เมื่อหานลี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจสั่นไปเล็กน้อย เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาสะบัดแขนเสื้ออีกหนึ่งครั้ง พร้อมเก็บป้ายชะตาชีวิตนั้นลงมา
ภายในสร้อยข้อมือมิติ ไม่ได้มีขอแค่นี้เท่านั้น นอกจากจะมีศาสตรายุทธ์ที่ไม่รู้วิธีใช้อีกเจ็ดแปดชิ้น แล้วยังมียันต์สีทองเงิน และศิลาผลึกสีทองอ่อนอีกจำนวนมาก
แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในถ้ำของตนเอง จึงไม่สะดวกที่จะเอาของเหล่านี้ออกมาดูอย่างละเอียด
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หานลี่จึงยืนรออยู่ที่เดิมอย่างสงบนิ่ง
หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง พื้นที่ว่างเปล่าบริเวณใกล้เคียงก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ราชาแมลงกลืนทองคำที่กลายร่างเป็นแสงสีทองบินออกมา หลังจากที่มันส่องแสงแล้ว มันก็บินเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่กะพริบตาสองสามครั้ง จากนั้นเขาก็ตั้งใจฟังเสียงของราชาแมลงกลืนทองคำ สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงดัง “ตู้มๆ” จากในระยะไกล เส้นสีดำและแสงสีแดงก็ทะลุม่านอากาศเข้ามา หลังจากนั้นไม่กี่วินาที พวกเขาก็มาปรากฏตัวที่ด้านหน้าของหานลี่แล้ว
แสงที่ว่านั่นคือหมัวกวงและหั่วซวีจือ
“สหายทั้งสองกลับมาเร็วมาก แล้วดูเหมือนว่าพวกท่านจะไม่ได้กลับมามือเปล่าสินะ” หานลี่เหลือบสายตามองทั้งคู่ แล้วถามกลับอย่างยิ้มๆ
“หึๆ แน่นอนอยู่แล้ว แม้ว่าคนผู้นี้จะมีฝีมือ แต่ก็ไม่คณามือพวกเราสองคนหรอก” หั่วซวีจือหัวเราะคิกคัก พร้อมโยนของสองอย่างให้กับหานลี่
แววตาของหานลี่สว่างวาบ เขาสะบัดแขนเสื้อ พลังไร้รูปร่างก็พวยพุ่งออกมา ของสองสิ่งนั้นก็หยุดอยู่กลางอากาศด้านหน้าของเขา
คาดไม่ถึงว่ามันคือเปลือกของจิตวิญญาณก่อกำเนิดที่เหี่ยวแห้งผิดรูปผิดร่าง และแหวนมิติสีดำอ่อน
“แก่นปราณจิตวิญญาณก่อกำเนิดของคนคนนี้ข้าดูดจนแห้งแล้ว เกรงว่าจะไม่มีสิทธิกลับอยู่ในสังสารวัฏแล้ว ส่วนของที่เขาทิ้งเอาไว้ พวกเราสองคนไม่มีทางใช้ได้ เช่นนั้นก็ต้องมอบให้สหายแล้ว”
หมัวกวงพูดขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“เช่นนั้นผู้น้อยแซ่หานจะไม่เกรงใจแล้วนะ ครั้งนี้ลำบากสหายทั้งสองคนแล้ว เราอยู่ที่นี่หายไม่ได้ พวกเรารีบไปกันเถอะ” หลังจากหานลี่กวาดสายตามองจิตวิญญาณก่อกำเนิดที่แห้งเหี่ยวแล้ว ก็พบว่าใบหน้าของเขาดูบิดเบี้ยวอย่างมาก แต่นี่ก็เป็นหน้าของหมิงจุนอย่างแน่นอน จึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เก็บแหวนมิติสีดำอ่อนวงนั้นไว้ พร้อมสะบัดมืออีกข้าง ทันใดนั้นก็มีเปลวเพลิงสีชาดปรากฏขึ้นมา แล้วเผาไหม้เปลือกจิตวิญญาณของหมิงจุนจนกลายเป็นเถ้าธุลี
หมัวกวงและหั่วซวีจือก็ไม่มีความเห็นคัดค้านกับเรื่องนี้
หานลี่สะบัดอีกครั้ง รถเหาะสีเขียวที่ดูเหมือนธรรมดาก็ปรากฏขึ้น ทั้งสามคนก็เคลื่อนย้ายร่างตัวเองไปบนรถคันนั้น
ส่วนนักพรตเซี่ยกลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาร่ายคาถา เสียงระเบิดดังลั่น จากนั้นเขาก็กลายเป็นประจุสายฟ้าพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่
รถเหาะสีเขียวคันนี้มีขนาดสิบกว่าจั้ง มันค่อยๆ สั่นเล็กน้อย จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเขียวแล้วทะลุม่านอากาศออกไป
สามวันผ่านมา คนของกลุ่มการค้าพันธมิตรระดับสูงและลูกศิษย์ที่เหลืออยู่ ต่างเดินทางเข้ามาในพื้นที่การต่อสู้ พวกเขาเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง
แน่นอนว่านอกจากการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ พวกเขาก็ไม่เห็นผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนที่มีชีวิตเหลือรอดเลย
ในตอนแรกเพื่อต่อสู้กับหม่าเหลียง หมิงจุนจึงจัดมหาเมธีที่มีความแข็งแกร่งไว้ และไม่ได้เหลือคนอื่นๆ เอาไว้เลย
คนเหล่านี้จึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร ฝ่ายตรงข้ามยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เขาจึงไม่กล้ารั้งอยู่ที่สถานที่แห่งนี้เป็นเวลานาน หลังจากตรวจสอบอย่างลวกๆ แล้วรีบแยกย้ายกลับไปรายงานหัวหน้าของตนเองโดยทันที
หลังจากนั้นไม่กี่เดือนต่อมา มีรายงานออกมาว่าผู้แข็งแกร่งของแต่ละเผ่านั้นล้วนตายหมดแล้ว ตายอยู่ในสนามรบแห่งนั้น
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นไม่นานทุกเผ่าก็ได้รับรู้ข่าวเรื่องนี้โดยทั่วกัน
แต่เรื่องที่เซียนผู้นั้นถูกฝังตายพร้อมกันหรือไม่นั้น ยังไม่มีหลักฐานออกมาอย่างแน่ชัด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าต่างๆ ในแดนวิญญาณต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เพราะกลัวว่าเซียนผู้นั้นจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วฆ่าล้างเผ่าไหนเป็นรายต่อไป
หลังจากนั้นหนึ่งปี ก็มีข่าวที่แพร่กระจายในเผ่ามนุษย์เท่านั้นที่บอกว่า เซียนผู้นั้นตายไปแล้ว ตายเพราะเขตอาคมเม็ดฝุ่นสองลักษณ์
ข่าวนี้ชี้ชัดว่า หมิงจุนคนที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของกลุ่มการค้าพันธมิตรจงใจเสียสละผู้แข็งแกร่งบางส่วนให้กับเขตอาคมแห่งนั้น บวกกับแรงระเบิดตัวเองของเขตอาคมจึงทำให้เขาตายไปพร้อมกับเซียนผู้นั้น
หลังจากข่าวครึ่งจริงครึ่งไม่จริงถูกเผยแพร่ออกไป ก็ทำให้แดนวิญญาณเกิดความโกลาหลมากขึ้น
กองกำลังขนาดใหญ่ทุกกองรีบตรวจสอบอย่างเร่งด่วน จึงพบว่าคนที่เข้าร่วมต่อสู้นั้นมีผู้แข็งแกร่งคนนี้จริงๆ และคนผู้นั้นก็ยังอยู่ที่เผ่าด้วย
หลังจากข่าวนี้ได้รับการยืนยันแล้ว แน่นอนว่าทำให้คนในเผ่าจำนวนไม่น้อยรู้สึกตกใจอย่างมาก มหาเมธีของเผ่าขนาดใหญ่จำนวนมากต้องรีบวางงานในมือลง แล้วรีบไปยังเผ่ามนุษย์
คนในจำนวนนั้นมีคนที่อยากรู้เรื่องราวสงครามนั้นอย่างแท้จริง แต่ก็มีคนอีกจำนวนมาก ที่ต้องการตามหาสิ่งของที่เซียนผู้นั้นทิ้งเอาไว้
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่อยู่ในสงครามครั้งนั้นล้วนตายไปแล้ว แต่มีเพียงหานลี่เท่านั้นที่สามารถกลับมายังเผ่าของตัวเองได้อย่างปลอดภัย สมบัติของเซียนผู้นั้นจะต้องอยู่ในมือของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เผ่าอื่นๆ ในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนก็ยังดีหน่อย เพราะว่าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาล้วนตายไปหมดแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องการสมบัติของเซียนคนนั้นมากแค่ไหน แต่เขาก็ต้องถามตัวเองว่า จะสู้กับคนที่อยู่จุดสูงสุดอย่างหานลี่ได้หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรอชมเท่านั้น
แต่มหาเมธีคนอื่นๆ ที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่ทั้งสองต่างหลั่งไหลเข้ามาที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนแห่งนี้
เวลาเพียงแค่ครึ่งปี มหาเมธีที่เข้ามาอยู่ที่เผ่ามนุษย์ ก็สามารถหาที่อยู่ของหานลี่ได้อย่างง่ายดาย
แต่ที่ทำให้คนแปลกใจก็คือ ไม่ว่ามหาเมธีเหล่านั้นจะลอบวางแผนการอะไร หรือหาทางเข้าไปอย่างไร แต่เมื่อเจอพลังของราชาแมลงกลืนทองคำกับนักพรตเซี่ยก็ต้องถอยร่นลงไปทุกราย
เรื่องนี้ทำให้คนที่ได้ใกล้ชิดล้วนประหลาดใจกันทุกคน
ในช่วงเวลาสั้นๆก็มีมหาเมธีจากต่างแดนจำนวนมากกว่ายี่สิบคน ที่มาแล้วถึงทะเลไร้ขอบเขตแล้วแต่ก็ต้องกลับไปมือเปล่า
เหตุการณ์นี้ทำให้มหาเมธีคนอื่นๆ ไม่กล้าจะวู่วามอีกเลย แต่หลังจากนั้นคนที่กล้าเข้ามาก็มีจำนวนน้อยลง และเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ใช่มหาเมธีระดับธรรมดา แต่เมื่อนักพรตเซี่ยร่วมมือกับราชาแมลงกลืนทองคำ ก็ยังสามารถจัดการเขาได้อย่างง่ายดาย
ตั้งแต่ต้นจนจบหานลี่ไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลยสักครั้ง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะทำให้มหาเมธีหลายคนรู้สึกตกใจ แต่ก็ถือว่าสามารถยั่วโมโหผู้ที่แข็งแกร่งระดับสูงของแต่ละแคว้นได้อีกด้วย
วันหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสูงแปดท่านของแผ่นดินใหญ่นภาโลหิต และแผ่นดินใหญ่ฟ้าคำราม ได้ร่วมมือกันและเดินทางมาจนถึงทะเลไร้ขอบเขต
อีกทั้งครั้งนักพรตเซี่ยและราชาแมลงกลืนทองคำไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ จึงทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งแปดท่านมาถึงที่เกาะรวมปราณได้ ตรงกลางของเกาะมีตำหนักชิงหยวน ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังดังต่อเนื่องเจ็ดสิบสองครั้ง ปราณรัศมีที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งขึ้นไปกลางท้องฟ้า
ตรงประตูของตำหนักมีเงาคนเคลื่อนไหวอยู่ หานลี่พาหมัวกวง หั่วซวีจือ นักพรตเซี่ย และราชาแมลงกลืนทองคำออกมาต้อนรับ
หลังจากที่ผู้แข็งแกร่งทั้งแปดท่านสัมผัสปราณที่ออกมาจากตัวของหานลี่และคนอื่นๆ แล้ว เขาก็รู้สึกตกใจอย่างมาก ปราณพวยพุ่งออกมาอย่างดุเดือด
แม้ว่าในตอนนี้เขานั้นไม่สามารถพูดออกได้ว่าหวาดกลัว แต่เขาก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของหานลี่ เขาไม่อาจจะชนะได้อย่างง่ายดายแบบที่คิดเอาไว้ตอนแรกแล้ว
หานลี่กลับทักทายด้วยรอยยิ้ม พร้อมเชิญแปดผู้แข็งแกร่งเข้ามาในวังชิงหยวน
หลังจากที่ประตูวังปิดลง ม่านแสงสีฟ้าก็ครอบตำหนักแห่งนี้เอาไว้
หานลี่และคนอื่นๆ พร้อมด้วยผู้แข็งแกร่งทั้งแปดคนอยู่ภายในตำหนักสามวันสามคืนโดยไม่ออกมา
ในตอนนั้นเอง ในวังชิงหยวนก็มีเสียงนกร้องดัง พร้อมระลอกคลื่นที่แผ่กระจายออกมา จนทำให้ม่านแสงสีเขียวนั้นสั่นไหวอย่างบ้างคลั่ง
แต่หลังจากผ่านไปสามคืน ม่านแสงสีเขียวก็ค่อยๆ หายไป ผู้แข็งแกร่งทั้งแปดมีสีหน้าย่ำแย่อย่างมาก ปราณบนร่างกายของพวกเขาอ่อนแอลงหลายส่วน
ส่วนหานลี่ก็ออกมาส่งแขกที่หน้าประตู ใบหน้ายังมีรอยยิ้มบางๆ เหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างจากก่อนหน้านี้เลย
“สหายทุกท่าน ข้าขายโอสถวิญญาณแท้ให้กับทุกคนแล้วหนึ่งเม็ด ท่านอยากจะแบ่งกันอย่างไรก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ข้าหวังว่าเรื่องจะจบเพียงเท่านี้ หลังจากวันนี้ไป หากกล้ามารบกวนผู้น้อยแซ่หานและคนอื่นๆ ในเผ่ามนุษย์อีกล่ะก็ อย่าหาว่าข้ากลับคำไร้ความปรานีนะ”
“สหายหาน ได้โปรดวางใจ ร้ายดีอย่างไรพวกเราทั้งแปดก็เป็นคนมีหน้ามีตาในแคว้นต่างๆ หากไม่มีธุระจะไม่กลับมาที่ทะเลไร้ขอบเขตอีก และจะโน้มน้าวไม่ให้คนอื่นมาที่นี่อีก” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากแดนต่างเผ่าที่มีใบหน้าเป็นนกพิราบ พูดขึ้นพร้อมยิ้มอย่างขื่นขม
จากนั้นผู้แข็งแกร่งที่แปดก็จากไปพร้อมกัน พริบตาเดียวเขาก็ออกจากเกาะรวมปราณแล้ว
หลังจากหานลี่เห็นว่าผู้อาวุโสทั้งแปดหายไปจากเหนือน่านฟ้าของเกราะรวมปราณแล้ว สีหน้าของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย แต่เขาก็หันหน้าไปคุยกับนักพรตและราชาแมลงกลืนทองคำที่อยู่ข้างๆ ว่า
“จากนี้หากมีคนกล้ามาบุกที่ทะเลไร้ขอบเขตอีก ก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว จับได้ก็จับ จับไม่ได้ก็ฆ่าทิ้ง เพื่อป้องกันเหตุยุ่งยาก พี่หมัวกวง สหายหั่วซวี จากนี้ พวกเจ้าช่วยข้าลาดตระเวนที่นี่ที”
สองประโยคสุดท้าย หานลี่ก็หันมาพูดกับชายหนุ่มผิวเข้มและหั่วซวีจืออย่างเกรงใจ
“ฮ่าๆ วางใจเถอะ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง ข้าจะไม่ให้คนผ่านทะเลไร้ขอบเขตไปได้แม้แต่คนเดียว” หมัวกวงหัวเราะเสียงดัง
ส่วนหั่วซวีจือท่าทางเหมือนไม่สนใจอะไรสักอย่าง
จากนั้นหานลี่ก็โบกมือหนึ่งครึ่ง พวกเขาทั้งสี่ก็หายตัวไปจากจุดเดิมอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครกล้าเข้ามาที่เผ่ามนุษย์เลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่มหาเมธีที่เดินอยู่รอบๆ ก็ค่อยๆ หายไปทีละคนสองคน หลังจากผู้แข็งแกร่งทั้งแปดคนถอยตัวออกมา พวกเขาก็ค่อยๆ หายไป
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีข่าวลือว่าแปดผู้แข็งแกร่งพ่ายแพ้ให้กับหานลี่ ในที่สุดข่าวนี้ก็แพร่กระจายออกไปจากผู้บำเพ็ญเพียรบางคน ไม่รู้ว่าจะทำให้กี่เผ่าในแดนวิญญาณที่ตกใจกับข่าวนี้
แล้วได้ยินมาว่า หานลี่ได้ขายโอสถวิญญาณแท้ระดับสูงให้กับแปดผู้แข็งแกร่ง เรื่องพวกนี้ทำให้คนระดับสูงของเผ่าเลิกล้มความคิดไป
อีกทั้งหลังจากที่เรื่องนี้จบไปสักพักหนึ่งก็มีผู้บำเพ็ญเพียรบางคนจากต่างแดนกล่าวขานกันว่า หานลี่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน
ส่วนคนต่างเผ่าที่เคารพนับถือหานลี่ต่างคิดว่า จะพูดว่าหานลี่เป็นมหาเมธีอันดับหนึ่งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเกินจริง