“เจ้าพูดจริงหรือไม่?” สีหน้าของเด็กตัวเล็กผิวสีแดงเปลี่ยนไปตลอด ไม่รู้ว่าเขาจับใจความของชายผิวเข้มประโยคไหนได้ จึงทำให้เขาโพล่งถามออกมาแบบนี้ เขาใช้แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยหันไปสำรวจหานลี่
หานลี่เองก็หรี่ตามองเขาเล็กน้อย เขายังมีความรู้สึกแปลกใจอยู่ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
“สิ่งที่ข้าพูดได้ ข้าก็พูดไปหมดแล้ว เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า” ชายผิวคล้ำเบะปากทำหน้าบึ้ง ราวกับไม่ใส่ใจอะไรสักอย่าง
“ได้ ข้าจะเชื่อเจ้าอีกสักครั้ง สหายหานสินะ ข้าสามารถเป็นทาสของเจ้าได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ตอนที่เจ้าจะไปที่แดนเซียน เจ้าต้องพาข้าไปด้วยนะ หลังจากไปถึงที่แดนเซียนแล้ว หากเจ้าสามารถช่วยข้าหาไข่มุกจิตวิญญาณกลับมาให้ข้าได้อีก ข้าก็สามารถเป็นทาสของเจ้าต่อไปได้อีกในระยะหนึ่ง เจ้าสามารถใช้ข้าเป็นยานพาหนะได้หมื่นปี ส่วนสัญญาทาส ก็สามารถใช้พันธสัญญาปีศาจสวรรค์เขียนขึ้นมาพร้อมกันได้” ขณะที่ชายร่างเล็กพูดเช่นนั้น แววตาแสงสีแดงของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมา
“หากสหายหั่วเต็มใจจะตอบตกลงก็ดี เพราะข้าเองก็ไม่อยากเสียเจ้าไป” หานลี่ตอบพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อมู่กวงเห็นว่าทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ก็ไม่พูดเรื่องไร้สาระอีก เขาอ้าปาก พร้อมพ่นปราณมารสีดำเหมือนหมึกขึ้นไปในอากาศ
หลังจากปราณเหล่านั้นควบแน่นกันแล้ว มันก็กลายเป็นม้วนหนังสือสีดำเข้ม และค่อยๆ หล่นลงมาด้านล่าง
“ข้าเขียนเนื้อหาของพันธสัญญาเอาไว้ด้านในแล้ว พวกเจ้าสองคนลองอ่านดู หากไม่มีปัญหาล่ะก็ ใช้เลือดของตนเองเขียนชื่อพร้อมประทับรอยนิ้วมือของตนเองลงไป”
เมื่อพูดจบ ชายผิวเข้มก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ไปที่ม้วนหนังสีดำ เมื่อลมพัดมา มันก็กลายเป็นสัญลักษณ์โบราณที่ดูแปลกตาประทับอยู่ตรงม้วนหนังฉบับนั้น
จากนั้นเขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลำแสงโลหิตที่ออกมาจากระหว่างคิ้วก็หายเข้าไปม้วนหนังฉบับนั้นอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เองก็ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง หลังจากที่เขาก้มหน้าอ่านอย่างละเอียด พร้อมพยักหน้าอย่างพอใจ
เนื้อหาที่อยู่ในพันธสัญญาไม่ได้ต่างจากที่เราคุยกันมากนัก ข้อกำหนดบางส่วนที่ผ่อนคลายมากกว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรก
พันธสัญญาฉบับนี้ ความจริงแล้วก็เป็นเพียงแค่สัญญาที่เอาไว้คานอำนาจกันมากกว่า
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ หานลี่กลับรู้สึกพอใจไม่น้อย
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น พร้อมหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปที่สัญญา
บนเลือดหยดนี้ มีแสงสีเขียวปรากฏขึ้นมาจางๆ เมื่อมันสัมผัสกับม้วนหนัง มันก็เปลี่ยนเป็นอักขระสีทองโบราณ คำว่า “หานลี่”
หานลี่สะบัดข้อมือแล้วโยนม้วนหนังสีดำไปยังหั่วซวีจือ
หั่วซวีจือเป็นสัตว์อสูรวิญญาณธาตุไฟ หลังจากที่เขากวาดสายตามองผ่านๆ เขาก็ร่ายคาถาลงไปอย่างลวกๆ
“พรึ่บๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้น
ม้วนหนังสีดำ ค่อยๆ พร่าเลือน จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวแล้วหายไปกลางอากาศทันที
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพันธสัญญาปีศาจสวรรค์ก็เขียนเสร็จเรียบร้อยอย่างง่ายดาย
“เรื่องก็น่าจะประมาณนี้แหละ พวกเจ้าทั้งสองกลับเผ่ามนุษย์กับข้าก็แล้วกัน ข้าเชื่อว่าเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากพวกท่านทั้งสอง จากนี้ข้าต้องได้รับผลประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุดแน่นอน” หานลี่กล่าวด้วยสีหน้านุ่มนวล
“หึๆ ในเมื่อลงชื่อพันธสัญญากันเรียบร้อยแล้ว พวกเราทั้งสองคนก็จะปฏิบัติตามข้อตกลง สหายไปที่ใด พวกเราสองคนก็จะไปที่นั้น” ชายหนุ่มผิวเข้มพูดขึ้น
“งั้นก็ดี หลังจากจัดการเรื่องสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็น่าจะออกเดินทางได้แล้ว” หานลี่พยักหน้า
“เรื่องสุดท้าย? หรือว่าเจ้าพูดถึงคนที่แอบฟังพวกเราคุยกันที่ด้านล่าง ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วใช่หรือไม่?” หั่วซวีจือเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปทางนั้น
อีกทั้งเมื่อพูดจบ พื้นที่ด้านล่างก็มีแสงสว่างขึ้น เขตอาคมรัศมีลำแสงห้าสีก็ปรากฏขึ้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่และคนอื่นๆ ก็ลงไปยังพื้นที่แห่งนั้น เมื่อระลอกคลื่นเกิดขึ้น รุ้งสีขาวสายหนึ่งก็ทะลุผ่านไปยังเขตอาคมรัศมีลำแสงนั้น
ดูเหมือนว่าหมัวกวง ปีศาจสวรรค์จะรู้เรื่องนี้นานแล้ว จึงใช้หลังมือตบลงไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ตู้ม” เสียงดังขึ้นหนึ่งครั้ง
เขตอาคมลำแสงก็มีเปลวไฟประหลาดที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมันก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หลังจากที่รุ้งสีขาวบินวนอยู่หนึ่งรอบ มันก็ปรากฏรูปร่างเดิมออกมาในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้เห็นว่า คนผู้นั้นคือ “หมิงจุน” อีกคนหนึ่ง
เพียงแต่ปราณในร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าเดิมหลายเท่า แววตาที่เขามองไปที่หานลี่ดูย่ำแย่อย่างมาก
“ที่แท้ก็เป็นสหายหมิงจุนนี่เอง ดูเหมือนว่าคนที่ตายก่อนหน้านี้คือร่างแยกของท่านเท่านั้นสินะ” เมื่อหานลี่เห็นว่าหมิงจุนปรากฏกายออกมา เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร จึงถามขึ้นมาเสียงเรียบ
“ร่างแยก? ร่างแยกอะไรกันจึงสามารถปิดบังมหาเมธีเหล่านั้นได้ หมิงจุนคนก่อนหน้านี้ก็คือข้า เพียงแต่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของข้าเท่านั้น แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่า ที่ลงทุนวางแผนมานานขนาดนี้ สุดท้ายต้องมาเสียเปรียบให้สหายหานเช่นนี้” หลังจากสีหน้าของหมิงจุนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง เขาจึงได้ตอบกลับเบาๆ
ในตอนนี้หมิงจุนรู้สึกอารมณ์เสียอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาก็อยู่ในชนวนระเบิดเขตอาคมนั้นด้วย เขาโดนการสะท้อนกลับเพียงหนึ่งส่วน แต่ก็ทำให้บาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นคงไม่ล่าช้าจนถึงตอนนี้ จนทำให้เขาได้เห็นฉากที่หานลี่ตัดหัวของหม่าเหลียงได้สำเร็จ
จึงทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อย
ดีที่เขาวางแผนได้อย่างลึกซึ้ง แม้ตนเองจะรู้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกไป
“ที่แท้สหายก็ใช้เคล็ดวิชาแบ่งวิญญาณนี่เอง มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ผู้น้อยแซ่หานจึงไม่รู้สึกผิดสังเกตเลย แต่ว่าสหายระเบิดเขตอาคมของตนเองแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการเซียนผู้นั้นได้ แม้กระทั่งคนชั้นล่างก็ยังรอดจากมันได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่หมิงก็ควรให้คำอธิบายกับข้าด้วยนะขอรับ” หานลี่หันไปมองหมิงจุน พร้อมพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ
“สหายต้องการคำอธิบายอะไร ต่อให้ข้าพูดออกไป นั้นก็เป็นสิ่งที่ข้าทำได้แล้ว ข้าไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ที่ผู้น้อยแซ่หมิงได้วางแผนเช่นนั้นลงไป ก็ทำเพื่อแดนวิญญาณ หากข้าไม่ระเบิดเขตอาคมนั้นก่อน แม้ว่าสหายหานจะมีฝีมือที่ยากจะคาดเดา แต่ก็เกรงว่าจะไม่สามารถฆ่าเซียนผู้นั้นได้ล่ะมั้ง” หมิงจุนยิ้มออกมาอย่างขื่นขม พร้อมกับค่อยเพิ่มปราณในร่างกายของตัวเองอย่างเงียบๆ ในขณะเดียวกันของวิเศษหลายอย่างก็นำออกมาซ่อนไว้ในแขนเสื้ออย่างเงียบๆ
“พี่หมิงได้โปรดวางใจ ผู้น้อยแซ่หานไม่ให้ท่านทำเรื่องที่ท่านทำไม่ได้หรอก เพียงแค่ข้าต้องการหัวของท่านก็เท่านั้น ที่ท่านพูดก็น่าสนใจแต่มันใช้งานจริงไม่ได้ ก่อนหน้านี้ท่านก็เกือบทำให้ข้ากลายเป็นเครื่องสังเวยในเขตอาคมของท่าน นั่นคือเรื่องจริง รอให้ข้าฆ่าท่านได้แล้ว แล้วค่อยให้ทุกคนในแดนวิญญาณสรรเสริญวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ของท่านดีกว่านะ” หลังจากที่หานลี่ได้ยินดังนั้น เขาก็พูดขึ้นมาอย่างประชดประชัน
เมื่อหมิงจุนได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างไม่รอช้า ไข่มุกสีเลือดนับสิบเม็ดก็ปรากฏออกมา เมื่อเขาร่ายคาถาอีกครั้ง เสียงฟ้าคำรามและลมกรรโชกแรงก็เกิดขึ้น กงล้อพายุสายฟ้ามีขนาดเท่ากับศีรษะมนุษย์ ในขณะเดียวกันที่ด้านหลังของเขาก็มีเสียงดัง “ตู้มๆ” ปีกสีขาวหิมะคู่หนึ่งที่มีขนาดหลายสิบจั้งก็โผล่ขึ้นมา
เมื่อเขาเห็นสายฟ้าแปร๊บๆ และปีกสีขาวคู่นั้นสยายออกมา เขาก็รีบหายตัวไปจากจุดเดิมทันที
ตอนนั้นเองก็ได้ยินเหมือนเสียงแตกกระจายกลางอากาศ และเขาก็ปรากฏตัวห่างจากที่เดิมประมาณพันจั้ง และรีบหนีไปโดยไม่หันกลับมามองด้านหลัง
เมื่อหานลี่เห็นดังนั้น เขาก็แค่นเสียงหัวเราะหนึ่งที ขยับแขนขึ้นมา ในตอนที่เขากำลังจะทำอะไรสักอย่าง หมัวกวงที่อยู่ด้านข้างก็ก้าวนำไปหนึ่งก้าว พร้อมพุ่งไปยังพื้นที่ว่างเปล่า ตอนนั้นเองพายุสีดำที่บ้าคลั่งก็ถือกำเนิดขึ้น
ไข่มุกสีเลือดทั้งสิบลูกนั้นก็สั่นไหวขึ้นอย่างรุนแรง ไข่มุกทั้งหมดถูกพัดเข้าไปสู่ใจกลางของพายุ จากนั้นก็มีเสียงดัง “ปังๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไข่มุกสีเลือดเหล่านั้นทยอยระเบิดตัวเองกลายเป็นลูกเพลิงสีเลือด พลังของมันไม่ได้ปล่อยออกมาข้างนอกเลยแม้แต่น้อย
“พี่หาน คนผู้นี้ปล่อยให้ข้ากับหั่วซวีจือจัดการก็แล้วกัน พวกเราสองคนเพิ่งจะลงพันธสัญญาปีศาจสวรรค์ น่าจะต้องแสดงฝีมือต่อหน้าท่านเสียหน่อย” หมัวกวงสะบัดแขนข้างหนึ่งแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ได้ ในเมื่อสหายทั้งสองมีใจ เช่นนั้นก็ฝากด้วยแล้วกัน คนผู้นี้ก็มีประสบการณ์เยอะเช่นเดียวกัน พวกเจ้าทั้งสองคนต้องระวังหน่อยนะ” เมื่อหานลี่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปมองเด็กตัวหนึ่งผิวสีแดงชาดที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่าทางเหมือนจะลองของเต็มที่ เขาจึงเปลี่ยนใจตอบตกลง
“ฮ่าๆ พี่หานวางใจเถอะ แค่ฆ่าคนนี้ ความจริงแค่ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว” หลังจากหั่วซวีจือหัวเราะเสียงดัง เขาก็กลิ้งตัวออกไป พร้อมกลายร่างเป็นมังกรสีแดงชาดที่มีขนาดหลายสิบจั้งอีกครั้ง เขาไล่ล่าตามไปอย่างบ้าคลั่ง
หนุ่มผิวคล้ำที่อยู่ด้านข้าง ก็หัวเราะเบาๆ แล้วกลายร่างเป็นเส้นสีดำเส้นหนึ่ง พร้อมพุ่งตัวออกไปทันที
ชั่วพริบตาเดียวทั้งสามคนก็หายจากเส้นขอบฟ้าไป
หานลี่หรี่สายตามอง จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง แมลงปีกแข็งสีทองขนาดไม่กี่ชุนก็บินออกมาทันที
“จินเอ๋อร์ เจ้าก็ตามพวกเขาไปด้วย อย่าให้พวกเขาจับได้นะ” หานลี่ออกคำสั่ง
แมลงปีกแข็งสีทองพยักหน้าน้อยๆ ให้กับหานลี่ ร่างกายหดเล็กลงจากเดิมสิบเท่า หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆ เลือนราง และกลายเป็นกลุ่มเงาจางๆ กลุ่มหนึ่ง แล้วตามพวกเขาทั้งสามไปทันที
ตอนนั้นหานลี่ค่อยแสดงสีหน้าและแววตาไว้วางใจออกมา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พลิกมือข้างหนึ่งขึ้น กลางฝ่ามือของเขาปรากฏสร้อยข้อมือมิติสีทองสว่างขึ้นมาหนึ่งอัน หลังจากที่ใช้จิตสัมผัสสำรวจมันแล้ว ใบหน้าของเขาก็เปล่งประกายความดีใจขึ้นมา
หลังจากเห็นว่ารัศมีลำแสงปรากฏขึ้นที่ตรงข้างหน้า และมีขวดหมึกสีเขียว น้ำเต้าสีขาวเงิน และป้ายหยกที่หักเล็กน้อยปรากฏขึ้นมา
หลังจากที่หานลี่ใช้จิตสัมผัสสำรวจของเหล่านี้แล้ว เขาก็คว้าน้ำเต้าสีขาวเงินนั้นไว้ พร้อมเทของที่อยู่ข้างในออกมา ตอนนั้นเองของที่ออกมาคือโอสถสีทองสองเม็ดที่ทุกคนรู้จักกันอย่างดี
“โอสถจิตวิญญาณแท้ คิดไม่ถึงเลยว่าเซียนผู้นี้จะมีของเช่นนี้ด้วย บนตัวเขายังมีของอีกมาก ก่อนหน้านี้เคยหาจากตัวของหยางลู่ ก็เจอโอสถแบบนี้เหมือนกัน” หานลี่พูดพึมพำ และไม่สามารถซ่อนความดีใจบนใบหน้าได้เลย
เขาสะบัดแขนเสื้ออีกหนึ่งที โอสถสีทองและน้ำเต้าสีขาวเงินก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากหานลี่สะบัดมืออีกครั้ง เขาก็คว้าขวดหมึกสีเขียวมาไว้ในฝ่ามือ หลังจากที่เขาถือมันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เก็บมันลงไปด้วยท่าทางสง่างาม และสายตาก็หันมามองป้ายหยกที่มีรอยคราบเลือดอยู่
“ป้ายชะตาชีวิต?”
“ไม่น่าจะเป็นของเซียนคนนั้นที่ข้าเพิ่งฆ่าไปหรอก ไม่เช่นนั้นมันคงพังไปหมดแล้ว แต่หากเป็นของคนอื่น? มายังโลกมนุษย์ยังพกของแบบนี้มาอีก มันน่าแปลกจริงๆ หรือว่าเจ้าของของป้ายชะตาชีวิตนี้จะเป็นคนของแดนวิญญาณ?” หานลี่สัมผัสได้ถึงลมหายใจของป้ายชะตาชีวิตนี้ จึงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
“สหายหาน หากเจ้าอยากรู้ความจริงล่ะก็ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องร่ายคาถาเคล็ดวิชาลับลงบนป้ายชะตาชีวิตแผ่นนี้ ก็สามารถรู้ได้แล้วว่าเจ้าของของป้ายชะตาชีวิตนี้อยู่บนแดนวิญญาณแห่งนี้หรือไม่?” นักพรตเซี่ยที่ยืนเงียบมาตลอด ก็พูดประโยคนี้ขึ้น