้ว ถึงได้เก็บกล่องสีเงินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
หานลี่ที่อยู่ด้านข้างมองทุกอย่างด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยปากให้หนานกงหวั่นปฏิเสธของขวัญของม่อเจี่ยนหลี
“พี่ม่อ เจ้ากับข้าไปคุยรายละเอียดกันด้านในเถิด ที่ผู้แซ่หานออกไปข้างนอกในครั้งนี้ ได้ไปที่แผ่นดินใหญ่สวรรค์โลหิต และได้เห็นของต่างๆ มากมาย และยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวดีและข่าวร้ายมาบอกสหายด้วย” หานลี่และม่อเจี่ยนหลีพูดคุยกันตามมารยาทอีกครั้ง ในที่สุดก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อ่อ ข่าวดีและข่าวร้าย เช่นนั้นผู้แซ่ม่อต้องตั้งใจฟังแล้ว” ม่อเจี่ยนหลีใจหายวาบ แต่กลับพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ประหลาดใจนัก
“เรียนเชิญพี่ม่อเถิด”
หลังจากที่หานลี่เบี่ยงกายไปด้านข้าง ก็นำทางม่อเจี่ยนหลีเดินกลับไปยังห้องโถงในห้องโดยสารของเรือสำเภาพร้อมกับหนานกงหวั่น
ทั้งสามเพิ่งจะร่อนลง ม่อเจี่ยนหลีก็เอ่ยปากถามตรงๆ
“ยามนี้น้องหานคงพูดได้แล้วสินะว่าเหตุใดถึงมีข่าวดีและข่าวร้าย”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบว่าพี่ม่ออยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน?” หานลี่หัวเราะน้อยๆ แล้วย้อนถาม
“เพื่อจะได้สบายใจก่อน แน่นอนว่าต้องฟังข่าวดีก่อนค่อยฟังข่าวร้าย ข่าวร้ายนั้นต่อให้ร้ายขนาดไหน มีข่าวดีรองไว้ก่อน ผู้แซ่ม่อก็ดีใจได้สักนิด” ม่อเจี่ยนหลีหัวเราะอย่างขมขื่นขณะตอบกลับ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่หานจะพูดตรงๆ ความจริงแล้วที่ข้าออกจากเผ่าในครั้งนี้ นอกจากอยากตามหาหวั่นเอ๋อร์ที่ติดอยู่ในสวรรค์วิญญาณแล้วยังมีอีกเรื่อง ก็คือช่วยสหายเผ่ามนุษย์ที่ติดอยู่ในแผ่นดินใหญ่สวรรค์โลหิตมาหลายปี ข่าวดีที่ข้าได้รับมาก็คือยามนี้สหายผู้นี้ไม่เพียงจะหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังบังเอิญบรรลุระดับมหายานได้ไม่นานด้วย” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อันใด เผ่ามนุษย์ของพวกเรามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานปรากฏตัวขึ้นใหม่อีกคนหรือ น้องหาน เจ้าไม่ได้หลอกตาเฒ่าสินะ” ม่อเจี่ยนหลีที่แต่เดิมนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ส่งเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ยืนขึ้นทันที แล้วเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ
“หึๆ สหายผู้นั้นคือผู้ที่ผู้แซ่หานช่วยมาด้วยมือของตัวเอง จะหลอกลวงได้อย่างไร ทว่าเป็นเพราะระดับของสหายผู้นี้ยังไม่มั่นคงและเงื่อนไขพิเศษบางอย่าง จึงต้องพักอยู่ที่แผ่นดินใหญ่สวรรค์โลหิตอีกสักสองสามปี ถึงจะกลับมายังเผ่าได้” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน
“ฮ่าๆ ในเมื่อเผ่ามนุษย์มีระดับมหายานเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง กลับมาช้าหน่อยจะกลัวอันใด ใช่แล้ว สหายผู้นี้แซ่อันใด ตาเฒ่ารู้จักหรือไม่?” ม่อเจี่ยนหลีฉีกยิ้มฉับพลันนั้นก็นึกอันใดได้พลางเอ่ยถาม
“สหายผู้นี้…ไม่ น่าจะบอกได้ว่ายามที่เซียนผู้นี้ออกจากเผ่า ก็อยู่ในระดับผสานอินทรีย์แล้ว นามว่า
วิญาณน้ำแข็ง พี่ม่อน่าจะเคยได้ยิน” หานลี่ครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“วิญญาณน้ำแข็ง เซียนวิญญาณน้ำแข็ง! พอเจ้าพูดข้าก็พอจะนึกออก ดูเหมือนนางจะเป็นผู้ที่บรรลุขึ้นมาเช่นกัน ตอนนั้นที่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ ข้าก็เคยได้ยินสหายเอ๋าเสี้ยวเอ่ยถึงครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าไม่ได้พบกันแค่ไม่กี่ปี สหายวิญญาณน้ำแข็งจะมาถึงขั้นนี้แล้ว ม่อเจี่ยนหลีครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างถึงบางอ้อ
“ใช่แล้ว สหายวิญญาณน้ำแข็งและข้าเองก็นับว่ามีที่มาเดียวกัน ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะบรรลุระดับมหายานได้จริงๆ แต่สำหรับเผ่ามนุษย์แล้ว กลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก!” หานลี่หัวเราะขณะเอ่ย
“แน่นอน เผ่ามนุษย์ของพวกเราไม่เคยมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานปรากฏขึ้นพร้อมกันมากกว่าสามคน และยิ่งไปกว่านั้นน้องหานก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดของระดับมหายาน อิทธิฤทธิ์เพียงพอจะต้านทานระดับมหายานสองสามคนได้อย่างไม่มีปัญหา จากพลังที่แท้จริงแล้ว เผ่ามนุษย์ก็เริ่มขยายอาณาเขตได้อย่างเป็นทางการ เพื่อครองโลกได้แล้ว” ม่อเจี่ยนหลียินดี แววตาเปล่งประกายวาววับขณะเอ่ย
“ขยายอาณาเขต! ยามนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีอันใด” หานลี่ได้ยินพลันเลิกหางคิ้วขึ้น สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“อ่า เพราะเหตุใด? จากพละกำลังของเผ่าเราในยามนี้ เผ่าพฤกษาสามง่ามราตรีและเผ่าต่างๆ ล้วนไม่อาจมาโจมตีได้ น้องหานกังวลอันใด?” ม่อเจี่ยนหลีตกตะลึงไปเล็กน้อยแล้วพลันขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับข่าวร้ายที่ข้ากำลังจะพูดต่อจากนี้” หานลี่เอ่ย
“ข่าวร้าย…แน่นอน ผู้แซ่ม่อย่อมดีใจก่อน ยังไม่ได้ฟังข่าวร้ายจากปากสหายหาน มันร้ายแรงมากหรือ?” ม่อเจี่ยนหลีใจเต้น
“ร้ายแรงหรือไม่ หากสะเพร่า อาจจะทำให้เผ่าของเราล่มสลาย” ครั้งนี้ถึงตาหานลี่ที่ต้องหัวเราะอย่างขมขื่นแล้ว
“อันใด คาดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงระดับนั้น น้องหานรีบพูดมาเร็วเข้า” ม่อเจี่ยนหลีหน้าเปลี่ยนสี
“เรื่องนี้ข้าเองไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ส่วนใหญ่ล้วนได้ข่าวนี้มาจากพันธมิตรเฮ่อเหลียนซาง แต่ยามที่ออกจากแดนสวรรค์โลหิต ทั้งแผ่นดินต่างหวาดกลัวเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเซียนเที่ยงแท้ที่เพิ่งลงมาจุติ…” เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก หานลี่จึงไม่มีเจตนาจะปกปิดเลยสักนิด บอกเรื่องที่ตนรู้เกี่ยวกับการบวงสรวงโลหิตและเรื่องเซียนเที่ยงแท้ออกมาจนหมด
“ข้าตอบรับการร่วมมือกับหมิงจวินชั่วคราว หากมีโอกาสกดเซียนเที่ยงแท้ผู้นั้นได้จริงๆ เกรงว่าข้าคงทำได้เพียงลงมือสักครั้ง ถึงอย่างไรเสียหากอีกฝ่ายมาหาเรื่องเผ่ามนุษย์ แค่พลังของเผ่าเราเกรงว่าคงต้านทานเทพเซียนได้ยาก พี่ม่อมีความรู้สึกกว้างขวาง มีวิธีการอื่นหรือไม่?” หลังจากผ่านไปหนึ่งกาน้ำชาเต็มๆ หานลี่ถึงได้หยุดชะงักคำพูด แล้วเอ่ยถามชายชราอย่างเคร่งขรึม
“คาดไม่ถึงว่าจะมีเทพเซียนมาปรากฏตัวที่แดนวิญญาณ…เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ! ความจริงแล้วมันยิ่งใหญ่เกินไป น้องหานให้ข้าคิดสักหน่อย แล้วค่อยมาตอบคำถาม” ม่อเจี่ยนหลีได้ยินพลันตกตะลึงจนตาค้าง สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสชั่วครู่ ถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว พี่ม่อไตร่ตรองให้ดีเถิด หวั่นเอ๋อร์ ให้คนไปเตรียมชาวิญญาณมา” หานลี่หันหน้าไปเอ่ยกับหนานกงหวั่น
“สามี อิงเอ๋อร์ไปชงชาวิญญาณที่มีแค่ในสวรรค์วิญญาณให้พี่ม่อชิมก็แล้วกัน” หนานกงหวั่นที่เอาแต่ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยอันใด เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ในยามนี้ ก็หยัดกายลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ก็ดี”
หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
ดังนั้นหนานกงหวั่นจึงคารวะม่อเจี่ยนหลีเล็กน้อย แล้วเดินนวยนาดถอยออกไปจากห้องโถง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ น้ำชาวิญญาณที่ดูเหมือนอำพันกาหนึ่งถูกรองไว้ด้วยจานทรงกลมสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกถูกยกเข้ามาในห้องโถง
หนานกงหวั่นลงมือด้วยตัวเอง หลังจากเทให้หานลี่และม่อเจี่ยนหลีแล้ว ถึงได้ฉีกยิ้มเบิกบานพลางนั่งลงตรงที่นั่งอีกครั้ง
ยามนี้ม่อเจี่ยนหลีดูเหมือนจะนึกอันใดออก ในที่สุดก็เอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“น้องหาน ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ รู้สึกว่ายังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าเจ้ารู้หรือพันธมิตรเฮ่อเหลียนซางเอ่ยกับเจ้าหรือยัง!”
“เรื่องอันใด พี่ม่อพูดมาเถิด” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีพลางตอบกลับ