หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แค่นิ่งอยู่ที่เดิม มองเสียงอึกทึกที่ดังมาจากที่ไกลๆ
บนไกลออกไปดินเหนียวพลันหมุนวนกลายเป็นเหมือนมังกรดินยืดขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าใต้ดินมีสิ่งมหึมาอันใดสักอย่างกำลังห้อตะบึงมาหาหานลี่
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ไม่ทันได้เคลื่อนไหวใด มังกรดินที่ไล่ตามมาก็ปรากฏขึ้นในฝุ่นทรายสีเหลือง ฉับพลันนั้นมนุษย์สีเงินยักษ์สูงยี่สิบสามสิบจั้งพลันพุ่งออกมา
มนุษย์ยักษ์มีเรือนผมสีเขียวมรกต ปากดุจสิงโตตาดุจวัว เปลือยกายครึ่งท่อน บั้นเอวมีกระโปรงหนังสีเขียวพันอยู่ เรือนกายมีกล้ามปูดออกมาทั้งตัว และดูเหมือนจะเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับราวกับเงิน แค่สาวเท้ายาวๆ ก้าวหนึ่งก็ร่นระยะทางสองสามร้อยจั้ง ทำให้พื้นดินในบริเวณรอบสั่นเทาอย่างแรง
ร่างกายของมนุษย์ยักษ์ดูเหมือนจะแปลกประหลาดยิ่ง ในที่สุดแววตาก็ฉายแววตกตะลึง
ในยามนั้นมนุษย์ยักษ์ที่สาวเท้าไปสองสามก้าวก็ไล่ตามมังกรดินที่อยู่หน้าสุดทัน หลังจากร้องคำรามต่ำๆ ฝ่ามือทั้งสองก็ตบไปที่พื้นดินด้านล่างอย่างแรง
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่น “ตึงๆ” ดังขึ้น
โดยมีมนุษย์ยักษ์อยู่ตรงใจกลาง พื้นดินในรัศมีวงกลมสองสามลี้เว้านูนลงไป สุดท้ายก็กลายเป็นแอ่งกระทะขนาดเล็กลึกร้อยจั้ง
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น!
อสูรยักษ์สีเหลืองที่ร่างกายเลือนรางพลันพุ่งออกมาจากแอ่งกระทะ พยายามหนีไปทางแดนหมิงซาสุดชีวิต
แต่มนุษย์ยักษ์สีเงินกลับดูเหมือนจะคาดเดาไว้ตั้งนานแล้ว แค่หัวเราะร่าแล้วพลิ้วกายก็เปล่งแสงสว่างวาบไปอยู่เหนืออสูรยักษ์ และยกเท้ายักษ์ข้างหนึ่งขึ้นย่ำลงไปอย่างแรง
เสียง “ปัง” ดังขึ้น
เมื่ออสูรยักษ์สีเหลืองและเท้ายักษ์สีเงินสัมผัสกันร่างกายก็สั่นเทาแล้วร่วงลงมาจากที่สูง
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ร่างกว่าครึ่งของอสูรยักษ์ก็ถูกเท้ายักษ์เหยียบลงไปบนพื้นดิน
ยามนี้หานลี่ถึงได้มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอสูรยักษ์สีเหลือง เป็นเต่ายักษ์สีเหลืองความยาวหกสิบเจ็ดสิบจั้งตัวหนึ่ง
กระดองของมันหนาประมาณครึ่งจั้ง และมีหนามสีเหลืองงอกออกมาสองสามฉื่อ หัวที่มีเขาเดียวถูกเต่ายักษ์สีเงินเหยียบเอาไว้ พยายามดิ้นรนแต่กลับไม่อาจหดหัวเข้าไปในกระดองได้
มนุษย์ยักษ์สีเงินกลับร่ายมือโดยไม่ปริปาก กำปั้นยักษ์สองกำปั้นกลายเป็นเงากำปั้นสีเงินทุบลงมา
พริบตานั้นลำแสงสีเงินก็ระเบิดออกเหนือเต่ายักษ์สีเหลือง ระลอกคลื่นน่าตกตะลึงม้วนวนไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
แม้ว่าเต่ายักษ์สีเหลืองจะมีพลังป้องกันที่น่าตกตะลึง แต่หลังจากผ่านไปสองสามชั่วลมหายใจ ทั้งหัวก็ถูกกำปั้นทุบจนเป็นน้ำจิ้มเนื้อ กระดองเต่าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางลำแสงสีเงิน
เสียง “ปัง” ดังขึ้น
ในที่สุดมือยักษ์ข้างหนึ่งของมนุษย์ยักษ์สีเงินก็ทะลวงผ่านร่างเต่ายักษ์จนเป็นรู หลังจากหดเล็กลง ในมือก็มีไข่มุกกลมสีเหลืองขนาดเท่าศีรษะปรากฏขึ้น
มนุษย์ยักษ์เห็นไข่มุกเม็ดนี้ทันใดนั้นก็หัวเราะร่า สะบัดข้อมือ โยนไข่มุกทรงกลมเข้าปาก คาดไม่ถึงว่าจะกลืนเข้าไปในท้อง
ชั่วขณะนั้นผิวของมนุษย์ยักษ์สีเงินก็เปล่งแสงสีเหลืองสว่างวาบ แต่มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
ในยามนั้นมนุษย์ยักษ์พลันหันหน้ามา แล้วมองหานลี่แวบหนึ่ง
ดวงตาของเขาเป็นสีเงินขาวเจิดจ้า คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีรูม่านตา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นดวงตาก็หดเล็กลง
มนุษย์ยักษ์สีเงินกลับขยับขาทั้งสองแล้วสาวเท้ายาวๆ ไปหาหานลี่ ไม่ทันได้เข้าใกล้ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มราวกับฟ้าผ่า
“ขอบังอาจเรียนถามสหายคือผู้ที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมสวรรค์เหนือสวรรค์หรือไม่ ข้าน้อยอิ๋นกังจื่อจากเผ่าเทียนจี้ขอคารวะท่าน”
“ที่แท้ก็สหายจากเผ่าเทียนจี้ ข้าน้อยเผ่ามนุษย์หานลี่ยินดีที่ได้พบ” หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง แล้วประสานกำปั้นไปยังจุดที่ไกลออกไป
“นายท่านคือสหายหานที่สังหารมารดาแมลงของแดนมารสินะ บังเอิญจริงๆ ผู้แซ่อิ๋นได้ยินชื่อเสียงของสหายหานมานานแล้ว” มนุษย์ยักษ์สีเงินได้ยินใบหน้ามีสีหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่าน แต่ทันใดนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม ร่างกายพลันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ยามนั้นพลันกลายเป็นชายร่างใหญ่ผิวสีเงินที่รูปร่างไม่ต่างจากหานลี่มากนัก
“พี่อิ๋นพูดเกินไปแล้ว ข้าน้อยสังหารมารดาแมลงได้เพราะเรื่องบังเอิญเท่านั้น กลับเป็นชื่อเสียงของเผ่าเทียนจี้ ข้าน้อยได้ยินมาคุ้นหูแล้ว เมื่อครู่ที่สหายเปลี่ยนร่าง ก็คือเผ่าเทียนจี้ที่มีชื่อเสียงสินะ อานุภาพลึกล้ำยากจะคาดเดาดังคาด” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างเกรงใจ
เผ่าเทียนจี้เองก็เผ่าที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน แม้ว่าเผ่าอื่นจะมีไม่มากนัก แต่ทุกคนล้วนมีพรสวรรค์ที่น่าตกตะลึง ความเร็วในการฝึกฝนก็เหนือกว่าเผ่าอื่นๆ ทั่วไป หากฝึกฝนจนถึงระดับสูงที่สามารถแปลงกายได้ พละกำลังก็จะเพิ่มขึ้นอีกสองสามเท่าในพริบตา
ดังนั้นเผ่าเทียนจี้ที่เลื่องชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่เผ่าลับของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน ระดับสูงของเผ่าอื่นปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นน้อยมาก ได้พบกับเผ่าเทียนจี้ระดับมหายานที่นี่ก็ทำให้หานลี่ตกตะลึงและประหลาดใจมาก
“หึๆ สหายหานถ่อมตนเกินไปแล้ว เมื่อครู่ที่พบกับอสูรเต่าดินระหว่างทาง แก่นดวงจิตในร่างของมันมีประโยชน์สำหรับข้า ถึงได้จำใจต้องแปลงกายไล่ล่ามันมาถึงที่นี่ ในเมื่อเราสองคนมาพบกันที่นี่ มิสู้ไปที่สวรรค์เหนือสวรรค์ด้วยกันเถิด” อิ๋นกังจื่อหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย
“ในเมื่อสหายอิ๋นเรียนเชิญ ผู้แซ่หานย่อมไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ” หานลี่หาววอดและไม่ได้ปฏิเสธ
“ฮ่าๆ พี่หานช่างเปิดเผยเสียจริง เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเถิด เจ้ากับข้าจะได้ปรึกษากันเรื่องเซียนบวงสรวงโลหิตผู้นั้นระหว่างทางพอดี ข่าวที่หมิงจวินส่งให้ข้านั้นไม่ละเอียด ไม่ทราบว่าสหายรู้อันใดหรือไม่” อิ๋นกังจื่อได้ยิน เห็นได้ชัดว่าดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ตอนแรกข้าและหมิงจวินได้พบหน้ากันครั้งหนึ่ง เลยได้รู้ข่าวนี้มา หากสหายอยากรู้ผู้แซ่หานย่อมจะบอกความจริงให้” หานลี่หัวเราะแล้วเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด
“เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอบคุณมาก ข้ามีรถคลื่นมรกตอยู่คันหนึ่ง สหายนั่งด้วยกันเถิด” อิ๋นกังจื่อได้ยิน ก็ตอบกลับด้วยความดีใจเกินคาด จากนั้นก็เห็นเขาอ้าปากพ่นรัศมีลำแสงสีเขียวมรกตม้วนวนออกมา กลางอากาศมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ชั่วขณะนั้นก็มีรถเหาะสีเขียวมรกตความยาวสามสิบจั้งลำหนึ่งปรากฏขึ้น
รถเหาะรูปทรงสามเหลี่ยม ผิวแกะสลักด้วยหยก เปล่งแสงสีเขียวอ่อนลางๆ บนรถยังมีหุ่นเชิดชุดเกราะสีเงินสี่ตัวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
หานลี่เองก็ไม่ได้ปฏิเสธอันใด พลิ้วกายลอยตามอิ๋งกังจื่อขึ้นไปบนรถ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่รถเหาะสีเขียวมรกตพลันพุ่งแหวกอากาศไป แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสีเขียวจมหายเข้าไปในทุ่งรกร้างสีดำเขียว พอกะพริบวาบอีกสองสามครั้งก็หายวับไปที่ขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
…
ครึ่งวันต่อมาใจกลางของดินแดนหมิงซา ท่ามกลางทะเลพายุสีดำรถเหาะสีเขียวมรกตกำลังบินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉับพลันนั้นพายุสีดำด้านหน้าพลันจางลง เผยท้องฟ้าแปลกประหลาดออกมา
เห็นเพียงอากาศด้านหน้าสูงขึ้นไปสองสามพันจั้งแยกออกเป็นสองส่วน กลายเป็นพื้นดินสีดำและขาวสองสี
ด้านล่างยังคงเป็นแดนทะเลพายุสีดำ ด้านบนเป็นม่านลำแสงท้องฟ้าสีขาวโพลน ด้านในมีศิลายักษ์ขนาดน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
ศิลายักษ์เหล่านั้นเล็กหน่อยมีขนาดเท่าห้อง ใหญ่หน่อยมีขนาดราวกับเกาะยักษ์ ด้านบนมีสิ่งปลูกสร้างหอคอยต่างๆ เรียงรายอยู่
“นี่คือสวรรค์เหนือสวรรค์ น่าสนใจดังคาด”
หานลี่ที่ยืนอยู่ด้านหน้ารถเหาะสีเขียวมรกตมองไปยังทัศนียภาพกลางอากาศ แล้วส่งเสียงจุ๊ๆ เอ่ยชื่นชม
“ที่นี่ช่างมหัศจรรย์จริงๆ! ว่ากันว่าที่นี่คือเขตต้องห้ามของเผ่าที่ยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ไม่เพียงเผ่านี้จะหายไปอย่างแปลกประหลาด ที่นี่ยังมีไอทมิฬเข้มข้นพ่นออกมาจากใต้ดิน ทำให้ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิต” อิ๋นกังจื่อที่อยู่ด้านข้างของหานลี่สั่นศีรษะขณะเอ่ย
ก่อนหน้านี้ที่หานลี่และเขาพูดคุยกันอยู่บนรถเหาะก็นับว่าเข้ากันได้ไม่เลว เหมือนได้พบกับเพื่อนเก่า
“ทำให้ทั้งเผ่าหายไปได้ ดูแล้วยามนั้นเผ่านี้คงไปล่วงเกินลิขิตสวรรค์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หากเป็นหายนะจากมนุษย์ เกรงว่าคงไม่อาจทำให้เผ่าทั้งเผ่าหายไปได้” หานลี่ได้ยินแววตาพลันเปล่งประกายสว่างวาบ
“หึๆ อาจจะเป็นเช่นนั้นกระมัง เอ๋ ดูเหมือนคนในพันธมิตรซางจะมารับพวกเรา” อิ๋นกังจื่อหัวเราะหึๆ แล้วร้องเอ๋ขณะเอ่ย
เห็นเพียงม่านลำแสงด้านบนเปล่งแสงสว่างวาบ สำเภาเหาะสีขาวลำหนึ่งพุ่งลงมาหารถเหาะที่ทั้งสองอยู่
หานลี่และอิ๋นกังจื่อมองสบตากันแวบหนึ่ง ย่อมยืนนิ่งอยู่ตรงส่วนหน้าของรถเหาะด้วยรอยยิ้ม
ส่วนรถเหาะด้านล่างพวกเขาก็หยุดลงกลางพายุอย่างเงียบเชียบ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่รถเหาะสีขาวลำนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้งแล้วเข้ามาใกล้ ลำแสงวิญญาณหม่นแสงลงแล้วหยุดลงด้านข้างรถเหาะ
บนรถเหาะมีบุรุษสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าคนหนึ่ง กวาดสายตาไปที่หานลี่และอิ๋นกังจื่อที่อยู่บนรถเหาะ สีหน้าฉายแววตกตะลึง แต่กลับไม่กล้าดูแคลนพลางค้อมตัวลงอย่างรวดเร็วขณะเอ่ย
“แต่อาวุโสหานของเผ่ามนุษย์และอาวุโสอิ๋นกังจื่อจากเผ่าเทียนจี้ ชนรุ่นหลังได้รับนามของท่านมาจากใต้เท้าหมิงจวิน จึงมาต้อนรับท่านอาวุโสทั้งสองเข้าสู่สวรรค์เหนือสวรรค์”
“เจ้ารู้จักข้า? ดูแล้วสหายหมิงคงบอกหน้าตาของพวกเรากับพวกเจ้าแล้วสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็นำทางเถิด” อิ๋นกังจื่อออกคำสั่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หานลี่มีท่าทางไม่คิดเช่นนั้น
“ขอรับ เรียนเชิญท่านอาวุโสทั้งสองตามพวกเรามา” บุรุษสวมชุดคลุมสีฟ้าย่อมไม่กล้าขัดขืน พลางตอบกลับอย่างเคารพนบน้อม ทันใดนั้นสำเภาเหาะก็หันหัว ทันใดนั้นก็นำทางอยู่ด้านหน้า
รถเหาะสีเขียวมรกตถูกอิ๋นกังจื่อกระตุ้น จึงไล่ตามอยู่ด้านหลังไปอย่างไม่เชื่องช้าและไม่รวดเร็ว
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา ในที่สุดรถเหาะสีเขียวมรกตก็ร่อนลงเหนือศิลายักษ์ขนาดสองสามลี้ในเมืองสวรรค์เหนือสวรรค์
บนศิลายักษ์ก้อนนี้มีตำหนักยักษ์สีขาวนวลหลังหนึ่ง ทางเข้ามีผู้พิทักษ์ชุดเกราะติดอาวุธครบมือของพันธมิตรซางยืนเรียงแถวอยู่สองแถว
หลังจากที่อิ๋นกังจื่อเก็บรถเหาะ ก็เดินเข้าไปในตำหนักอย่างทะนงองอาจพร้อมกับหานลี่
ผู้พิทักษ์ชุดเกราะเหล่านี้มองตรงนิ่ง ไม่ได้เข้ามาถามหรือเข้ามาขัดขวาง
ผลคือเมื่อหานลี่และพวกทั้งสองเข้าไปในประตูตำหนัก หลังจากเดินผ่านทางเดินที่ไม่ยาวนักมา ก็เห็นหมิงจวินเจ้าของพันธมิตรซางผู้นี้ในห้องโถงยักษ์สูงสิบจั้งเศษ
“สหายหาน พี่อิ๋น พวกเจ้าสองคนมาพร้อมกัน ช่างทำให้ตาเฒ่าประหลาดใจเสียจริง” หมิงจวินที่เดิมกำลังนั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลัก พลางพูดคุยกับคนอีกสองสามคนที่มีกลิ่นอายไม่ธรรมดา เมื่อเห็นหานลี่และอิ๋นกังจื่อเดินเข้ามา ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นต้อนรับด้วยความยินดี
คนอื่นๆ ไม่ได้หยัดกายลุกขึ้น แต่ล้วนพิจารณาหานลี่และพวกทั้งสองด้วยสีหน้าหลากหลาย
“ฮ่าๆ ข้าและสหายหานพบกันที่ชายแดนแดนหมิงซา แน่นอนว่าจึงมาพร้อมกัน กลับเป็นพี่หมิงที่ไม่ได้พบกันสองสามพันปี สีหน้าเหมือนเดิมไม่มีผิด” อิ๋นกังจื่อหัวเราะร่าแล้วมองตรงไปพร้อมกับเอ่ยขึ้น
หานลี่แค่หัวเราะน้อยๆ แล้วหาววอด พิจารณาคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในห้องโถงอย่างสนอกสนใจ