“ในเมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือเซียนลงมาจุติ แต่รู้เป้าหมายที่อีกฝ่ายลงมาที่แดนวิญญาณได้อย่างไร ต้องเข้าใจว่าแดนของพวกเราขาดการติดต่อกับแดนเซียนไปนานแล้ว อีกฝ่ายใช้ร่างเซียนลงมาจุติ ไม่เพียงจะต้องรับพลังแรงกดของกฎเกณฑ์แห่งแดน และไม่รู้ว่าต้องเสียของมีค่าเท่าใดถึงจะทำเรื่องนี้ได้ หากจะบอกว่าอีกฝ่ายแค่ลงมาที่แดนของเราโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้ากลับไม่ค่อยเชื่อนัก” ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
“เรื่องนี้ยังไม่แน่ใจนัก ข้าเองก็ไม่ได้ข่าวจากพันธมิตรเฮ่อเหลียนซาง นอกจากสหายที่เพลี้ยงพล้ำไปแล้วและวิญญาณเที่ยงแท้เผ่าต่างๆ ที่ถูกบวงสรวง ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดสัมผัสกับเซียนผู้นี้ และไม่ต้องเอ่ยถึงการสืบหาเป้าหมายที่อีกฝ่ายลงมาแดนล่าง” หานลี่สั่นศีรษะขณะเอ่ย
“หากข้าเป็นเจ้าของพันธมิตรซาง จะต้องยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสืบหาเรื่องนี้แน่” ม่อเจี่ยนหลีลูบเคราแล้วหัวเราะหึๆ
“พี่ม่อพูดมีเหตุผล ได้ ข้าจะแนะนำสหายหมิงจวินทันที ให้เขาดูว่ามีวิธีทำได้หรือไม่ ทว่า ข้าว่าคงมีโอกาสไม่มากนัก” หานลี่พยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“ต่อให้โอกาสน้อยแค่ไหนก็ต้องช่วงชิงมา ขอแค่พวกเรารู้เป้าหมายของอีกฝ่าย กว่าครึ่งคงควบคุมจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ ไม่ว่าจะต่อสู้หรือพูดคุยกับเขา ล้วนได้เปรียบกว่า” ม่อเจี่ยนหลีเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“นอกจากเรื่องนี้ พี่ม่อยังคิดจะแนะนำอันใดที่มีประโยชน์หรือไม่?” หานลี่ซักถามชายชราหนึ่งประโยค
“ตาเฒ่าเพิ่งได้จากน้องหานเมื่อครู่ เจ้ามีคนรู้จักสองคนที่มีความแค้นกับเซียนผู้นี้ และได้ยินว่าอีกฝ่ายไล่สังหารมาถึงแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีถึงได้หายตัวไป เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่” ม่อเจี่ยนหลีครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง
“เรื่องนี้สหายหมิงจวินพูดเอง กว่าครึ่งคงไม่ผิด สหายเก่าทั้งสองของข้าล้วนไม่ใช่คนของเผ่ามนุษย์ คนหนึ่งเป็นสหายสนิทของข้า คนหนึ่งกลับจะเป็นศัตรูก็ไม่ใช่สหายก็ไม่เชิง” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาขณะตอบกลับ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นน้องหานก็หาวิธีติดต่อทั้งสองคนจะดีกว่า แม้ว่าจะไม่รู้ว่าพวกเขาไปสร้างความแค้นกับเซียนผู้นั้นได้อย่างไร แต่หากรู้เบาะแสของพวกเขา เผ่าของเราก็จะเป็นฝ่ายรุกได้” ม่อเจี่ยนหลีเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ความหมายของพี่ม่อคือ เวลาจำเป็นต้องเอาพวกเขามาล่อ?” หานลี่ขมวดคิ้วแน่น
“หากเทพเซียนผู้นั้นไล่ตามพวกเขามาที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนจริง เขาสองคนจะไปหลบที่ใดได้! ไม่ว่าจะเพื่อปกป้องชีวิตของพวกเรา หรือว่าเพื่อล่อเซียนผู้นั้นไปที่ไหน เกรงว่าเขาสองคนคงต้องเป็นเหยื่อล่อ สหาย
หมิงจวินของพันธมิตรเฮ่อเหลียนผู้นั้นคงจะคิดเช่นนั้น ดังนั้นถึงได้บอกเจ้าตรงๆ” ม่อเจี่ยนหลีหัวเราะอย่างเย็นชาขณะเอ่ย
“อือ หากเอามาล่อ ดูเหมือนเขาสองคนจะเคยทำที่สวรรค์โลหิตครั้งหนึ่ง จะควบคุมได้หรือไม่ เรื่องนี้ต้องปรึกษากันให้ละเอียด ทว่าหากพวกเขามาขอที่พึ่งพิงเผ่ามนุษย์ของพวกเรา ไม่ว่าจะในความสัมพันธ์ เขาสองคนน่าจะยอมร่วมมือกับพวกเรา แต่ยามนี้จะติดต่อพวกเขานั้นไม่ง่าย รอให้ข้ากลับไป ออกคำสั่งผู้ใต้อาณัติให้ออกไปจัดการ” หานลี่ครุ่นคิดชั่วครู่ถึงได้พยักหน้าขณะเอ่ย
“หากสหายทั้งสองยอมร่วมมือ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ส่วนเทพเซียนผู้นั้นจะติดกับหรือไม่ น้องหานไม่ต้องกังวล อีกฝ่ายกล้าบวงสรวงวิญญาณเที่ยงแท้นับร้อยล้านตนอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ระดับความบ้าบิ่นของเขาแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว หรือหมายความว่าไม่ได้มองผู้บำเพ็ญเพียรของแดนเราอยู่ในสายตา ต่อให้ติดกับอีกฝ่ายก็จะเหยียบเข้ามาอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด หวังว่าเป้าหมายของเทพเซียนผู้นี้จะไม่ได้มาเหยียบแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน มิเช่นนั้นต่อให้พวกเจ้าชนะ กว่าครึ่งก็คงทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยคาวโลหิต เผ่าต่างๆ ต้องแลกกับค่าตอบแทนมหาศาล ถึงอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นเทพเซียนตัวจริงเสียงจริง!” ม่อเจี่ยนหลีหัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย
“จากอิทธิฤทธิ์ที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาของเซียน แผนการคงใช้ไม่ได้นัก หวังว่าคงจะไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง” หานลี่ครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วถอนหายใจพลางเอ่ยสนับสนุน
“อืม เรื่องที่น้องหานเข้าร่วม ข้าว่าทำถูกแล้ว มิเช่นนั้นอาศัยแค่พลังของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน ล้วนไม่อาจต่อกรกับเซียนผู้นี้ได้ น่าเสียดายพลังของตาเฒ่าเป็นแค่ระดับมหายานทั่วไป ไม่อาจช่วยเหลือได้มากนัก แต่เจ้าวางใจ หลังจากกลับไปข้าจะตั้งใจฝึกฝนเพิ่มพละกำลัง ทุกอย่างในเผ่าก็มอบให้ตาเฒ่าจัดการ ข้าจะให้ทุกคนมารวมตัวกันในเมืองโดยเร็วที่สุด เพื่ออพยพก่อนชั่วคราว ให้คนส่วนใหญ่ไปซ่อนในเขตรกร้าง เช่นนั้นต่อให้คลื่นมาถึงเผ่ามนุษย์ของพวกเรา ก็ต้องทำให้สูญเสียน้อยที่สุด นอกจากนี้ข้าจะวางเขตอาคมที่ร้ายกาจไว้ในเมืองอีกครั้ง เพื่อป้องกันสิ่งที่คาดไม่ถึง” ม่อเจี่ยนหลีเผยสีหน้าละอายใจออกมาหลายส่วน พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่ม่อพูดสุขุมรอบคอบนัก ทุกอย่างว่าตามที่สหายกล่าวก็แล้วกัน ข้าเองก็จะไม่อยู่นานแล้ว พรุ่งนี้จะกลับไปที่วังชิงหยวน” หานลี่ครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างเห็นด้วย
ดังนั้นทั้งสองจึงพูดคุยอยู่ภายในห้องโถงอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดม่อเจี่ยนหลีก็หยัดกายลุกขึ้นกล่าวลา
หานลี่พาหนานกงหวั่นมาส่งระดับมหายานของเผ่ามนุษย์ที่ดาดฟ้า มองเห็นเขากลายเป็นสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไปอีกครั้ง
“สามี ท่านกลับไปแล้วจะกักตนอีกจริงๆ หรือ?” หนานกงหวั่นรอจนสายรุ้งสีขาวที่ขอบฟ้าสลายหายไป ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหันมาถามหานลี่
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครั้งนี้ที่ข้าออกไปได้เคล็ดวิชาลับมาสองสามชนิด แม้ว่าการเรียนรู้พวกมันในระยะเวลาอันสั้นจะเป็นไปไม่ค่อยได้ แต่หากเรียนรู้ได้สักส่วน ถึงยามนั้นก็อาจจะนำมาใช้ได้” หานลี่ลูบใต้คางแล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“อืม สามีคิดเช่นนี้ถูกแล้ว แต่ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเพิ่งกลับมาในเผ่า ทั้งเผ่าก็จะอาจจะล้มสลาย สิ่งที่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราอยากเดินต่อ ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย” แววตาสดใสของหนานกงหวั่นเปล่งประกาย ใบหน้าเรียวมีสีหน้าใจคอแห้งเหี่ยว
“หวั่นเอ๋อร์ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว เดิมผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราก็เป็นเรื่องเหนือฟ้าอยู่แล้ว ความยากลำบากต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องปกติ ขอแค่จัดการได้ก็พอแล้ว หึๆ การสู้รบกับคนนั้นจะน่าสนุกอันใด ต่อสู้กันเทพถึงจะสนุกสุดๆ” หานลี่ได้ยินกลับหัวเราะร่า หลังจากสะบัดแขนเสื้อก็หันกลับเดินเข้าไปในห้องโดยสาร
หนานกงหวั่นเห็นท่าทางของหานลี่ ก็ตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดขึ้นได้ มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา สาวเท้าเดินตามไปอย่างมีชีวิตชีวา
วันที่สองสำเภายักษ์สีดำที่เดิมลอยอยู่เหนือเมืองเทวะสวรรค์พลันสั่นเทา ทันใดนั้นก็ส่งเสียงอึกทึกแล้วพุ่งแหวกอากาศออกไป
…
สองเดือนต่อมา มหาสมุทรอู๋หยา เกาะหยวนเหอ ด้านวังชิงหยวน สำเภายักษ์สีดำพลันร่อนลงไป
บนจัตุรัสที่กว้างใหญ่ด้านล่าง มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น!
ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์และปีศาจนับไม่ถ้วนล้วนคารวะอยู่บนพื้นศิลาสีเขียว น้อมรับการกลับมาของท่านปรมาจารย์หานลี่
เงาร่างคนบนสำเภายักษ์สีดำพลิ้วไหว หานลี่และหนานกงหวั่นเดินเคียงไหล่กันลงมา ด้านหลังมีบรรพชนหัวสือ จูกั่วเอ๋อร์และพวกตามมา
“ยินดีต้อนรับท่านปรมาจารย์ที่กลับมา!”
ผู้คนนับหมื่นคนเอ่ยทักทายจนดังก้องไปทั่วจัตุรัสไม่หยุด ทุกคนล้วนมีสีหน้านอบน้อม
หานลี่พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอันใดพลางสาวเท้าไปที่ประตูวังชิงหยวน หนานกงหวั่นที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับตกตะลึงยิ่ง
ก่อนหน้านี้แม้ว่าหานลี่จะบอกว่าตนสร้างฐานเผ่ามนุษย์ขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีขอบเขตที่ยิ่งใหญ่และลูกศิษย์มากมายขนาดนี้
ถึงอย่างไรเสียนางคิดว่าสามีของตนเพิ่งจะบรรลุระดับมหายานได้ไม่นาน ต่อให้ได้รับการสนับสนุนจากเผ่า ก็น่าจะแค่เพิ่งเริ่มเท่านั้น
ด้านหน้าวังชิงหยวน ศิษย์สายตรงอย่างไห่ต้าเซ่าและพวกยืนประสานมือเข้าหากันอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นหานลี่เข้ามาใกล้ ทันใดนั้นก็ก้าวเข้ามาแล้วค้อมตัวลงเอ่ยทักทาย
“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์ ขอแสดงความยินดีที่ท่านอาจารย์กลับมาที่วัง”
“อืม นี่คือท่านอาจารย์ของเจ้า หนานกงหวั่น คารวะเถิด” หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่หญิงสาวสวมชุดสีขาวซึ่งอยู่ด้านข้างขณะเอ่ย
“เย่ว์เทียนคารวะท่านอาจารย์หญิง ในที่สุดท่านอาจารย์ก็พาใต้เท้าท่านอาจารย์หญิงกลับมาได้” ไห่ต้าเซ่าพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ยินดีพลางคารวะหนานกงหวั่น
“ลุกขึ้นเถิด เจ้าคือกู่เย่ว์เทียน ข้าได้ยินท่านอาจารย์เอ่ยถึงเจ้านานแล้ว ดูแล้วชาญฉลาดนัก” หนานกงหวั่นพิจารณากู่เย่ว์เทียนสองสามแวบ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์หญิงที่ชื่นชม!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินก็ดีใจเกินคาด
“หึ เขาเป็นแค่กระเป๋าหนังที่ดูดีเท่านั้น หากฝึกฝนในยามปกติหนักเท่าชี่หลิงจื่อสักสามส่วน พลังยุทธ์คงไม่ต่ำต้อยเช่นนี้” หานลี่กลับเอ่ยด้วยหน้าบึ้งตึง
“ศิษย์ตั้งใจฝึกฝนเต็มที่นะขอรับ แต่จะเทียบกับศิษย์พี่ได้อย่างไร” ไห่ต้าเซ่าได้ยินก็รีบหุบยิ้ม แต่ยังคงใช้น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำขึ้น
หนานกงหวั่นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็อดที่จะคลี่ยิ้มเบิกบานไม่ได้
แม้ว่าหานลี่จะได้ยิน แต่กลับขี้เกียจจะใส่ใจ ถลึงตาใส่ลูกศิษย์ครั้งหนึ่ง แล้วพาคนอื่นๆ เดินเข้าไปในประตู
ยามนี้ศิษย์ทั้งหมดในจัตุรัสถึงได้ลุกขึ้นตามหัวหน้า แล้วออกไปจากจัตุรัสอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
แต่เรื่องที่วังชิงหยวนมีนายหญิงเพิ่มขึ้นมา พวกเขาย่อมต้องถกกันสักตั้ง
เมื่อหานลี่นั่งลงบนตำแหน่งหลักในวังชิงหยวน ให้คนไปจัดการผู้บำเพ็ญเพียรจากสวรรค์วิญญาณกลุ่มนั้น ถึงได้เอ่ยถามไห่ต้าเซ่าอย่างราบเรียบ
“ท่านอาจารย์อาอิ๋นเย่ว์ของเจ้าล่ะ เหตุใดถึงไม่เห็นนาง?”
“รายงานท่านอาจารย์ ตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์ออกไปได้ไม่นานท่านอาจารย์อาอิ๋นเย่ว์ก็เริ่มกักตัว ยามนี้น่าจะกักตัวอยู่ในช่วงสำคัญ ถึงได้ไม่อาจออกมาต้อนรับท่านอาจารย์ได้” ไห่ต้าเซ่าแอบเหลือบมองหนานกงหวั่นที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างกายหานลี่แวบหนึ่ง ถึงได้ตอบกลับด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“อืม น้องหญิงอิ๋นเย่ว์ยังกักตัวอยู่ ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้ายังคิดจะคุยเรื่องในแดนมนุษย์กับนางสักหน่อย ทว่าในเมื่อน้องหญิงยังอยู่ในวัง ก็คงได้พบกันสักวัน ไม่ต้องรีบร้อนหรอก เย่ว์เทียน รอให้ท่านอาจารย์หญิงอิ๋นเย่ว์ของเจ้าออกจากการกักตนแล้ว ก็รายงานทันทีก็แล้วกัน” หนานกงหวั่นหัวเราะน้อยๆ แล้วออกคำสั่ง
“ขอรับท่านอาจารย์หญิง ศิษย์จะจำไว้!” ไห่ต้าเซ่าแลบลิ้นออกมา ใบหน้ากลับเรียบเฉยขณะตอบกลับ แต่ดวงตากลับกลอกไปมาไม่หยุด สิ่งที่คิดในใจเผยออกมาสองสามส่วน
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ทั้งโมโหทั้งขำขัน ค้อนปะหลักปะเหลือกใส่เขาวงหนึ่ง แล้วโบกมือให้เขาออกไป