ปิงเฟิงได้ยินก็ตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ทันใดนั้นดวงตาคู่งามก็หลับตาลง จิตใจสงบ ปล่อยจิตสัมผัสไปทางหานลี่
ยามนี้หานลี่ยกนิ้วขึ้นแล้วชะงักเล็กน้อย ปลายนิ้วมีลำแสงสว่างวาบ เส้นไหมผลึกบางๆ ดีดออกมา ครึ่งหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหว่างคิ้วของปิงเฟิง
ปิงเฟิงมีสีหน้าราบเรียบ หว่างคิ้วมีเส้นไหมที่เชื่อมกับปลายนิ้วของหานลี่เพิ่มขึ้นมา ท่าทางไม่ผิดปกติเลยสักนิด
ส่วนดวงตาของหานลี่กลับมีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง นิ้วสะบัดออกเบาๆ ทำให้ผลึกเส้นไหมพลิ้วไหวไปมาไม่หยุดเช่นกัน
ฉับพลันนั้นหานลี่พลันขมวดคิ้ว มือหนึ่งร่ายอาคมประหลาดๆ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!
ผลึกเส้นไหมที่เดิมดูเหมือนจะโปร่งใสพลันเปลี่ยนสี ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวนวล และยิ่งไปกว่านั้นยังเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ พลิ้วไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา ใบหน้าปิงเฟิงกลับมีสีหน้าคล้ายกับเจ็บปวดปรากฏขึ้น และแฝงไว้ด้วยการดิ้นรน
เสียงร้องเบาๆ ดังขึ้น!
หญิงสาวพลันลืมตาทั้งสองข้าง ผลึกเส้นไหมตรงหว่างคิ้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เรือนร่างชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ ราวกับว่าถูกงมขึ้นมาจากน้ำก็ไม่ปาน
และยามนี้ดวงตาคู่งามของนางเลอะเลือนเล็กน้อย ราวกับว่ายังไม่ค่อยได้สติก็ไม่ปาน
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา แค่สะบัดแขนเสื้อไปฝั่งตรงข้าม รัศมีสีเขียวก็ม้วนวนเข้ามา
ชั่วพริบตานั้นปิงเฟิงที่ลำแสงสีเขียวมาประชิดร่างก็มีปฏิภาณไหวพริบว่องไว ชั่วขณะนั้นแววตาพลันกลับมาสดใสอีกครั้ง
“สหายลองตรวจสอบจิตวิญญาณของตนเองดูว่าเหมือนกับแต่ก่อนหรือไม่?” หานลี่เอ่ยถามอย่างไม่รีบร้อน
“ขอบพระคุณพี่หานที่ช่วยเหลือ แม้ว่าจะไม่มีวิธีที่แม่นยำพูดออกมา แต่ข้าสัมผัสได้ว่าของจำนวนมากที่เดิมไม่เคยรู้สึกในจิตวิญญาณดูเหมือนจะถูกทำลายไปแล้ว เป็นเพราะสหายมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร หายนะของน้องหญิงสูญหายไปแล้ว” ปิงเฟิงรีบตรวจสอบถึงได้ตอบกลับด้วยความดีใจเกินคาด
“ไม่เป็นไร แค่พลังจิตสัมผัสของข้าแข็งแกร่งกว่าระดับมหายานทั่วๆ ไปเท่านั้นมิเช่นนั้นคงไม่ทำได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ และสาเหตุที่ข้าทำได้ถึงขั้นนี้กว่าครึ่งล้วนเป็นเพราะจิตสัมผัสของเซียนผู้นั้นถูกพลังแห่งเขตแดนกดเอาไว้ มิเช่นนั้นต่อให้เป็นข้า กว่าครึ่งก็คงทำอันใดไม่ได้” หานลี่ตอบกลับอย่างอ่อนโยน
ด้านข้างยังคงเป็นหกปีกที่ยังไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้ เมื่อเห็นฉากนี้ใบหน้าที่แข็งชาก็ไม่อาจเผยสีหน้าใดๆ ได้ แววตายังคงอดที่จะฉายแววตกตะลึงออกมาไม่ได้
หานลี่ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความคิดที่เปลี่ยนไปทันทีของหกปีก จึงหันกายเอ่ยกับเขาอย่างราบเรียบ
“ข้ามีเรื่องต้องให้เจ้าจัดการ หากเจ้าทำได้ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้าคลายพลังสัญญาณโลหิต และปล่อยเจ้าเป็นอิสระอย่างเป็นทางการ มิเช่นนั้นจากความแตกต่างของจิตสัมผัสของเจ้ากับข้าในยามนี้ ขอแค่ไม่ได้บรรลุขึ้นไปแดนเซียน เจ้าก็ต้องถูกข้ากดอย่างไร้ซึ่งพลังขัดขืนไปชั่วชีวิต”
สิ้นเสียงหานลี่ก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม นิ้วชี้ไปกลางอากาศ ชั่วพริบตาพลังของจิตสัมผัสกลุ่มหนึ่งก็ทะลวงผ่านร่างของเขา ในเวลาเดียวกันม่านลำแสงกั้นเสียงก็ห่อหุ้มทุกอย่างในบริเวณรอบเอาไว้
หกปีกรู้สึกเพียงว่าในจิตสัมผัสมีอันใดสักอย่างขยับ ร่างกายผ่อนคลายลงกลับมาเป็นอิสระ แต่สีหน้าอดที่จะดูไม่ได้กว่าเดิม
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าทำอันใด?” เขาจ้องเขม็งไปที่หานลี่แล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“ข้ามีวัตถุดิบที่ไม่อาจรวบรวมได้อยู่ เจ้าช่วยข้าไปหาที่แดนอื่นๆ ละแวกนี้หน่อย ขอแค่เจ้าช่วยข้ารวบรวมได้ครบภายในพันปี ข้าก็จะทำตามสัญญา ช่วยเจ้าคลายสัญญาโลหิต เป็นการตอบแทน ยามนี้ข้าสามารถช่วยเจ้าคลายตราประทับจิตสัมผัสที่เซียนทำไว้กับเจ้าก่อน อีกอย่างข้าต้องการให้เจ้าสัญญาว่า หลังจากนี้หากเผ่ามนุษย์ประสบกับหายนะ เจ้าต้องลงมือช่วยเหลือสามครั้ง” หานลี่เอ่ยด้วยความราบเรียบดังเดิม
“เงื่อนไขแค่นี้?” หกปีกได้ยินกลับตกตะลึงไปเล็กน้อย
“ยามนี้เจ้าอยู่ในระดับมหายานแล้ว ให้เจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงอีก ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าข้าจะอาศัยพลังของสัญญาณโลหิตสังหารเจ้าได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับข้าแล้วกลับไม่มีประโยชน์อันใด” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“เจ้าเอารายการวัตถุดิบมา ข้าจะดูก่อน ส่วนช่วยเผ่ามนุษย์นั้น ให้ข้าทำเรื่องหนึ่งเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หกปีกขบคิดอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ย่อมไม่มีปัญหา ทว่า วันนี้หากเจ้าไม่สาบาน ข้าก็จะไม่คลายสัญญาณโลหิตให้เจ้า” หานลี่เอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น สะบัดแขนเสื้อ คัมภีร์สีขาวบินออกมา
หกปีกใช้มือหนึ่งกวักเรียก ดูดคัมภีร์เข้ามาในมือ หลังจากแตะที่หน้าผาก จิตสัมผัสก็กวาดไปด้านในรอบหนึ่ง
รายการวัตถุดิบด้านในมีไม่มากนัก มีแค่สิบกว่าชิ้นเท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาวัตถุดิบเหล่านี้อย่างละเอียด แม้ว่าจากระดับมหายานของเขาในยามนี้ ก็อดที่จะสูดลมหายใจอย่างเย็นเยียบไม่ได้
วัตถุดิบเหล่านี้แม้ว่าจะไม่ใช่วัตถุดิบล้ำค่าในตำนานที่หายสาบสูญไปแล้ว แต่ทุกชนิดล้วนเป็นของหายากมาก ไม่ใช่ว่าจะหาเจอได้ในระยะเวลาอันสั้น
เมื่อคำนวนเล็กน้อย ภายใต้สถานการณ์ปกติ ปีที่ผ่านๆ มาก็อาจจะเพียงพอแล้วเท่านั้น
“หึ เจ้าอ้าปากกว้างนัก หากข้าตกลง ในพันปีก็ไม่ต้องฝึกบำเพ็ญเพียรแล้ว ต้องช่วยเจ้าหาวัตถุดิบเหล่านี้ทั้งหมด” หกปีกแค่นเสียงหึ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร
“หากเจ้าไม่ตกลง อย่าลืมล่ะ หากไม่มีสมุนไพรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ข้าเสียไปกับเจ้าตอนแรก ทำให้เจ้ากลายพันธุ์สำเร็จสองสามครั้ง เจ้าเองก็ไม่อาจเบิกสติปัญญา และสุดท้ายก็เดินมาอยู่ในขั้นนี้ได้” หานลี่เอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น แต่ความเย็นชาบนเรือนร่างกลับแผ่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ผู้ใดบอกว่าจะไม่ตกลง เรื่องนี้ข้าตกลง ภายในพันกว่าปีสำหรับเผ่าอสูรวิญญาณไม่นับว่ายาวนานอันใด แลกกับอิสระได้ก็ถือว่าคุ้มค่า” หกปีกใจหายวาบ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“ได้ ทำเช่นนี้ถึงจะเป็นผลลัพธ์ที่น่ายินดีทั้งสองฝ่าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะช่วยเจ้าคลายตราประทับจิตสัมผัสก่อนแล้วเจ้าก็ไปได้ หากไปสาย ข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดออกไปจากแดนหมิงซาได้” หานลี่เอ่ยอย่างไม่ประหลาดใจเลยสักนิด
“ได้ ภายในพันปีข้าจะต้องหาวัตถุดิบทั้งหมดให้ครบ แล้วกลับมาพบเจ้าอีกครั้ง” หกปีกใจหายวาบ แต่ใบหน้าก็ไม่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเลยสักนิด
หานลี่หัวเราะน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นชี้ไปที่เขาอีกครั้ง จิตสัมผัสกลายเป็นผลึกเส้นไหมพุ่งแหวกอากาศไป…
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หกปีกพลันตบเท้า พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ปีกจักจั่นที่แผ่นหลังทั้งสามแค่กระพือ ก็กลายเป็นผลึกลำแสงพุ่งไปยังขอบของแดนหมิงซา
“พี่หาน เจ้าบอกว่าไปสายไป ก็ไม่อาจรักษาชีวิตได้ เป็นความจริงหรือ” ปิงเฟิงมองหกปีกที่จากไปไกล ก็เอ่ยถามหานลี่อย่างฉงนเล็กน้อย
“จริงอยู่แล้ว ผู้ที่อยู่ที่นี่จะต้องตายทั้งหมด”
หานลี่มองผู้พิทักษ์ของพันธมิตรซางเกือบพันคนรอบๆ มุมปากเผยสีหน้าเยาะเย้ยออกมาขณะเอ่ย
“อันใดนะ หรือว่าพันธมิตรซางคิดจะ…”
“สหายปิงเฟิง เจ้าเองก็รีบไปซะ กลับไปยังเผ่ามนุษย์เถิด ครั้งนี้ในเมื่อเจ้าได้ประสบการณ์แล้วจากนี้ก็พักอยู่ในเผ่าชั่วคราว ไม่บรรลุระดับมหายานก็อย่าออกมาภายนอกง่ายๆ”
ปิงเฟิงใจหายวาบ แต่ไม่รอให้นางพูดจบ ก็ถูกหานลี่ตัดบท
“เจ้าค่ะ น้องหญิงเข้าใจแล้ว แม้พี่หานจะเตรียมตัวไว้แล้ว แต่ก็ต้องรักษาตัวด้วย” ปิงเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้พลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวเปล่งแสงเย็นเยียบออกมา แล้วหมุนวนกลายเป็นหงส์น้ำแข็งความยาวสิบจั้งเศษ กระพือปีกทั้งสองข้าง ส่งเสียงร้องไพเราะออกมาแล้วพุ่งแหวกอากาศไปอีกทาง
แทบจะในเวลาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ห่างออกไปสองสามพันลี้ เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นพลันดังขึ้น เขตอาคมลำแสงสีขาวบิดเบี้ยวแล้วระเบิดออก ลำแสงสีขาวสาดกระเซ็นไปรอบด้าน อสูรยักษ์ความสูงร้อยจั้งเศษพุ่งออกมา
อสูรตัวนี้หัวเป็นกวางตัวเป็นหมี สวมชุดเกราะสงครามสีเหลือง ชูคอร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วหมุนวนกลายเป็นวายุสีเหลืองพุ่งไปหาจุดที่หานลี่อยู่
“พวกเจ้ารักษาการณ์ที่นี่ไว้ให้ดี ข้าจะรีบไปรีบกลับ” หานลี่แววตาเปล่งประกายสีฟ้า แล้วทุกอย่างก็เข้ามาในครรลองสายตา กระตุ้นอาคมในมือ ถอนม่านลำแสงกั้นเสียงออก แล้วออกคำสั่งกับผู้พิทักษ์พันธมิตรซางทุกคน แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียว พุ่งไปทางที่อสูรยักษ์หัวกวางพุ่งมา
จากความเร็วของทั้งสองระยะห่างแค่นี้ย่อมมาถึงได้ในพริบตา
หยางลู่ที่กลายเป็นอสูรยักษ์เห็นสายรุ้งสีเขียวเจิดจ้าพุ่งแหวกอากาศมาก็ใจหายวาบทันที แต่ใบหน้ากลับเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา มือยักษ์โบกไปด้านหน้า
เสียง “ตึง” ดังสนั่นขึ้น!
กลางอากาศมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ฝ่ามือขนปุกปุยขนาดเท่าภูเขาขนาดย่อมแหวกอากาศมาทันที ตะปบไปด้านล่างอย่างแรง คาดไม่ถึงว่าจะตะปบสายรุ้งสีเขียวไว้ในมือ
หยางลู่พลันดีใจ กระตุ้นอาคมในใจ นิ้วทั้งห้าของฝ่ามือยักษ์ที่มีขนปุกปุยพลันออกแรง บีบสายรุ้งสีเขียวให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ในยามนี้ฝ่ามือยักษ์พลันมีเสียงกรีดร้องดังมา
สายรุ้งสีเขียวพลิ้วไหวกลายเป็นมังกรวารียักษ์สีเขียวขนาดสมจริง แค่แยกเขี้ยวตะปบเล็กโบกไปมาเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นกระบี่ลำแสงสีเขียวหนาๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากในร่าง แล้วปล่อยออกมานับพันสายอย่างหนาแน่น
แม้ว่าฝ่ามือยักษ์สีเหลืองจะแน่นหนาราวกับภูเขา ชั่วพริบตาก็ถูกกระบี่ลำแสงเหล่านั้นกลืนกิน ชั่วครู่ก็ถูกสับออกจนระเบิดเป็นชิ้นๆ
มังกรวารีสีเขียวส่งเสียงร้องคำรามยาวๆ ออกมา ลำแสงหม่นแสงลงแล้วหายวับไป ที่เดิมมีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวปรากฏกายขึ้น
“ดูจากท่าทางของสหาย น่าจะเป็นสหายหยางลู่ ไม่ทราบว่าข้าน้อยเดาผิดหรือไม่” เนตรวิญญาณของหานลี่ทะลุผ่านวายุสีเหลืองไปเห็นร่างอสูรยักษ์หัวกวางตัวหมีแล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“เจ้าคือผู้ใด? ดูแล้วอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา ในเมื่อรู้จักข้า ยังกล้ามาขวางทางข้าอีก” แม้ว่าหยางลู่จะประหลาดใจกับฉากเมื่อครู่ แต่ก็ตะโกนด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม
“ข้าน้อยหานลี่จากเผ่ามนุษย์ รับหน้าที่ดูแลตาอาคม แม้จะไม่อยากต่อสู้กับผู้ใด แต่ในเมื่อมีหน้าที่ก็ทำได้เพียงต้องรั้งสหายไว้ที่นี่” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หานลี่? ไม่เคยได้ยิน แต่พูดจาโอหังนัก แค่ระดับมหายานคนหนึ่งกล้ามากำเริบเสิบสานใส่ข้า” หยางลู่ได้ยินพลันโกรธเกรี้ยว ฉับพลันนั้นพลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง วายุสีเหลืองบริเวณรอบทะลักเข้าไปในปากเขาราวกับคลื่นน้ำ ท้องของเขาขยายใหญ่ขึ้น ชั่วพริบตาก็ปูดโปนจนเป็นลูกบอลทรงกลม
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น
อสูรยักษ์อ้าปากออกอีกครั้ง พ่นเมล็ดสีเหลืองจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา หลังจากหมุนวนก็รวมตัวกันกลายเป็นทะเลทรายพุ่งม้วนวนไปหาหานลี่