A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1630 สังหารวานร

เมื่อเห็นระลอกคลื่นสีดำด้านตรงข้ามโผเข้ามา ดวงตาทั้งหกของเทวรูปสีทองเหนือศีรษะของหานลี่ก็เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ โบกสะบัดกระบี่ยาวสีเขียวมรกตในมือ 

 

 

หานลี่รู้สึกว่าพลังปราณจำนวนมากในร่างทะลักออกมาราวกับกระแสน้ำ ในเวลาเดียวกันผิวของเทวรูปพลันมีลำแสงสีทองไหลวนโคจรอยู่ กลายเป็นลำแสงทะลักเข้าสู่สิ่งที่อยู่ในมือ 

 

 

เทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ที่เดิมมีความสูงสองสามจั้ง ไม่เพียงร่างกายจะหดเล็กลงเกือบครึ่ง ผิวที่ดูเหมือนจริงก็เปลี่ยนเป็นรางเลือนในพริบตา 

 

 

ไอวิญญาณฟ้าดินในบริเวณรอบหมุนวนอย่างดุเดือด อักขระห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา ในเวลาเดียวกันเสียงฟ้าผ่าพร้อมลมพายุพลันดังสนั่นขึ้น หมอกลำแสงสีดำสนิทที่กระโจนเข้ามาจากทางเดินดูเหมือนจะพบกับพลังการขับไล่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า คราแรกพลันแข็งตัว จากนั้นก็ทยอยกันหมุนวนกระจายตัวออกไปรอบๆ ด้าน 

 

 

ส่วนกระบี่สวรรค์ทมิฬที่เทวรูปสีทองถืออยู่ลดระดับลงแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะโจมตีไปยังไอวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ใกล้ๆ และดูดซับมันเข้าไป จากนั้นพลันสับลงมา 

 

 

ชั่วขณะนั้นกระบี่ลำแสงสีเขียวมรกตพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น เปล่งแสงเจิดจ้าราวกับอัสนีฟ้าฟาดลงมาสายหนึ่ง ชั่วพริบตาก็สะท้อนจนทุกอย่างสว่างไสวในรัศมีสองสามลี้ 

 

 

ไอมารสีดำสนิทเหล่านั้นก็ไม่อาจปกปิดกระบี่ลำแสงนี้ได้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

ระลอกคลื่นสีดำที่แต่เดิมดูดุดัน เมื่อถูกกระบี่ลำแสงสาดส่องลงมา ก็หยุดชะงัก 

 

 

ครู่ต่อมากลางอากาศก็ถูกพลังไร้รูปร่างแบ่งออกเป็นด้านบนและล่างสองส่วน 

 

 

ขอบของด้านบนเป็นลำแสงสีเขียว มีอักขระห้าสีหมุนวนอยู่ ด้านล่างเป็นคลื่นสีดำทะมึน ลำแสงสีดำที่ลึกซึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางทะลักออกมา 

 

 

ตรงจุดที่เขตแดนทั้งสองตัดสลับกันกลับเปล่งเสียงระเบิดที่เสียดแก้วหูออกมา จากนั้นระลอกคลื่นไร้รูปร่างสองกลุ่มก็ระเบิดออก ม้วนห้วงเวลาทั้งหมดไปราวกับพายุหมุน 

 

 

นอกจากหานลี่และวานรมารที่อยู่ตรงข้ามแล้ว ทุกแห่งที่ระลอกคลื่นกฎเกณฑ์กวาดผ่านไป ทุกอย่างจะถูกม้วนเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ถูกบีบให้แตกเป็นเสี่ยงๆ กลับคืนสู่ความว่างเปล่าดังเดิม 

 

 

ในเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ที่มีพลังกฎเกณฑ์สองกลุ่มปะทะกันนั้น แค่กะพริบวาบสองสามครั้งก็สลายหายไป คราแรกกลายเป็นกระบี่บินสีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มดังเดิม จากนั้นแค่เปล่งแสงสว่างวาบกลางระลอกคลื่น แล้วกลายเป็นดวงลำแสงสีเขียวพลันสลายกลายเป็นฝุ่นควัน 

 

 

เห็นได้ชัดว่ากระบี่ลำแสงสีเขียวมรกตที่สร้างขึ้นจากพลังกฎเกณฑ์มีอานุภาพเหนือกว่าระลอกคลื่นสีดำที่อยู่ด้านล่าง ทำให้เขาแค่ฝืนต้านทานเอาไว้ และถูกลำแสงสีเขียวกดเอาไว้ในทันที พลังกฎเกณฑ์ที่แฝงอยู่ทยอยกันปริแตกท่ามกลางอานุภาพที่แข็งแกร่งขึ้น 

 

 

เทวรูปวานรยักษ์ภูเขาเหนือศีรษะของจิตวิญญาณดั้งเดิมวานรมาร หลังจากสับออกมาครั้งแรก ร่างกายก็หดเล็กลงเช่นกัน ตอนนี้ได้รับผลกระทบจากพลังกฎเกณฑ์ของกระบี่ลำแสงสีเขียวมรกต กระบี่มารที่ถืออยู่ในมือก็ปริแตกออก 

 

 

เทวรูปวานรยักษ์ภูเขายิ่งถูกพลังไร้รูปร่างพัวพันเอาไว้ สุดท้ายก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป 

 

 

“สมบัติสวรรค์ทมิฬ! สมบัติสวรรค์ทมิฬที่สมบูรณ์แบบ เป็นไปไม่ได้…” ลำแสงสีโลหิตรอบจิตวิญญาณดั้งเดิมของวานรมารสั่นเทา ชั่วครู่ก็ร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ราวกับว่าเห็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่สุดในโลกอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ทว่าผู้ที่เห็นลำแสงสีเขียวกำลังจะกดลงมานั้นพลันตกใจจนขวัญกระเจิง ฉับพลันนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งบินหนีไปทางห้องโถง 

 

 

แต่ลำแสงโลหิตเพิ่งจะบินหนีไปได้แค่ยี่สิบสามสิบจั้ง กระบี่ลำแสงสีเขียวมรกตแค่กะพริบวาบ พลังฟ้าดินสีเขียวก็ห่อหุ้มจิตวิญญาณดั้งเดิมวานรมารเอาไว้ ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น 

 

 

ท่ามกลางลำแสงสีเขียวสายรุ้งสีโลหิตแค่หยุดชะงัก วานรมารสีโลหิตปรากฏขึ้นอีกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนรวมตัวกับอากาศรอบด้าน พลางนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

พลังสะเทือนฟ้าดินเข้ามาประชิด 

 

 

ครู่ต่อมาบรรยากาศรอบๆ วานรมารในรัศมีสิบจั้งพลันมีเสียง “กึกกัก” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

 

 

ทั่วทั้งบรรยากาศมีรอยแยกสีขาวอ่อนเป็นสายๆ ปรากฏขึ้นราวกับกระจก จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของจิตวิญญาณดั้งเดิมของวานรมารดังออกมาจากด้านในอย่างต่อเนื่อง แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับหุ่นไม้ 

 

 

คาดไม่ถึงว่าวานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้จะเพลี่ยงพล้ำลงที่นี่ 

 

 

หลังจากที่ชั้นบรรยากาศปริแตกก็มีหลุมดำขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น 

 

 

เศษชิ้นส่วนของจิตวิญญาณดั้งเดิมวานรมารรวมทั้งเศษห้วงเวลาสีขาวรอบๆ แค่หมุนติ้วๆ ก็ถูกหลุมดำกลืนกินเข้าไปอย่างเงียบเชียบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

ส่วนลำแสงสีดำในหลุมดำก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างน่าพิศวง 

 

 

เหลือเพียงใบมีดชำรุดสีม่วงที่กลับคืนสู่สภาพเดิมลอยนิ่งอยู่ไกลออกไป 

 

 

หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง สองมือร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว พลางชี้ไปทางเทวรูปกลางอากาศอย่างแผ่วเบา 

 

 

ชั่วขณะนั้นเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้เหนือศีรษะก็สะบัดกระบี่สวรรค์ทมิฬในมือเบาๆ ชั่วขณะนั้นใบมีดกระบี่สีเขียวมรกตพลันกลายเป็นม่านลำแสงห้าสีแล้วสลายหายไป กลับคืนรูปเดิมเป็นผลสวรรค์ทมิฬอีกครั้ง พลันร่อนลงมาจากกลางอากาศ 

 

 

หานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ ม่านลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งม้วนวนออกมา หมายจะเก็บสมบัติชิ้นนี้เข้าไป 

 

 

แต่ผลสวรรค์ทมิฬกลับเปล่งแสงสีเขียวมรกตสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในแขนอีกข้างหนึ่งของเขา 

 

 

หานลี่รู้สึกเพียงว่าจุดที่มันจมหายไปนั้นแสบร้อนมาก ทันใดนั้นก็ยกแขนขึ้นด้วยความร้อนรน พลางถลกแขนเสื้อขึ้นสูง 

 

 

เห็นเพียงบนแขนที่เปลือยเปล่ามีสัญลักษณ์สีเหลืองเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือรูปผลสวรรค์ทมิฬ 

 

 

และยิ่งไปกว่านั้นรอยผนึกนี้ยังจางหายไปอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สุดท้ายก็กลายเป็นรอยจางๆ รอยหนึ่ง 

 

 

หานลี่มุมปากกระตุกเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา 

 

 

ดูเหมือนว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นนี้จะยอมรับแขนข้างนี้ของเขาแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะสิงเข้าไปบนร่างของเขาอีกครั้งและยังผนึกตนเองอีกด้วย 

 

 

ทว่าในเวลาเดียวกันที่ผลสวรรค์ทมิฬหายวับไป ความแปลกประหลาดบนทางเดินก็สลายหายไปราวกับฟองอากาศ พลังกฎเกณฑ์ที่ลอยตัวอยู่เต็มท้องฟ้าก็หายไปชั่วพริบตา 

 

 

ทั้งทางเดินกลับมามีไอมารหมุนวนดังเดิมอีกครั้ง 

 

 

หานลี่มองไปยังจุดที่ไกลออกไปแวบหนึ่ง รูม่านตาฉายแสงสีฟ้าสว่างวาบ ชูแขนข้างหนึ่งโดยไม่ปริปากพลางตะปบนิ้วทั้งห้าไปกลางอากาศ 

 

 

ท่ามกลางไอมารที่อยู่ไกลออกไป ดวงลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นอย่างแปลกประหลาดหลังจากนั้นพลันผนึกรวมตัวกัน ลำแสงสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นยี่สิบสามสิบดวงรวมตัวกันเป็นหนึ่ง แค่หมุนคว้างก็กลับคืนสู่ร่างกระบี่สีเขียวความยาวสองสามชุ่นเจ็ดสิบสองเล่มดังเดิม 

 

 

นั่นก็คือสิ่งที่โดนลูกหลงอย่างกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่ถูกพลังกฎเกณฑ์ทำให้แตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ 

 

 

ทว่าอาศัยอิทธิฤทธิ์แปลงกายของตัวกระบี่บินเองนั้น หลังจากคืนร่างเดิมในยามนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก 

 

 

เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น! 

 

 

กระบี่บินเหล่านั้นกลายเป็นลำแสงสีเขียวยี่สิบกว่าสายพุ่งกลับมา แต่หลังจากที่มาอยู่ตรงหน้าหานลี่แล้วหยุดชะงักแล้วปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง 

 

 

หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนกระบี่บินเหล่านี้อย่างรวดเร็วสองสามครั้ง เมื่อมั่นใจว่าพวกมันแค่สูญเสียปราณแท้ไปเล็กน้อย ไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ถึงได้พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง 

 

 

สองมือพลันร่ายอาคมเก็บกระบี่บินทั้งหมดเข้าไปในแขนเสื้อ! 

 

 

จากนั้นหานลี่พลันมองไปยังจุดที่ไกลออกไปอีกแวบหนึ่ง ใบหน้ามีสีหน้าร้อนแรงปรากฏขึ้น นิ้ววาดไปยังจุดที่ไกลออกไปอย่างต่อเนื่อง 

 

 

สิ่งของสีดำเล็กหนึ่งอันใหญ่หนึ่งอันพลิ้วไหว แยกกันบินออกมาจากไอมาร แค่กะพริบวาบสองสามครั้งก็มาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ 

 

 

อันหนึ่งคือกายเนื้อของวานรมารที่ถูกเกราะสงครามห่อหุ้มเอาไว้อย่างแน่นหนา อีกอันหนึ่งคือใบมีดชำรุดความยาวครึ่งฉื่อ 

 

 

หานลี่มองไปยังวานรมารก่อน ดูจากใบหน้ากายเนื้อด้านในกลายเป็นซากแห้งๆ ซากหนึ่ง ส่วนเกราะสงครามสีม่วงที่อยู่ภายนอกนั้น ดูเหมือนว่าจะเพลี่ยงพล้ำไปตามวานรมาร สูญเสียอานุภาพไปกว่าครึ่ง หม่นแสงลงเป็นอย่างมาก 

 

 

เขาพลันขมวดคิ้วฉับพลันนั้นนิ้วทั้งห้าพลันพลิ้วไหว กดไปยังทรวงอกของเกราะสงครามสีม่วงอย่างเงียบเชียบ 

 

 

ปลายนิ้วทั้งห้ามีหมอกลำแสงสีเทาสว่างวาบ เกราะสีม่วงที่แต่เดิมแน่นหนาพลันเปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา จากนั้นก็แยกชิ้นส่วนออกเป็นหลายส่วนท่ามกลางลำแสงสีเทา จากนั้นพลันหมุนวนรอบหนึ่ง กลายเป็นลำแสงสีม่วงสองสามสายพุ่งออกไปทั่วทั้งสารทิศ 

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางเหมือนไม่ได้สูญเสียพลังวิญญาณไป! 

 

 

แต่หานลี่เคยเห็นอานุภาพที่น่าตกตะลึงของเกราะสงครามสีม่วงนี้แล้ว จะไม่เตรียมการป้องกันเลยสักนิดได้อย่างไร 

 

 

ทันใดนั้นพลันแค่นเสียงด้วยความเย็นชา แทบจะในเวลาเดียวกันที่ลำแสงสีม่วงพุ่งออกไปก็สะบัดแขนเสื้อ หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวผืนหนึ่งก็บินออกมาจากแขนเสื้อ 

 

 

เห็นเพียงลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป ลำแสงสีม่วงเหล่านั้นถูกเส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นสลายตัวออกแล้วพัวพันไว้ด้านในจนหมด 

 

 

จากนั้นแขนเสื้อของหานลี่พลันมีสิ่งหนึ่งบินออกมาพร้อมเสียงเพรียกไพเราะ สูงประมาณสองสามฉื่อ นั่นก็คือเตานภาสูญ 

 

 

เมื่อเตานภาสูญบินมา เส้นไหมสีเขียวก็หมุนวนกลับไป เก็บลำแสงสีม่วงทั้งหมดเข้าไปในเตา 

 

 

จากนั้นฝาเตาก็ลดระดับลงมาอีกครั้ง เตาใบเล็กหมุนติ้วๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าหานลี่ไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

เลิกคิ้วขึ้น หลังจากสะบัดแขนเสื้อไปตามอำเภอใจแล้ว เตาใบเล็กก็สลายหายไปอย่างน่าพิศวง 

 

 

หานลี่ถึงได้กลอกตาไปมา ตกอยู่ที่ซากแห้งที่โผล่ออกมาตรงหน้า 

 

 

ผิวของซากแห้งนี้ล้วนเต็มไปด้วยขน แต่ผิวหนังกลับมีสีม่วงดำ ราวกับว่าดำรงอยู่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว  

 

 

แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออก ไอกระบี่สีเขียวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมา และครู่ต่อมาก็ฟันลงไปบนซากแห้ง  

 

 

เขาคิดจะแยกร่างของวานรมารออกเป็นสองส่วน 

 

 

แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายก็คือ เสียง “เคร๊ง” ดังขึ้นราวกับกระทบกับทองคำอย่างไรอย่างนั้น กระบี่ลำแสงสับลงไปบนซากแห้งแล้วถูกดีดออก ไม่อาจสับซากนี้ให้ขาดได้เลยสักนิด 

 

 

หานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็กะพริบตา แขนข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้ออย่างช้าๆ 

 

 

ชั่วขณะนั้นในมือพลันมีลำแสงสว่างวาบ กระบี่เล่มเล็กสีเขียวเล่มหนึ่งพลันทะลักออกมา จากนั้นก็พลิ้วไหวกลายเป็นขนาดความยาวสองสามฉื่อ สีเขียวขจี ท่าทางเย็นยะเยือกดูดุดัน 

 

 

แค่สะบัดข้อมือ กระบี่ยาวสีเขียวก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งทิ่มไปยังจุดตันเถียนของซากแห้งอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิดทันที 

 

 

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะโจมตีไปยังต้นไม้ที่แห้งเ**่ยว ปลายกระบี่ทิ่มไปที่ซากแห้ง คาดไม่ถึงว่าจะทิ่มลึกเข้าไปแค่สองชุ่น แล้วก็ถูกดีดกลับออกมา  

 

 

หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี 

 

 

คาดไม่ถึงว่ากายเนื้อของวานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตนนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ต่างอะไรจากเขาเท่าใดนัก หากก่อนหน้านี้ไม่ใช่เขตอาคมกระบี่กักอีกฝ่ายเอาไว้ หากมารตัวนี้หนีออกมาได้ละก็ แค่เกราะสีม่วงชุดนั้นและกายเนื้อที่แข็งแกร่งของมัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานได้ง่ายๆ แล้ว 

 

 

คู่ควรกับที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับอินทรีย์ขั้นกลางจริงๆ ไม่อาจเทียบกับเผ่าแมลงมีเขาระดับอินทรีย์ขั้นต้นที่เคยประมือกับเขาในตอนแรกเลยสักนิด 

 

 

หากไม่ใช่สมบัติสวรรค์ทมิฬ หากอีกฝ่ายอยู่ในช่วงเวลาที่พรั่งพร้อมสมบูรณ์ เขาก็มีเพียงโอกาสที่จะหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น 

 

 

สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง หานลี่กลับไม่ได้มีเจตนาจะหยุด 

 

 

แขนเปล่งแสงสีทองเรืองรอง ในเวลาเดียวกันลมปราณในร่างก็ทะลักออกมา ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในกระบี่ยาวสีเขียวในมือ 

 

 

ชั่วขณะนั้นกระบี่ยาวพลันเปล่งเสียงร้องราวกับมังกรคำรามออกมา จากนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ตัวกระบี่เปล่งแสงเย็นยะเยือก คาดไม่ถึงว่าจะค่อยๆ บาดลึกเข้าไปในซากแห้งทีละนิดๆ 

 

 

เมื่อตัวกระบี่จมลึกเข้าไปในจุดตันเถียนของซากแห้งได้สองสามชุ่น หานลี่ก็สะบัดข้อมือ ปลายกระบี่เปล่งเสียงแควกพลางตวัดออกเป็นรูกลมๆ ขนาดเท่าปากชาม 

 

 

จากนั้นกระบี่ยาวสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป มืออีกข้างหนึ่งของหานลี่ตะปบไปทางจุดตันเถียนของซากแห้ง 

 

 

หลังจากเสียง “สวบ” ดังขึ้น ของสิ่งหนึ่งก็บินออกมาจากจุดตันเถียน  

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset