“หมิงจวิน… ‘หมิงจวิน’ ของพันธมิตรเฮ่อเหลียนซาง” หกปีกพลันตกตะลึง แล้วอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
จากชื่อเสียงของเฮ่อเหลียนซาง เขาย่อมไม่อาจไม่เคยได้ยินได้
“หึๆ คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงของตาเฒ่าจะไปเข้าสู่สหายได้ สหายหกปีกไม่ต้องคิดอันใด สาเหตุที่พันธมิตรของเราลงมือเชื้อเชิญในครั้งนี้ ก็เพราะมารเหี้ยมที่บวงสรวงโลหิตในแดนอื่นผู้นั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับสหาย” หมิงจวินเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“มารเหี้ยมผู้นั้นมาที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนแล้ว!” หกปีกได้พลันหน้าเปลี่ยนสี
“เรื่องนี้…พันธมิตรของเรายังไม่พบ แต่ตาเฒ่าคิดว่าจะปรากฏตัวที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนในอีกไม่ช้าก็เร็ว สหายเองก็รู้สึกเช่นนั้นสินะ มิเช่นนั้นคงไม่ได้มีสีหน้าเช่นนี้” หมิงจวินเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน
“หึ สหายหมิงออกโรงด้วยตัวเอง ดูแล้วข้าไม่ตอบตกลงคงไม่ได้สินะ เอาล่ะ ข้าจะตามนายท่านไปก็แล้วกัน ทว่ายามนี้ข้ากำลังฟื้นฟูพลังปราณแท้อยู่ในช่วงสำคัญ…” หกปีกหน้าเปลี่ยนสีไปมา สายตากวาดไปทางระดับมหายานทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดก็ตัดสินใจยอมถอยชั่วคราว แต่ก็ถือโอกาสนี้เสนอเงื่อนไขของตนออกมา
“ฮ่าๆ เรื่องนี้ก็พูดง่าย พันธมิตรของเราไม่มีอย่างอื่น แต่เรื่องยาลูกกลอนนั้นพอจัดหาให้ได้ ขอแค่สหายหกปีกตามข้ากลับไป ยาลูกกลอนที่ใช้ฟื้นฟูพลังปราณแท้ให้เป็นหน้าที่ของพันธมิตรข้า เซียนผู้นี้คือสหายปิงเฟิงสินะ” หมิงจวินหัวเราะร่า แล้วเอ่ยปากตอบรับ ฉับพลันนั้นก็หันหน้าไปเอ่ยกับปิงเฟิงที่อยู่ข้างกาย
“มิกล้า ชนรุ่นหลังคือปิงเฟิง ท่านอาวุโสรู้ได้อย่างไร” ปิงเฟิงได้ยินพลันตกตะลึง คารวะชายชราผมสีแดงอย่างไม่กล้าดูแคลน
“สหายปิงเฟิงไม่ต้องเกรงใจ ข้าน้อยเพิ่งได้พบกับสหายหานเผ่ามนุษย์เมื่อไม่นานมานี้ เขาเอ่ยปากถึงท่านด้วยตัวเอง และให้ข้าดูแลท่านให้มากหน่อยหากพบหน้า” หมิงจวินตอบกลับอย่างนอบน้อม
“พี่หาน…ข้าเข้าใจแล้ว ชนรุ่นหลังจะตามท่านอาวุโสไปเป็นแขกที่พันธมิตรของท่านสักครั้ง” ปิงเฟิงมีสีหน้าดีใจฉายแวบผ่าน แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยอย่างนอบน้อม
หกปีกที่อยู่ด้านข้างได้ยินชื่อของหานลี่ สีหน้ากลับดูไม่ได้หลายส่วน
“เช่นนั้นก็ขอบคุณสหายทั้งสองแล้ว มีบางเรื่องที่ผู้แซ่หมิงอยากคุยกับสหายทั้งสองระหว่างทาง”
หมิงจวินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หัวเราะน้อยๆ มือหนึ่งร่ายอาคม ทันใดนั้นกลางอากาศก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น สำเภาสัมฤทธิ์ความยาวร้อยจั้งเศษพลันปรากฏขึ้น และร่อนลงมาด้านล่างอย่างแช่มช้า
ถึงยามนี้หกปีกและปิงเฟิงย่อมไม่รู้สึกผิดหวังอีก ทันใดนั้นทั้งกลุ่มก็บินขึ้นไปบนม่านหมอกขนาดยักษ์กลางอากาศ
เสียงอึกทึกดังขึ้นสำเภากลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป
…
หนึ่งเดือนต่อมาหานลี่ที่กำลังฝึกฝนอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายอยู่ภายในห้องลับของวังชิงหยวน ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี หยุดร่ายอาคมในมือ เรือนร่างมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นอักขระสีเขียวสองสามแถวลอยอยู่กลางอากาศต่ำๆ ตรงหน้า
หานลี่แค่มองสองแวบ ดวงตาทั้งสองข้างก็อดที่จะหรี่ลงไม่ได้
“คาดไม่ถึงว่าปิงเฟิงและหกปีกจะถูกพบตัวแล้ว พันธมิตรเฮ่อเหลียนซางเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ดูแล้วคงมั่นใจในการร่วมมือของพวกเขาได้สองสามส่วน ทว่ายามนี้แม้ว่าข้าจะไม่อาจปลีกตัวได้ แต่ก็มีเรื่องต้องส่งคนไปซักถามด้วยตัวเอง”
หานลี่ถอนหายใจออกมาพลางเอ่ยพึมพำ จากนั้นก็นึกอันใดได้ มือหนึ่งพลันร่ายอาคม มุมปากขยับขึ้นลงสองสามครั้ง
ในเวลาเดียวกันในห้องลับตรงตำหนักข้างอีกแห่งของวังชิงหยวน บรรพชนฮัวสือที่กำลังหลับตาฝึกฝนอยู่ พลันได้ยินเสียงถ่ายทอดเสียงของหานลี่ดังขึ้นที่ข้างหู
หลังจากที่เขาตกตะลึงแล้วตั้งใจฟังอยู่ชั่วครู่ ก็ออกไปจากห้องลับทันที
ครึ่งวันต่อมาบรรพชนฮัวสือก็ไปจากเกาะหยวนเฮออย่างร้อนรน
…
สามเดือนต่อมา
แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน ในเขตอาคมของ ‘เผ่าตะเภาเกราะ’ ที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเผ่าต่างๆ ผู้พิทักษ์ของเผ่าตะเภาเกราะที่หัวอวบอ้วนราวกับหมู แต่ร่างกายกลับแข็งแกร่งกำยำร้อยกว่าตัวกำลังรักษาการอยู่ด้านข้างตำหนักยักษ์เงียบๆ
ฉับพลันนั้นในตำหนักก็มีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น และมีระลอกคลื่นส่งออกมา
ผู้พิทักษ์ด้านนอกที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดสองสามคนพลันหน้าเปลี่ยนสีทันใด หลังจากสบตากันแวบหนึ่ง ก็เดินไปในตำหนักพร้อมกันโดยไม่พูดจา
ผลคือแค่ผ่านทางเดินที่คดเคี้ยวไปมา ห้องโถงยักษ์ที่ถูกปกคลุมด้วยม่านลำแสงสีขาวพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า
ท่ามกลางม่านลำแสง เขตอาคมยักษ์ขนาดสองสามหมู่เปล่งแสงเรืองๆ ออกมา ท่าทางฮึกเหิม
“เกิดอันใดขึ้น เหตุใดยามนี้ถึงมีคนถูกส่งตัวมาจากแผ่นดินใหญ่อื่น ผู้บัญชาการเฟ่ย เจ้าได้รับคำสั่งอันใดก่อนหน้านี้หรือไม่?” ผู้พิทักษ์เผ่าตะเภาเกราะร่างกายเตี้ยๆ คนหนึ่ง จ้องเขม็งมองไป ทันใดนั้นก็เอ่ยถามผู้พิทักษ์ที่สะพายกระบี่ยักษ์ข้างกายด้วยเสียงเย็นชา
“ไม่มีขอรับ ตำหนักส่งตัวของพวกเราไม่ได้รับคำสั่งส่งตัวของผู้ใด? อาจจะเป็นเพราะเผ่าตรงข้ามมีเรื่องด่วน จึงไม่ได้ส่งสัญญาณอันใดก่อน และใช้เขตอาคมส่งตัวมาเลย” ผู้พิทักษ์ที่สะพายกระบี่ยักษ์เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย
“เป็นไปได้ ไม่ว่าอย่างไร พวกเราต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ใดมาที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนของพวกเราในยามนี้” ผู้พิทักษ์ร่างเตี้ยขมวดคิ้วขณะเอ่ย แต่ยังคงส่งสัญญาณให้ผู้อื่นระวังตัวอย่างรอบคอบ
คนอื่นๆ เข้าใจแล้วสลายตัวออก พลางกั้นทางเข้าออกเอาไว้
แทบจะในเวลาเดียวกันที่ผู้พิทักษ์เผ่าตะเภาเกราะเหล่านั้นเคลื่อนไหวเสร็จ เขตอาคมยักษ์ก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น หลังจากที่ตรงใจกลางมีรัศมีลำแสงม้วนวน ก็มีเงาร่างคนสูงหนึ่งคนเตี้ยหนึ่งคนปรากฏขึ้น
สายตาของผู้พิทักษ์เผ่าตะเภาเกราะเหล่านั้นกวาดผ่านไป ผู้พิทักษ์ร่างเตี้ยหน้าเปลี่ยนสีทันใดพลางเอ่ยซักถาม
“ไม่ถูก พวกเจ้าไม่ใช่คนของเผ่าเรา คนทางฝั่งนั้นจะปล่อยให้ชนต่างเผ่าใช้เขตอาคมส่งตัวข้ามเขตแดนมาในยามนี้ได้อย่างไร”
“หึๆ คนฝั่งนั้น? สังหารพวกเขาหมดก็ใช้เขตอาคมส่งตัวได้แล้วมิใช่หรือ”
ในเขตอาคมส่งตัวมีเสียงราบเรียบดังขึ้น รัศมีลำแสงที่อยู่ด้านในหม่นแสงลง ในที่สุดก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของทั้งสองคนออกมา
เงาร่างคนที่เตี้ยหน่อยสวมชุดคลุมสีดำ สีหน้าซีดเผือด เงาร่างที่สูงใหญ่กลับมีหัวกวางขนาดใหญ่อยู่บนหัว มองผู้พิทักษ์เผ่าตะเภาเกราะที่อยู่ด้านนอกม่านลำแสงด้วยแววตาโหดเหี้ยม
นั่นก็คือเซียนหม่าเหลียงและจิตวิญญาณเที่ยงแท้หยางลู่
“ศัตรู ส่งข่าวทันที!”
ผู้พิทักษ์ที่สะพายกระบี่ยักษ์ได้ยินคำนี้ ก็ร้องออกมาทันใด ในเวลาเดียวกันก็ขยับแขน คว้ากระบี่ยักษ์ที่แผ่นหลังมาไว้ในมือ
คนอื่นๆ ล้วนมีปฏิกิริยาตอบสนอง คนหนึ่งชูมือขึ้นโดยไม่ต้องขบคิด ยันต์วิเศษสีแดงพุ่งออกมาจากแขนเสื้อทันที เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทะลวงผ่านเพดานตำหนักไปราวกับไร้รูปร่าง
ครู่ต่อมากลางอากาศเหนือตำหนักพลันมีลูกบอลเพลิงสีแดงสดปรากฏขึ้น และระเบิดออกพร้อมกับเสียงดังอึกทึก
ผู้พิทักษ์คนอื่นๆ นับร้อยคนที่อยู่ใกล้เคียงเห็นฉากนี้ ก็เกิดเสียงอึกทึกขึ้นทันใด คนกว่าครึ่งเข้ามาในตำหนัก คนกว่าครึ่งกลับถอยร่นไปด้านหลัง และทยอยกันควักอาวุธวางเขตอาคมต่างๆ ออกมาจากอกเสื้อแล้วในเวลาเดียวกันก็โยนขึ้นไปกลางอากาศ
พริบตานั้นรัศมีลำแสงห้าสีก็บินวนออกมาจากอาวุธวางเขตอาคมเหล่านั้น และรวมตัวกันจากรอบด้านกลายเป็นเสาสัมฤทธิ์ยักษ์สามสิบหกต้น แล้วร่อนลงด้านล่าง ล้อมตำหนักทั้งตำหนักเอาไว้
เสาสัมฤทธิ์เหล่านั้นทุกต้นล้วนมีความยาวร้อยจั้งเศษ ผิวมีสีแดงสดราวกับเปลวเพลิง มีอักขระยันต์สีเงินสลักอยู่เต็มไปหมด
ยามนี้ผู้พิทักษ์ชุดเกราะที่ถอยร่นไปถึงได้มองไปทางทางเข้าออกตำหนักด้วยสีหน้าสงบ
เสียงอึกทึกราวกับฟ้าถล่มพลันดังขึ้น!
ตำหนักทั้งหลังระเบิดออกจากด้านในราวกับภูเขาไฟ เศษหินดินทรายจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวว่อนไปทั่วทั้งแปดทิศ แต่เมื่อเข้าประชิดเสาสัมฤทธิ์สีแดงสดเหล่านั้น ม่านสีเพลิงพลังปรากฏขึ้น
หลังจากที่ทุกสิ่งสัมผัสเข้า ทันใดนั้นลำแสงสีแดงก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นผุยผง ผู้พิทักษ์ที่เข้าไปในตำหนักก่อนกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
ผู้พิทักษ์ชุดเกราะที่เหลืออยู่ด้านนอกเห็นสถานการณ์เช่นนี้ย่อมทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว
และในยามนั้นกลับมีเงาร่างของหม่าเหลียงและหยางลู่บินออกมาจากซากปรักหักพังของตำหนัก
หยางลู่ใช้มือตะปบไปที่ของทรงกลมแล้วส่งเข้าปาก ดูเหมือนว่ากำลังเคี้ยวอันใดสักอยู่
“ผู้บัญชาการเฟ่ย”
ผู้พิทักษ์คนหนึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่าสิ่งที่หยางลู่คิดอยู่คือสิ่งใด ทันใดนั้นก็ร้องตะโกนด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
“การโจมตีของเขตอาคม”
เมื่อเห็นฉากนี้ทุกคนจะไม่เข้าใจได้อย่างไร คนในเผ่าแปดในสิบส่วนที่เข้ามาในตำหนักล้วนพบกับสิ่งที่คาดไม่ถึง ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
ชั่วขณะนั้นผู้พิทักษ์ทุกคนพลันทยอยกันเริ่มกระตุ้นอาวุธวางเขตอาคมกลางอากาศ
ม่านลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง เสาสัมฤทธิ์สามสิบหกต้นเปล่งแสงสีแดงเจิดจ้า เสาลำแสงสีแดงต่างๆ พ่นเข้าใส่หยางลู่
“หึๆ เขตอาคมแค่นี้จะทำอันใดข้าได้?” หยางลู่หัวเราะอย่างโหดเหี้ยม แค่สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ชั่วขณะนั้นร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นราวกับถูกสูบลม ในเวลาเดียวเกราะสงครามสีเหลืองชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผิว
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น
เสาลำแสงสีแดงโจมตีไปที่อาภรณ์ชุดเกราะสีเหลือง ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบราวกับโจมตีไปที่ไม้แห้งเหี่ยว หยางลู่ที่อยู่ด้านในไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
“มาแล้วควรมีมารยาท พวกเจ้าก็รับกระบวนท่าของข้าเถิด”
หยางลู่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ฉีกยิ้มโหดเหี้ยม มือข้างหนึ่งกวักออกไปกลางอากาศ ขวานยักษ์สีดำปรากฏขึ้น หลังจากสองมือตะปบออกไป ก็ออกแรงร่ายไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูระเบิดออกมา!
ใบมีดสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนร่างของหยางลู่ และเปล่งแสงสว่างวาบม้วนไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
เสียง “พรึ่บๆ” ดังสนั่นขึ้น
เสาสัมฤทธิ์สีแดงสดสามสิบหกต้นเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ แตกออกเป็นสองส่วนแทบจะในเวลาเดียวกัน ม่านลำแสงสีแดงสลายหายไป
หยางลู่หัวเราะหึๆ ยามที่กำลังคิดจะลงมือสังหารผู้พิทักษ์ชุดเกราะที่เหลือ หม่าเหลียงที่อยู่ด้านข้างกลับเอยอย่างหมดความอดทนเล็กน้อย
“ไปกันเถิด เจ้าพวกระดับต่ำเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องสังหาร ยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า
“ขอรับนายท่าน” หยางลู่พลันตกตะลึง รีบตอบรับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ยกมือขึ้นขวานดำหายไป ชั่วพริบตาร่างกายก็กลับมามีขนาดเท่าเดิม
ดังนั้นทั้งสองก็ไม่สนใจผู้พิทักษ์ที่เหลือกลายเป็นลำแสงหลีกหนี พุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
จากความเร็วของทั้งสอง ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยามก็บินออกมาได้พันหมื่นลี้ มองเห็นทั้งสองคนข้ามผ่านทุ่งหญ้าไป ยามที่เบื้องหน้ามีชีพจรภูเขายักษ์ปรากฏขึ้น ฉับพลันนั้นชายหนุ่มชุดดำก็หน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะหยุดลำแสงหลีกหนีลง
“นายท่าน เกิดเรื่องอันใดขึ้น” หยางลู่ย่อมหยุดลงติดๆ กัน แล้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก