บนยันต์สีทองผืนนี้มีอักษรสีทองขนาดเล็กเท่าเม็ดข้าวปรากฏขึ้นอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ตัวอักษรบิดไปบิดมาไม่หยุด ราวกับว่ามันมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง
เมื่อหม่าเหลียงเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เขย่ายันต์สีทองใบนั้นด้วยท่าทีเฉียบขาด
“ตู้ม” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
หลังจากยันต์สีทองกะพริบส่องแสงแล้ว และกลายเป็นสายรุ้งสีทองยาวหลายจั้ง ล้อมรอบตัวของหม่าเหลียงเอาไว้
ในขณะเดียวกัน สองมือของหม่าเหลียงก็เริ่มร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว ปากก็พ่นเคล็ดวิชาบางอย่างออกมา
เมื่อเห็นว่าปราณสีขาวดำไหลออกมาจากตัวเขาแล้ว ชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีดำก็เริ่มแผ่ปราณบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวออกมา อีกทั้งยังแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่องและบ้าคลั่ง ในชั่วพริบตาเดียวปราณที่อยู่ข้างๆ ก็โดนปราณชนิดนี้ควบคุม จนอดส่งเสียงครางเสียงต่ำออกมาไม่ได้
ปราณชนิดนี้นั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีในแดนวิญญาณ
ด้านนอกของทะเลโลหิต อิ๋นกังจือกำลังกระตุ้นของวิเศษ เซาจ้วงสีเงินนับร้อยสาย โจมตีไปที่มังกรสีเลือดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จนลำตัวของมันทะลุเป็นรูพรุนนับร้อย ทำให้ใบหน้าของเขามีประกายความภาคภูมิใจ
แต่วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที สายตาของเขาหันไปจ้องมองกลางทะเลโลหิตทันที
มหาเมธีคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ถึงปราณที่อันตรายตรงกลางทะเลโลหิตเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดหยุดการโจมตีลงด้วยความตกใจ เพราะพวกเขาต้องแบ่งความสนใจไปยังการเปลี่ยนแปลงที่กลางทะเลโลหิต
สำหรับหมิงจุนที่รับผิดชอบการดูแลบริเวณนี้ หลังจากที่เขาสัมผัสได้ถึงปราณที่แข็งแกร่งนี้ เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจ แต่กลับหรี่ตามอง พร้อมเผยสีหน้าคาดหวัง
“ปัง” เสียงหนึ่งดังขึ้น
ทันใดนั้นเองกลางวงแหวนก็มีแสงแสงหนึ่งปรากฏขึ้นมา หลังจากแสงสว่างนั้นจางลง ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเทา ที่มีนามว่า เซวียนจิ่วหลิง ก็ปรากฏตัวออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว
“เกิดอะไรขึ้น? เหมือนว่าเจ้าจะเสียเปรียบไม่น้อยเลย แต่เจ้าสังหารปีศาจได้แล้วหรือ?” หมิงจุนเหลือบสายตามองเขา หลังจากพบว่าไม่เห็นเพื่อนร่วมทางที่อยู่ข้างกาย เขาก็ถามขึ้นด้วยความตกใจ
“ไม่หรอก ได้ยินมาว่าปีศาจตัวนั้นเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟในตำนาน โชคดีที่มันไม่มีสติปัญญา เป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้น ข้าจึงมีชีวิตกลับมาได้ แต่ว่าเจ้าวางใจเถอะ มันถูกฆ่าตายไปแล้ว ส่วนตาค่ายตรงนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ มันไม่มีทางทำให้เจ้าเสียเรื่องแน่” เซวียนจิ่วหลิงถอนหายใจพร้อมตอบออกมา
“อสูรศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟ? มิน่าล่ะ สมแล้วที่อีกฝ่ายเป็นคนจากแดนเซียน ยังสามารถนำตัวอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งแบบนั้นติดตัวมาด้วยได้ เจ้ายังไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาเก้าภัยพิบัติทำลายวิญญาณใช่หรือไม่?” เมื่อหมิงจุนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกได้ เขาก็รีบถามต่ออย่างรีบร้อน
“วางใจเถอะ เคล็ดวิชานั้นมีเพียงโอกาสเดียวที่ข้าจะต้องโจมตีเซียนผู้นั้น ข้าจะเอาออกมาใช้ง่ายๆ ได้อย่างไร หากใช้ไปแล้วจริงๆ ข้าคงไม่ดูจนตรอกขนาดนี้หรอก” เซวียนจิ่วหลิงตอบพร้อมกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่กระตุกเล็กน้อย
“งั้นก็ดี เหมือนว่าเซียนผู้นั้นจะเริ่มเปิดผนึกแล้ว เพื่อเตรียมตัวฟื้นฟูพลังอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าจะต้องลงมือแล้ว รีบกินหยวนตันน้ำเม็ดนี้เร็วเข้า จากนั้นก็เดินลมปราณซะ มันจะทำให้บาดแผลของเจ้าดีขึ้น” สีหน้าของหมิงจุนอ่อนลง แต่เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง โอสถสีน้ำเงินเข้มเม็ดหนึ่งก็พุ่งตรงไปหน้าชายสวมชุดสีเทา
“ขอบคุณท่านมาก หยวนตันน้ำน่าจะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับสถานการณ์เช่นนี้” เซวียนจิ่วหลิงเองก็ไม่เกรงใจ จึงคว้าโอสถเม็ดนั้นแล้วใส่เข้าปากทันที
เมื่อกลืนลงท้องไปแล้ว เขาก็นั่งลงขัดสมาธิอยู่ที่เดิมและหลับตา เริ่มต้นการเยียวยาทันที
วินาทีถัดมา ก็เห็นแสงสีฟ้าๆ ส่องสว่างออกมาบางๆ จากบาดแผล ส่วนที่ไหม้เกรียมก็ค่อยๆ หายไป ในขณะเดียวกันเส้นเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มประสานกัน และเกิดเป็นกล้ามเนื้อส่วนใหม่ขึ้นมา
เมื่อหมิงจุนเห็นดังนั้นจึงเบือนหน้าออกไปมองที่กลางทะเลโลหิตอีกครั้ง
ตอนนั้นเขาจึงได้ยินเพียงเสียงดังโครมครามจากกลางทะเลโลหิตเท่านั้น ดังนั้นน้ำสีเลือดทั้งหมดก็เกิดเป็นระลอกคลื่นที่บ้าคลั่งขึ้นมา และเกิดเป็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าซัดเข้ามา
มังกรโลหิตแปดตัวและคนยักษ์สี่ตนก็โดนกระตุ้นอย่างรุนแรง จนทำให้มันขนาดใหญ่ขึ้นหลายเท่า ตอนนั้นเองอสูรดำสี่หัวกับมหาเมธีคนอื่นๆ ก็โดนโจมตีกันอย่างต่อเนื่อง
ปราณที่น่าสะพรึงกลัวกลางทะเลโลหิต แข็งแกร่งจนกระทั่งไม่ว่าใครที่ได้สัมผัสก็รู้สึกหวาดกลัวจนทนไม่ไหว
กลางท้องฟ้ามีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงครั้งหนึ่ง และมีกลุ่มเมฆเจ็ดสีกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นโดยไม่สนใจตำแหน่งของค่ายกลเม็ดฝุ่นสองลักษณ์เลย อีกทั้งมันก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวมันก็ปกคลุมจนทั่วบริเวณนี้
ทันใดนั้นเองเมฆเจ็ดสีก็เปลี่ยนไป ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นจากด้านใน สายฟ้าสีม่วงทองสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา
กลางทะเลโลหิต หม่าเหลียงก็ยังคงปิดตาและใช้มือร่ายคาถาไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเองรอบๆ ตัวเขาก็มีอักษรรูนสีม่วงทองปรากฏขึ้นมาอย่างหนาแน่น
หลังจากที่อักษรเหล่านั้นหมุนวนอยูหลายรอบ มันก็ร้อยเรียงกันเป็นโซสีม่วงทองเจ็ดแปดเส้น หลังจากที่มันสั่นกึกๆ อยู่ครู่หนึ่ง มันก็วนรอบตัวหม่าเหลียง
“ตู้ม” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ยันต์สีทองที่บินวนรอบหม่าเหลียงนั้น อยู่ๆ ก็ระเบิดขึ้นมา แสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกมา ชั่วพริบตาเดียว โซ่สีทองก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้หมดแล้ว
เสียงระเบิดดังขึ้น
เหนือร่างของหม่าเหมียง มีเด็กคนหนึ่งร่างสีทองปรากฏขึ้นมา
เด็กคนนั้นไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เขาโบกมือไปทางโซ่สีม่วงทองที่ถูกพันกันอยู่
ทันใดนั้นเองก็มีเสียง “ตู้มๆ” ดังขึ้น
พริบตาเดียวโซ่สีม่วงทองเจ็ดแปดเส้นนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพร้อมพุ่งไปที่หม่าเหลียงทันที พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ร่างเด็กตัวเล็กก็สั่นไหว ม่านสีทองม้วนหนึ่งก็หมุนกลับไปที่เหนือศีรษะ
ร่างของหม่าเหลียงก็แผ่ปราณที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ทันใดนั้นเสียงนั้นก็หายไปทันที เขาหลับตาลงช้าๆ แต่มุมปากยังคงรอยยิ้มเยาะอยู่
เหนือท้องฟ้ามีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง เมฆเจ็ดสีและสายฟ้าสีม่วงทองเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปแล้ว
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ กลางท้องฟ้าก็กลับมาเป็นสภาพเดิมเหมือนดั่งเช่นตอนแรก ราวกับว่าเมื่อครู่มันคือภาพลวงตาเท่านั้น
แม้ว่าอิ๋นกังจือและคนอื่นๆ ไม่มีทางมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของหม่าเหลียงที่อยู่กลางทะเลโลหิตได้เลย แต่ปราณที่น่าสะพรึงกลัวกลับหายไปแล้ว ทำให้มหาเมธีถอนหายใจออกมาด้วยความผ่อนคลาย จากนั้นก็รีบกระตุ้นการโจมตีคู่ต่อสู้อย่างดุเดือดอีกครั้ง
อีกทั้งในขณะนี้ หม่าเหลียงที่อยู่กลางทะเลโลหิตก็ยกมือขึ้น นิ้วชี้ของเขาพุ่งไปสู่ความว่างเปล่าที่อยู่ด้านนอก
มักรโลหิตแปดตัวและคนยักษ์สี่ตนต่างคำรามอย่างโมโห รอยสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา หลังจากที่แสงสีเลือดกะพริบทั่วท้องฟ้า ฟ้ามืดครึ้มลง และระเบิดกลายเป็นฝนสีเลือดตกลงมา ความว่างเปล่าที่อยู่ด้านนอกโดนปกคลุมจนสิ้น
อิ๋นกังจือและคนอื่นๆ ไม่สามารถป้องกันได้ทัน ดังนั้นจึงตกใจและรีบหลบเขตอาคมทันที
อสูรสีดำสี่หัวบิดตัวไปมา จากนั้นก็หายไปในหมอกสีดำดังเดิม
แต่บริเวณที่เมฆฝนสีเลือดปกคลุมไว้ มีอาณาเขตกว้างมาก นอกจากนี้มันยังไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ชายหัวโล้นและหญิงที่สวมชุดนางในเคลื่อนไหวช้าไปหนึ่งก้าว ทำให้ถูกฝนเลือดนั้นโจมตี
ทั้งสองคนรู้สึกตกใจอย่างมาก
แต่ชายหัวโล้นคำรามเสียงต่ำ จานสีเงินที่ลอยคว้างอยู่ก็กลายเป็นม่านลำแสงสีเงิน ปกคลุมด้านนอกของเขาไว้ ในขณะเดียวกันร่างของเขาก็ค่อยๆ เลือนราง และกลายเป็นเงาสีเทากลุ่มหนึ่ง
หญิงสาวที่สวมชุดนางในสีเขียวอ่อนกลับทรุดตัวลง สองมือยกขึ้นมาร่ายคาถา
พร้อมเสียงระเบิดดังลั่น
ด้านบนของศีรษะผู้หญิงคนนี้กลายเป็นไข่มุกจำนวนมากมาย ด้านบนของเธอมีของวิเศษทุกชนิดที่สามารถนำออกมาใช้ป้องกันได้ อักษรรูนสีเขียวปรากฏออกมา มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันร่างกายของนางทั้งหมด
สมแล้วที่เป็นมหาเมธีที่แข็งแกร่ง เมื่อเห็นเม็ดฝนสีแดงดำ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัว พวกเขาจึงต้องใช้วิธีป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดมาป้องกันตนเอง
ในตอนนั้นเอง โลหิตพิรุณนับร้อยก็หยดลงมากระทบมหาเมธีทั้งสอง
เมื่อหยาดพิรุณเหล่านั้นสัมผัสกับเกราะที่ป้องกันและม่านแสง ทำให้เกิดระเบิดทะลุม่านแสงลงไปสัมผัสก็ร่างของมหาเมธีทั้งสองทันที
ทั้งสองกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนทันที
ชายหัวล้านกับหญิงสาวสวมชุดนางในสีเขียวอ่อน รีบกลายร่างเป็นสายรุ้งและพุ่งตัวออกมาจากใต้เมฆฝน ทั้งสองคนปรากฏตัวอยู่บริเวณใกล้เคียงของพวกเขา อิ๋นกังจือและคนอื่นๆ เห็นดังนั้น ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความตกใจ
เขาเห็นว่าใบหน้าของชายหัวโล้นผู้นั้นหายไปครึ่งซีกแล้ว มีเพียงกระดูกสีขาวที่โผล่ออกมา ทำให้คนที่เห็นรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
แม้ว่าใบหน้าของหญิงสาวสวมชุดนางในสีเขียวอ่อนจะไม่ได้บุบสลาย แต่แขนข้างหนึ่งของนางละลายหายไปแล้ว ขนาดกระดูกก็ไม่เหลือให้ดูต่างหน้าเลย
“การโจมตีของโลหิตพิรุณเหล่านี้มันคืออะไรกัน น่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ” เมื่อฮูหยินอูหลิงเห็นดังนั้น ก็พูดโพล่งขึ้นมา
ส่วนคนอื่นๆ ก็มีสีหน้ามืดครึ้มเช่นกัน
“เหมือนว่าจะเป็นขั้นสุดยอดของผู้บำเพ็ญเพียรสายโลหิตในตำนาน ที่สามารถบ่มเพาะโลหิตได้ถึงขั้นนี้ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าเลือดหนึ่งหยดสามารถทะลวงภูเขาและมหาสมุทรได้ หากพลังนี้ไม่ใช่พลังระดับนั้น แต่ว่าก็น่าจะใกล้เคียงแล้วล่ะ”
อิ๋นกังจือและคนอื่นๆ ยืนอยู่บนระลอกคลื่นเหล่านั้น หมิงจุนสาวเท้าออกมา แล้วพูดด้วยความเคร่งเครียด
“พลังแห่งโลหิต? หึๆ กล้าเรียกพลังเช่นนี้ว่าพลังแห่งโลหิตได้อย่างไร มันเป็นแค่การขัดเกลาและสั่งสมก่อนข้าได้ไม่นานเท่านั้น ห่างไกลจากพลังแห่งเลือดที่แท้จริงหลายขุมนัก” เสียงดังขึ้นจากกลางทะเลโลหิตอย่างราบเรียบ
น้ำสีเลือดจากทะเลโลหิตก็แยกฝั่งกันอย่างชัดเจน ทันใดนั้นเงาที่เย็นชาของหม่าเหลียงก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นคือหม่าเหลียง ฮูหยินอูหลิงและคนอื่นๆ ก็ชะงักไป สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ฝ่ายตรงข้ามตาเขม็ง
“ท่านเป็นคนที่มาจากแดนเซียนจริงหรือ?” หลังจากรูม่านตาของหมิงจุนหดเล็กลงแล้ว เขาก็ถามขึ้นอย่างใจเย็น
“ถูกต้อง ข้าบรรลุเป็นเซียนเมื่อไม่รู้กี่ปีก่อนหน้านี้แล้ว หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้ข้ามีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ข้าคงไม่มีทางลงมาที่โลกเล็กๆ ของพวกเจ้าหรอก” หม่าเหลียงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ภารกิจ? ท่านมีเรื่องอันใดที่เกี่ยวข้องกับแดนวิญญาณของพวกเรา ท่านสามารถบอกได้หรือไม่?” เมื่อหมิงจุนได้ยินเช่นนั้น ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปทันที และถามต่ออย่างไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า
“ไม่มีความจำเป็น เรื่องนี้ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ขอเพียงฆ่าพวกมดปลวกเช่นพวกเจ้าให้หมด เช่นนี้ข้าจะก็สามารถจัดการเรื่องได้อย่างง่ายดายแล้ว ส่วนตอนนี้น่ะหรือ? ข้าจะส่งพวกเจ้าไปตามทางก็แล้วกัน”หม่าเหลียงเอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่สนใจว่ามหาเมธีที่อยู่ตรงข้ามเขาจะมีสีหน้าอย่างไร เขากลับแบมือขึ้นมาด้านหน้า ทันใดนั้นมีดอกกล้วยไม้ที่คล้ายกับเคล็ดวิชาโบราณโผล่ออกมาจากนิ้วทั้งห้าของเขา