นอกจากหมิงจวินแล้วในห้องโถงยังมีบุรุษอีกสามคนและสตรีสองคน
บุรุษสามคนคนหนึ่งร่างกายสูงใหญ่สวมชุดเกราะสีดำ หน้าตาโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ท่าทางแก่ชรามือกุมไม้เท้าหัวมังกรสีทองเอาไว้
บุรุษคนสุดท้ายกลับเป็นชายหนุ่มสวมชุดนักปราชญ์หน้าตาหมดจดคนหนึ่ง ดูแล้วมีอายุไม่เกินยี่สิบปีเศษ แต่แผ่นหลังกลับสะพายกระบอกไม้ไผ่สีเขียวที่แปลกประหลาดยิ่ง
หญิงสาวสองคนกลับเป็นสตรีผู้งดงามที่รูปร่างไม่เหมือนกัน คนหนึ่งใบหน้าดุจพระจันทร์เต็มดวง อายุสามสิบปีเศษ สวมชุดนักพรตสีเหลือง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นนักพรตหญิง
หญิงสาวอีกคนที่ผิวออกดำ แต่เรือนผมเต็มไปด้วยไข่มุก สวมชุดชาววังสีเขียวอ่อน ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายสว่างวาบ
“อิ๋นกังจื่อ ครั้งนี้เจ้ามาสาย หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ การต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ เจ้าคงชอบมากที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยตกเป็นรองผู้ใด” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะผู้นั้นลูบศีรษะโล้นๆ ฉับพลันนั้นก็หัวเราะร่าใส่อิ๋นกังจื่อ
“หึๆ ยามมาผู้แซ่อิ๋นพบกับปัญหาเล็กน้อย จึงล่าช้าไปสองสามวัน มิเช่นนั้นจะต้องมาเร็วกว่าสหายฮั่วอิ่งแน่” อิ๋นกังจื่อดูเหมือนคุ้นเคยกับชายหัวโล้นจึงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“การแปลงกายของพี่อิ๋นนั้นข้าได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว แต่ได้พบกับสหายอิ๋นสองสามครั้งล้วนไม่มีวาสนาได้พบ ครั้งนี้คู่ต่อสู้คือเซียนจากแดนเซียน น่าจะไม่พลาดสินะ” หญิงสาวสวมชุดชาววังเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“อิทธิฤทธิ์ของฮูหยินอูถึงจะเรียกว่าเป็นเลิศในแดนวิญญาณ อิทธิฤทธิ์เพียงจิ๊บจ๋อยของน้องจะมีค่าอันใด” อิ๋นกังจื่อเผชิญหน้ากับหญิงสาวชาววัง คาดไม่ถึงว่าจะไม่กล้าดูแคลนใดๆ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม
ส่วนคนที่เหลือทั้งสามคนแม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยกับอิ๋นกังจื่อ แต่สายตาที่มองมาทางอิ๋นกังจื่อก็เจือรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้า
มิน่าล่ะ!
ในบรรดาคนเหล่านี้ไหนเลยที่ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับมหายานที่มีชื่อเสียง ประกอบกับใช้ชีวิตมาไม่รู้กี่หมื่นปีย่อมได้คบหากันบ้างไม่มากก็น้อย
เทียบกันแล้วพวกเขาย่อมสนใจหานลี่ที่เป็นหน้าใหม่ผู้นี้มากกว่า
“พี่หมิง สหายผู้นี้คือผู้ใด ก่อนหน้าดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่เคยพบมาก่อน” นักพรตหญิงผู้นั้นมองหานลี่สองสามแวบในที่สุดก็ฉีกยิ้มพลางเอ่ยถาม
“ผู้นี้คือสหายหานของเผ่ามนุษย์ แม้ว่าจะบรรลุระดับมหายานได้ไม่นาน แต่ชื่อเสียงของเขาเชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินมาแน่” หมิงจวินได้ยินก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“หานลี่? คือระดับมหายานเผ่ามนุษย์ที่สังหารมารดาแมลงผู้นั้นหรือ?” นักพรตหญิงได้ยินก็ตกตะลึงไปสองส่วน
“สังหารมารดาเผ่าแมลงได้ไม่ใช่ฝีมือของข้าคนเดียว โลกภายนอกล่ำรือกันเกินไป” หานลี่หัวเราะน้อยๆ พลางตอบกลับ
ชายร่างใหญ่หัวโล้นและหญิงสาวสวมชุดชาววังต่างเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
เห็นได้ชัดว่ามารดาแมลงผู้นี้ร้ายกาจมาก ผู้แข็งแกร่งในบรรดาระดับมหายานเหล่านี้ล้วนรู้มาบ้างไม่มากก็น้อย
“จุ๊ๆ ไม่ว่าอย่างไร มารดาแมลงผู้นั้นก็เป็นสิ่งที่แม้แต่เซียนก็ยังกำราบไม่ได้ ครั้งนี้มีสหายเข้าร่วม พวกเราน่าจะมั่นใจขึ้นหนึ่งส่วน” ชายร่างใหญ่หัวโล้นส่งเสียงจุ๊ๆ ชื่นชมพลางเอ่ย
“สหายหาน เจ้าเพิ่งจะบรรลุระดับมหายานได้ไม่นาน เกรงว่าก่อนหน้านี้คงไม่ค่อยได้รู้จักกับสหายเหล่านี้เท่าไหร่สินะ ให้ตาเฒ่าแนะนำเถิด ผู้นี้คือสหายฮั่วอิ่งของเผ่าจวี๋โส่ว เชี่ยวชาญการอำพรางตัวจนมีชื่อเสียงในแผ่นดินใหญ่ นี่คือฮูหยินอูของเผ่ากู่หลี อานุภาพเพลิงเทวะหลอมละลายประจำกายนั้นไร้เทียมทาน เรียกได้ว่าต้มทะเลหลอมภูเขาได้…” หมิงจวินชี้ชายร่างใหญ่หัวโล้น หญิงสาวสวมชุดชาววังและพวก และเป็นฝ่ายแนะนำให้หานลี่
แม้ว่าปกติแล้วคนเหล่านี้จะไม่มีชื่อเสียงในบรรดาผู้ฝึกตนธรรมดา แต่พวกเขานั่นแหล่ะคือระดับสุดยอดที่แท้จริงของแดนวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย
“พี่หมิงครั้งนี้ต้องต่อกรกับเซียน คงไม่ได้มีแค่พวกเราสินะ” อิ๋นกังจื่อและหานลี่เพิ่งจะแยกกันนั่งลง ก็เอ่ยถามหมิงจวินอย่างสงบ
“แน่นอนว่าไม่ใช่ นอกจากสหายตรงหน้า สหายเหลิ่งของเผ่าจินสือ สหายอวิ๋นต้านเย่ว์หลิวทั้งสองของเผ่าเทียนฉานรวมทั้งซวนจิ่วหลิงก็จะมาในอดีตไม่ช้า” หมิงจวินตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
“อวิ๋นต้านเย่ว์หลิว”
“ซวนจิ่วหลิง”
อิ๋นกังจื่อและชายหนุ่มนักปราชญ์ที่ไม่ได้เอ่ยอันใดเลยก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกัน
นอกจากหานลี่แล้ว คนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะหวาดกลัวทั้งสามคนนั้น
“ดาวร้ายอย่างอวิ๋นต้านเย่ว์หลิวทั้งสองรับปากว่าจะร่วมมือ นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง พี่หมิง เจ้าไปเกลี้ยกล่อมพวกเขาสองพี่น้องอย่างไร?” นักปราชญ์หนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หึ ซวนปาปลิงนั้นเปลี่ยนชื่อเป็นซวนจิ่วหลิงแล้ว ดูแล้วเขาคงสังหารจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของโลกภายนอกได้อีกตัว แม้ว่าเจ้าบ้าผู้นี้จะฝึกฝนจนคล้ายกับมารคลั่ง แต่อิทธิฤทธิ์ก็ยิ่งลึกล้ำยากจะคาดเดาเรื่อยๆ ข้าเองก็สนใจมาก เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไร” อิ๋นกังจื่อเองก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าดูไม่ได้
“ง่ายมาก อวิ๋นต้านเย่ว์หลิวนั้น ข้าแค่สัญญาว่าจะช่วยพวกเขาสามเรื่องหลังจากเสร็จเรื่องเท่านั้น และบังเอิญที่ทั้งสองมีเรื่องสำคัญต้องขอร้องพันธมิตรเราพอดี ส่วนสหายซวนจิ่วหลิงนั้น ข้าไม่เคยเกลี้ยกล่อมอันใด แค่บอกว่าครั้งนี้ต้องต่อกรกับเซียนผู้นั้น เขาก็รับปากทันที หึๆ สำหรับเขาแล้วได้ประมือกับเซียนสักคน ก็เป็นของตอบแทนที่ดีที่สุดแล้ว” หมิงจวินเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง จากนิสัยของเจ้าบ้านั่นก็เป็นไปได้” อิ๋นกังจื่อเอ่ยพึมพำ
ส่วนนักปราชญ์หนุ่มก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
“เดิมยังเชิญสหายคนอื่นอีก แต่พวกเขามาไม่ทัน มีธุระสำคัญ เกรงว่าคงไม่อาจมาเข้าร่วมการร่วมมือในครั้งนี้ได้ มิเช่นนั้นคงมั่นใจเรื่องนี้ได้อีกหนึ่งถึงสองส่วน” หมิงจวินเอ่ยอย่างเสียดายเล็กน้อย
“เซียนจากแดนเซียนน่ากลัวขนาดนั้น! ฟังจากคำพูดของสหาย มีพวกเราคอยช่วย ดูเหมือนจะไม่ได้มั่นใจสิบส่วน แต่ตามที่ตาเฒ่าค้นหาในคัมภีร์มา เทพเซียนที่เคยปรากฏตัวในแดนของเราในอดีต ถูกพลังแห่งกฎเกณฑ์ของแดนกดเอาไว้ แม้ว่าจะแข็งแกร่งว่าจิตวิญญาณเที่ยงแท้โบราณเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งจนต้านทานไม่ได้กระมัง” ชายชราที่ถือไม้เท้าหัวมังกรสีทองกระแอมไอเบาๆ แล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“เรื่องนี้ผู้แซ่หมิงจะไปรู้ได้อย่างไร หากเป็นเซียนธรรมดาๆ พวกเราร่วมมือกันย่อมเหลือเฟือ แต่หากเซียนผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงล่ะ?” หมิงจวินได้ยินพลันเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
“ผู้แข็งแกร่งของเซียน?” ชายชราตกตะลึงไปเล็กน้อย
คนอื่นๆ ได้ยินก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้
“ใช่แล้ว จากที่เซียนผู้นี้สำแดงอิทธิฤทธิ์ในดินแดนอื่น ข้าก็มั่นใจได้ว่าเขาไม่ใช่เซียนธรรมดาที่เคยปรากฏตัวขึ้นที่แดนเราในอดีต แต่เป็นระดับสุดยอดในบรรดาเซียนเหมือนกับพวกเราและระดับมหายานธรรมดาๆ ถึงอย่างไรเสียเขาก็สังหารระดับมหายานไปสิบกว่าคนที่แดนสวรรค์โลหิตภายในรวดเดียว หนึ่งในนั้นคือลี่ว์อิงและสหายอีกสามคนที่พละกำลังไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา ข้าไม่อาจดูแคลนได้” หมิงจวินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เบาะแสของสหายลี่ว์อิงอยู่ในมือของเขา ข้าย่อมรู้ แม้กระทั่งข่าวที่ว่าจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของแดนสายฟ้าทั้งสามร่วมมือกันต่อกรเขาข้าก็ได้ยินมา แต่ข้าได้ยินว่าครั้งนี้เซียนผู้นี้ปรากฏตัวที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน ข้างกายยังมีคนรับใช้อีกคนหนึ่ง ดูเหมือนจะมีพละกำลังไม่อ่อนแอ เขาคือผู้ใด สหายหมิงตรวจสอบแล้วหรือยัง?” ฮูหยินอูหลิงแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม
“ฮูหยินอูรู้ข่าวไวมาก แน่นอนครั้งนี้ข้างกายของเซียนผู้นั้นมีผู้ติดตามคนหนึ่ง ส่วนฐานะของเขาพันธมิตรของเราตรวจสอบมาแล้ว หากข่าวของพันธมิตรเราไม่ผิดพลาด เขาคือหยางลู่หนึ่งในสามจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่เผ่าเขาแมลงส่งมา” หมิงจวินขมวดคิ้วแล้วถึงได้ตอบกลับอย่างแช่มช้า
“อันใด คือหยางลู่ มันไม่ได้ถูกเซียนสังหาร กลับถูกกำราบ” ครานี้ทุกคนพลันทยอยกันหน้าเปลี่ยนสี
หานลี่ลูบใต้คางแล้วเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
“ไม่เลว ความจริงก็เป็นเช่นนั้น เหล่าสหายในยามนี้น่าจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตาเฒ่าถึงรอบคอบเช่นนี้กระมัง ดังนั้นครั้งนี้นอกจากสหายทุกท่านแล้ว ข้ายังเชิญจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่แข็งแกร่งที่พันธมิตรของเราบูชาสี่คนด้วย นอกจากนี้ยังใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬสองชิ้นวางเขตอาคมสองธงทลายธุลีเพื่อทำลายหนทางการหนีของเขาด้วย”
“จิตวิญญาณทั้งสี่ สมบัติสวรรค์ทมิฬสองชิ้น! ครั้งนี้พันธมิตรของเรา ได้กำไรครั้งใหญ่สินะ” อิ๋นกังจื่อได้ยินก็สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
คนอื่นๆ ก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ไม่มีอันใด พันธมิตรของเราทำเพื่อความมั่นคงของแดนวิญญาณ ต่อให้เป็นเซียนจากแดนเบื้องบนก็ไม่อาจทำลายความสมดุลของแดนเราได้ แน่นอนว่าพันธมิตรของเราลงแรงขนาดนี้ หากกดเซียนผู้นี้สำเร็จ สมบัติในร่างของเขาก็ต้องให้พันธมิตรของเราเป็นฝ่ายเลือกก่อนหนึ่งในสามส่วน ส่วนที่เหลือก็แบ่งให้ทุกท่านอย่างเท่าเทียมจุดนี้เหล่าสหายคงไม่มีความเห็นสินะ” หมิงจวินเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อเอ่ยคำนี้หญิงสาวสวมชุดชาววังและพวกก็อดที่จะมองสบตากันแล้วเงียบขรึมไม่ได้
หมิงจวินเองก็ไม่ได้รบเร้า แค่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักและรอคำตอบจากคนอื่นเงียบๆ
หานลี่เห็นฉากนี้กลับหัวเราะน้อยๆ แล้วชิงเอ่ยปากถาม
“จากการลงทุนของพันธมิตรข้าในครั้งนี้ เลือกสมบัติก่อนหนึ่งในสามส่วนก็ไม่นับว่าเกินไป แต่ผู้แซ่หานยังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง หากพบเคล็ดวิชาลับของแดนเซียนในตัวของเซียนผู้นี้ ข้าหวังว่าทุกท่านจะได้สำเนาไปชุดหนึ่ง”
“อืม ข้อเสนอของสหายหานดีมาก ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
“ไม่เลว ข้าน้อยไม่มีความเห็นใด ขอแค่มีเงื่อนไขนี้ก็พอแล้ว”
…
ฮูหยินอูหลิง ชายร่างใหญ่หัวโล้นและพวกได้ยินคำพูดของหานลี่ก็ทยอยกันได้สติล้วนตอบรับเต็มปากเต็มคำ
หมิงจวินเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ตอบตกลง
เช่นนี้ทุกคนจึงเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา สายตาของระดับมหายานคนอื่นๆ ที่มองมายังหานลี่เองก็เผยแววเป็นมิตรขึ้นมาสองสามส่วน
เวลาที่เหลือทุกคนจึงปรึกษาว่าจะจัดการกับเซียนผู้นั้นอย่างไร สองสามชั่วยามต่อจากนั้นก็ขอตัวลาออกจากตำหนัก
ทุกคนล้วนพักอยู่ในสิ่งปลูกสร้างของเมืองสวรรค์เหนือสวรรค์ชั่วคราว
หานลี่เองก็ไม่ต้องให้ผู้ใดอยู่เป็นเพื่อน เขาตามหาศิลายักษ์ขนาดสองสามร้อยจั้งในจุดที่ไกลออกไปหน่อยตามลำพัง และเข้าพักในสิ่งปลูกสร้างรูปทรงเหมือนหอคอยที่เป็นระเบียบเรียบร้อยหลังหนึ่ง