“ทว่า เจ้าให้อวิ๋นต้านเย่ว์หลิวและเจ้าพวกเด็กน้อยของเผ่ามนุษย์รักษาการณ์สมบัติสวรรค์ทมิฬสองชิ้นมีเจตนาใด? จากที่ข้ารู้เขตอาคมสองธงทลายธุลีนั้นความจริงแล้วเป็นเขตอาคมของแดนเซียนชนิดหนึ่งที่บรรพชนของพวกเราทิ้งไว้ ตาอาคมไม่จำเป้นต้องมีคนคุ้มกัน หากให้เซียนผู้นั้นบุกมาตรงนั้น เขตอาคมก็น่าจะพังทลาย” เงาร่างเลือนรางพลันเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“หึๆ ข้าทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของตนเอง ให้พวกเขารักษาการที่ตาอาคม ไม่แน่ว่าสุดท้ายอาจจะไว้ชีวิตของพวกเขาได้” หมิงจวินหัวเราะหึๆ ไม่ได้ตอบกลับอันใด
“ช่างเถิด ข้าในฐานะที่เป็นเงาของพันธมิตรเรา เดิมก็ไม่สนใจแผนการลับๆ ล่อๆ ของพวกเจ้าอยู่แล้ว แต่หากได้แก่นดวงจิตของเทพเซียนมาต้องให้ข้า มีแก่นดวงจิตนี้ข้าก็จะซ่อมเขตอาคมเก้าเคราะห์ได้ และมีหวังที่จะบินขึ้นไปยังแดนเซียน แต่แม้ว่าจะทำเรื่องนี้สำเร็จ ค่าตอบแทนที่พันธมิตรของเราต้องจ่ายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด” เงาเลือนรางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“หากหาแก่นดวงจิตเจอ จะต้องแบ่งให้เจ้าหนึ่งดวง ส่วนค่าตอบแทนนั้น มีออกถึงจะมีเข้า ข้าเชื่อว่าเซียนที่มีวิธีลงมายังแดนล่างสมบัติที่พกมาจะต้องเพียงพอกับการสูญเสียแน่” หมิงจวินเอ่ยอย่างราบเรียบ
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง เอาล่ะ พวกเขาออกเดินทางแล้ว ข้าเองก็จะไปก่อน หมิงจวิน เจ้าอย่ารับแม้กระทั่งการโจมตีระลอกแรกของเทพเซียนไม่ได้ และหากยังไม่ถึงเวลา ข้าก็จะไม่ลงมือช่วยเหลือแน่นอน” เงาร่างเลือนรางหัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย ร่างกายบิดเบี้ยวจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่ต้นจนจบคนผู้นี้ก็ไม่ได้เผยหน้าตาออกมา
“ไม่มีทางลงมือช่วยเหลือหรือ คำพูดเช่นเดียวกันก็เหมาะสมกับเจ้ามาก หากถึงยามนั้นเจ้าโจมตีไม่สำเร็จ เกรงว่าก็คงหนีรอดยาก” หมิงจวินเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา ใช้น้ำเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำ
ยามนี้หานลี่ที่มีนักรบชุดเกราะนำทางบินเข้ามาในเขตอาคมสองธงทลายธุลีที่อยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เหนือสวรรค์นัก
ตามที่หมิงจวินแนะนำตอนแรก เขตอาคมนี้ใช้ธงอาคมจานอาคมสามหมื่นหกพันชิ้นวางขึ้น ถึงได้วางสำเร็จ แค่ผลึกศิลาระดับสุดยอดที่ฝังลงไปก็มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ถึงได้ห่อหุ้มดินแดนหมิงซาครึ่งหนึ่งเอาไว้ข้างใน
ส่วนตาอาคมสองจุดกลับอยู่ทางใต้และทางเหนืออยู่ห่างไกลกันมาก
หานลี่ห้อตะบึงไปโดยมีนักรบชุดเกราะเป็นผู้นำ หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารถึงได้มาถึงบริเวณตาอาคมที่ตนรับผิดชอบ
มองจากไกลๆ ความจริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าตาอาคมคือเสาสีทองยักษ์แปดต้นรายล้อมแท่นบวงสรวงสูงใหญ่แห่งหนึ่ง
รัศมีลำแสงรายล้อมเสาสีทอง ระลอกคลื่นเขตอาคมรอบด้านปรากฏขึ้นลางๆ และมีนักรบชุดเกราะกรูกันเข้ามารอบด้านเป็นแถว
ส่วนแท่นบวงสรวงสามเหลี่ยมพลันมีผิวสีขาวนวล ลำแสงเรียบลื่นดุจหยก ครึ่งท่อนบนถูกม่านลำแสงเจ็ดสีห่อหุ้มไว้ ตรงยอดสุดมีอันใดสักอย่างเปล่งแสงเรืองๆ อยู่
“ท่านอาวุโส นี่คือแผ่นป้ายกระตุ้นตาอาคม ลูกน้องพวกนี้จะทำตามคำสั่งของท่านอาวุโส แต่แค่แท่นบวงสรวงนี้เปิดอาคมอำพรางอยู่ เพื่อไม่ให้ถูกอีกฝ่ายพบล่วงหน้า ดังนั้นจึงไม่อาจให้ท่านอาวุโสขึ้นไปได้” นักรบชุดเกราะที่นำทางหานลี่มาร่อนลงเช่นกัน แล้วส่งแผ่นป้ายสีเงินให้ด้วยมือทั้งสองมือ ปากก็เอ่ยอย่างนอบน้อม
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แม้ว่าข้าจะสนใจสมบัติสวรรค์ทมิฬมาก แต่ก็ไม่ได้ไม่สนใจภาพรวมขนาดนั้น” หานลี่ใช้มือกวักเรียก เสียง “สวบ” ดังขึ้น แล้วดูดแผ่นป้ายเข้ามาพลางเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสเข้าใจ เช่นนั้นชนรุ่นหลังขอตัวลาก่อน” นักรบชุดเกราะผู้นี้ถอยออกไปสองสามก้าวแล้วพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้งแล้วพุ่งกลับไป
หานลี่ถึงได้ก้มหน้าลงพิจารณาแผ่นป้ายสีเงินในมือ เห็นเพียงสิ่งที่อยู่ในมือเปล่งแสงสีเงินเรืองๆ ผิวมีอักขระเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนสลักอยู่ และเรียงแถวเป็นรูปทรงประหลาดๆ ทำให้ผู้คนมองไปแล้วรู้สึกปวดหัวจนตาลาย
หลังจากที่เขาควงแผ่นป้ายเล็กในมือก็สะบัดข้อมือเก็บแผ่นป้ายนั้นเข้าไป แล้วสาวเท้ายาวๆ ไปที่แท่นบวงสรวง
“คารวะใต้เท้า!”
ยามที่หานลี่เข้ามาประชิดนักรบชุดเกราะเกือบพันคนก็ค้อมตัวลงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ลุกขึ้นเถิด ในเมื่อข้าต้องดูแลที่นี่ เช่นนั้นคำสั่งของข้าก็มีแค่ข้อเดียว หากไม่ฟังจะสังหารทิ้ง! ยามนี้พวกเจ้าเฝ้าระวังต่อเถิด” หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของนักรบชุดเกราะเหล่านั้น พบว่าส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในระดับเทพแปลงและหลอมสูญ แต่ระดับผสานอินทรีย์ก็มีมากกว่าแปดคน เป็นหัวหน้าดูแลเสาสีทองคนละต้น หลังจากขบคิดอย่างรวดเร็วก็เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ขอรับ”
ผู้พิทักษ์ชุดเกราะเหล่านั้นใจหายวาบ แต่ล้วนตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นนิ่งอยู่รอบๆ เสาสีทองต่อ
ส่วนหานลี่พลันพลิ้วกาย ร่างทั้งร่างทะลวงผ่านนักรบชุดเกราะเหล่านั้นไปราวกับไร้ตัวตน แล้วปรากฏขึ้นตรงใจกลางด้านล่างแท่นบวงสรวงสีขาวนวล หลังจากมองไปด้านบนแวบหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิลง
“นี่ดูเหมือนจะเป็นเขตอาคมสองธงธุลีของแดนเซียน” ฉับพลันนั้นจิตสัมผัสของหานลี่พลันมีเสียงตกตะลึงของนักพรตเซี่ยดังขึ้น
“เขตอาคมสองธงธุลี ไม่ใช่เขตอาคมสองธงทลายธุลีหรือ?” หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ใจเต้น ใช้จิตสัมผัสย้อนถามกลับเช่นกัน
“ไม่ใช่ แม้ว่าเขตอาคมสองธงทลายธุลีจะเป็นเขตอาคมแดนเซียนชนิดหนึ่ง แต่ประสิทธิภาพค่อนข้างง่าย หลักๆ เอาไว้ใช้สังหารศัตรู ประสิทธิภาพแค่หนึ่งในสิบส่วนของเขตอาคมสองธงธุลี” นักพรตเซี่ยเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“อ่อ เขตอาคมสองธงธุลีนั่นมีประสิทธิภาพอย่างไร?” หานลี่แววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยถามอย่างแช่มช้า
“เขตอาคมสองธงธุลีมีประสิทธิภาพหลักสามชนิดคือกักศัตรู ทำให้อ่อนแอลง ระเบิดตัวเอง ไม่ว่าชนิดไหนล้วนทำให้เซียนธรรมดาปวดหัวได้ โดยเฉพาะอานุภาพด้านระเบิดตัวเองอย่างสุดท้าย ขอแค่สมบัติบวงสรวงตาอาคมหรือจิตวิญญาณเที่ยงแท้แข็งแกร่งพอ ต่อให้เป็นเซียนระดับสูงคนหนึ่งก็อาจจะเพลี้ยงพล้ำได้” นักพรตเซี่ยเอ่ย
“บวงสรวงจิตวิญญาณ ระเบิดตัวเอง?” หานลี่ได้ยินคำนี้ชั่วขณะนั้นพลันใจหายวาบ
“ใช่แล้ว ของบวงสรวงตาอาคมนี้เป็นได้ทั้งสมบัติอาคมที่ใช้วัตถุดิบล้ำค่า และเป็นจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่แข็งแกร่งก็ได้ โดยทั่วไปแล้วหากเริ่มบวงสรวง ทุกอย่างในรัศมีร้อยลี้ของตาอาคมจะกลายเป็นของบวงสรวงและถูกพลังเขตอาคมแผดเผา” นักพรตเซี่ยเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้า
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหมิงจวินถึงให้ข้าและอวิ๋นต้านเย่ว์หลิวคอยรักษาการณ์อยู่ที่ตาอาคมและไม่ให้จากไปง่ายๆ” หานลี่ไม่เผยสีหน้าประหลาดใจใดๆ ออกมา แต่จิตสัมผัสกลับเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว
“ทว่าตามหลักการแล้ว แม้ว่าเขตอาคมสองธงทลายธุลีจะวางไม่ง่ายในแดนล่าง และไม่ต้องพูดถึงระดับความซับซ้อนในเขตอาคมสองธงธุลี ดูจากตาอาคมแห่งนี้ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับเขตอาคมธุลีที่ข้ารู้จักเล็กน้อย” นักพรตเซี่ยกลับเอ่ยขึ้น
“วัตถุดิบในแดนล่างย่อมไม่อาจเทียบกับแดนเซียนได้ น่าจะหาของมาแทนเพื่อให้วางเขตอาคมลับของแดนเซียนได้ไม่น้อย แต่เช่นนั้นประสิทธิภาพและอานุภาพของเขตอาคมนี้ก็ลดลงและเปลี่ยนไป เจ้าหาจุดที่ไม่เหมือนกันได้หรือไม่?” หานลี่ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม
“แค่เซียนปลอมรับหน้าที่ต่อสู้เท่านั้น ไม่ใช่หุ่นเชิดวางเขตอาคมโดยเฉพาะ รู้จักเขตอาคมแดนเซียนก็ถึงขีดจำกัดของข้าแล้ว หากจะให้หาจุดที่ไม่เหมือนกันกลับทำไม่ได้” นักพรตเซี่ยตอบกลับอย่างไร้กังวล
“มันยุ่งยากแล้ว แม้ว่าข้าจะอยากต่อกรกับเซียนผู้นั้น แต่ก็ไม่อยากเป็นเครื่องบวงสรวงและกลับบ้านเก่าไปพร้อมกับอีกฝ่าย” หานลี่แววตาเปล่งประกายสว่างวาบแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“หากสหายแค่อยากปกป้องตัวเอง ข้ากลับมีวิธี” นักพรตเซี่ยเงียบขรึมชั่วครู่แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“วิธีอันใด?” หานลี่ได้ยินย่อมมีชีวิตชีวาขึ้น
“ข้าพอจะดัดแปลงตาอาคมนี้ได้ ทำให้ยามที่มันกระตุ้นประสิทธิภาพการบวงสรวงทำให้จุดที่เจ้าอยู่เป็นจุดที่ไม่เป็นอันตราย” นักพรตเซี่ยเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“มีวิธีนี้ด้วยหรือ เชื่อถือได้หรือไม่?” หานลี่ลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม
“ได้ ทำเช่นนั้นเถิด” หานลี่แค่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด
“ได้ แต่ข้าต้องให้ราชาแมลงกลืนทองร่วมมือกับข้า และมีเพียงราชาแมลงถึงจะทำเรื่องนี้ได้อย่างเงียบเชียบ” นักพรตเซี่ยกลับเอ่ยเช่นนี้
“นี่ไม่เป็นปัญหา จินเอ๋อร์ จากนี้เจ้าต้องทำตามที่พี่เซี่ยสั่ง ห้ามให้มีความผิดพลาดใดๆ” หานลี่ตอบรับ และทันใดนั้นก็ใช้จิตสัมผัสออกคำสั่งกับราชาแมลงกลืนทองในกำไลอสูรวิญญาณ
เวลาต่อจากนี้หานลี่ก็ดูเหมือนจะนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แต่นิ้วหนึ่งพลันหดเข้าไปในแขนเสื้อแล้วร่ายอาคมเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พุ่งออกมาราวกับดาวสีทอง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป พลางจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาเสาทรงกลมสีเหลืองต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้แค่คืบ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นบางเบา แมลงเกราะสีทองขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารปรากฏขึ้น
แมลงเกราะตัวนี้แค่เลือนรางแล้วเกาะติดอยู่บนเสาทรงกลม จากนั้นก็เดินขยุกขยิกไปมาอย่างเงียบเชียบ จุดที่คลานผ่านมีลายเล็กๆ ที่แทบจะไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อทิ้งไว้
ในเวลาเดียวกันจิตสัมผัสของแมลงเกราะสีทองกลับมีเสียงออกคำสั่งอย่างเย็นชาของนักพรตเซี่ยดังก้องไปมาไม่หยุด และยิ่งไปกว่านั้นลวดลายของเขตอาคมที่สมบูรณ์แบบก็ปรากฏออกมาจากหัวของแมลงเกราะไม่หยุด
ทุกอย่างนี้ผู้พิทักษ์ชุดเกราะของพันธมิตรซางที่ล้อมเสาทรงกลมสีเหลืองต้นนี้ย่อมไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เลยสักนิด
ไม่ใช่แค่เสาสีทองเวลาต่อจากนี้เสาที่เหลืออีกเจ็ดต้นก็ถูกราชาแมลงกลืนที่หดเล็กลงจัดการเช่นเดียวกันอย่างต่อเนื่อง
…
กลางอากาศอีกแห่งของแดนหมิงซา อิ๋นกังจื่อ ชายร่างใหญ่หัวโล้นและผู้แข็งแกร่งระดับมหายานคนอื่นๆ ก็กำลังซ่อนตัวอยู่กลางอากาศ บ้างก็ยืนตรง บ้างก็หลับตานั่งสมาธิ แต่ล้วนเงียบขรึมไม่พูดไม่จาและมีสีหน้าเคร่งขรึม
ฉับพลันนั้นในบริเวณรอบๆ ก็มีเสียงระลอกคลื่นดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าหมิงจวินจะมาปรากฏตัวราวกับร่างกายไร้รูปร่าง
“พี่หมิง! มีแค่เจ้าคนเดียว? สหายหานและอวิ๋นต้านเย่ว์หลิวล่ะ?” ฮูหยินอูหลิงกวาดสายตาไปที่หมิงจวิน คิ้วดำขลับขมวดมุ่นพลางเอ่ยถาม
ระดับมหายานคนอื่นๆ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“สหายอูหลิงไม่ต้องกังวล ข้าให้สหายหานและพวกทั้งสามไปรักษาการณ์ที่ตาอาคมของเขตอาคมสองธงทลายธุลี เช่นนี้ขอแค่เขตอาคมไม่ถูกทำลาย พวกเราก็ต่อกรกับเซียนผู้นั้นได้อย่างวางใจได้แล้ว ไม่มีอันใดให้ต้องกังวล” หมิงจวินเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง