สองปีต่อมา ภายในห้องลับที่ลึกที่สุดในตำหนักชิงหยวน หานลี่กำลังนั่งสมาธิอยู่ตรงมุมห้อง สิบนิ้วของเขาทำท่าเหมือนวงล้อ ด้านหน้าของเขามีเคล็ดวิชาหลากสีสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ภายในห้องลับแห่งนี้ มีเขตอาคมสีทองขนาดใหญ่ตั้งไว้อยู่ ด้านในมีขวดขนาดต่าง สองขวดลอยอยู่ ชิ้นหนึ่งลอยอยู่ด้านบน ชิ้นหนึ่งอยู่ด้านล่าง
ขวดที่อยู่ด้านบนสีเขียวอ่อน ขนาดไม่กี่ชุน ปากขวดคว่ำลง จากนั้นก็ทำให้เห็นแสงลึกลับที่ไม่ทราบชื่อลอยออกมาอย่างริบหรี่เคล็ดวิชาเหล่านั้นไหลออกมาจากกลางฝ่ามือของหานลี่ แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนใจกลางของเขตอาคมแสงที่อยู่ด้านล่างกลับมีขวดสีเขียวเรืองแสงขนาดหนึ่งฉือตั้งอยู่ มันโดนเส้นใยห้าสีของเขตอาคมแสงพันเอาไว้อย่างหนาแน่น จากนั้นที่ปากขวดก็มีแสงคล้ายแก้วที่ไม่ทราบชื่อปรากฏออกมา จากนั้นแสงเหล่านั้นก็ไหลเข้าไปในขวด
หลังจากที่ดูดซับเข้าไป ขนาดก็ค่อยๆ หดเล็กลง ในขณะเดียวกันพื้นผิวของมันก็มีเสียงเข้มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
หลังจากที่ผ่านไปเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งขวดด้านล่างมีขนาดเท่ากับขวดด้านบน และมีความใสใกล้เคียงกันแล้ว ในที่สุดก็มีเสียง “ตู้ม” ดังขึ้นมา แสงที่ลักษณะคล้ายลูกแก้วพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็ถูกขวดด้านบนดูดเข้าไปด้วย
“ฟู่”
หานลี่ที่นั่งร่ายคาถาอยู่ที่มุมห้องตลอด เมื่อเห็นดังนั้น ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยความดีใจ หลังจากเขาถอนหายใจออกมา มือข้างหนึ่งของเขาก็พุ่งไปทางเขตอาคม
เดิมทีที่เขตอาคมก็มีเสียงร้องต่ำๆ ดังขึ้น ทันใดนั้นทุกอย่างมันก็หยุดอย่างกะทันหัน ในขณะเดียวกันรัศมีลำแสงก็ปรากฏขึ้นมา ขวดเล็กๆ ที่อยู่บนที่สูงก็ค่อยๆ ตกลงพื้นอย่างช้าๆ
หานลี่เลิกคิ้ว พร้อมยื่นมือข้างออกไป
“ตุ้บ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ขวดสีเขียวขนาดเล็กก็กลายเป็นก้อนควันสีเขียว แล้วมาอยู่ที่กลางฝ่ามือของเขา
“วิชาเซียนหลอมรวมปราณบนม้วนคัมภีร์หยกเล่มใหม่นั้นใช้งานได้ดีจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถหลอมของจำลองเข้ากับขวดคว้าสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เสียแรงเปล่าเลยที่ข้าใช้เวลาเพื่อทำเรื่องเหล่านี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าเพียงต้องจดบันทึกวิธีทำเบื้องต้น ข้าเองก็สามารถกระตุ้นของวิเศษชิ้นนี้ได้อย่างง่ายๆ แล้ว แทนที่จะใช้ยาเสริมวิญญาณ” หานลี่โยนขวดสีเขียวในมือเล่น ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจางๆ แล้วพูดกับตัวเองขึ้นมา
“จะว่าไปแล้ว แม้จะรู้ว่าประวัติความเป็นมาของของชิ้นนี้ไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์บนแดนเซียนจะให้ความสำคัญกับของชิ้นนี้มากขนาดนี้ แต่มันมาอยู่ที่โลกมนุษย์ได้อย่างไร อีกทั้งยังเหลือเป็นแค่ส่วนเดียว จิตวิญญาณของขวดนี้ไปอยู่ที่ใดแล้ว หรือว่ามันจะถูกทิ้งไว้ในส่วนอื่นของโลกมนุษย์?” หลังจากหานลี่เก็บขวดในมือลงแล้ว เขาก็ครุ่นคิดขึ้นมาอีกเล็กน้อย
“ช่างเถอะ สามารถครอบครองของชิ้นนี้เพียงส่วนหนึ่งก็นับว่าเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ของข้าแล้ว ที่มาอยู่ในจุดนี้ก็ต้องเรียกว่าโชคดีที่มีของวิเศษเหล่านี้ เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องไปบังคับอะไรอีก ภารกิจต่อไปของข้าคือต้องปิดด่านฝึก พร้อมทำความเข้าใจกับวิชาใหม่ๆ ให้ถี่ถ้วน และรอให้สมบัติเช่นเขารวมปราณไร้ศูนย์กลางหลอมเสร็จ จากนั้นก็ต้องฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อเพิ่มความหนาแน่นและความบริสุทธิ์ของปราณ สุดท้ายจึงอยู่ในระดับที่สามารถเลื่อนขั้นได้ แต่ว่าก่อนที่จะปิดด่านฝึก ข้ามีเรื่องบางเรื่องที่ต้องจัดการก่อน”
หานลี่เปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว เขาพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมา กลางฝ่ามือของเขามีป้ายหยกที่มีรอยร้าวปรากฏขึ้น หลังจากที่เขาลูบมันเบาๆ แล้ว ปากเขาก็พูดคำว่า “เผ่าวิญญาณ” ออกมา
ตอนที่เขาเพิ่งกลับมาที่ทะเลไร้ขอบแขตได้ไม่นาน เขาก็ให้นักพรตเซี่ยค้นหาว่าคนผู้นี้อยู่แดนวิญญาณนี้หรือไม่
แต่ผลลัพธ์นั้นทำให้เขาตกใจมากจริงๆ
หลังจากที่นักพรตเซี่ยได้ใช้วิชาลับตรวจสอบดูแล้ว ไม่เพียงทำให้ทราบว่าเจ้าของของป้ายหยกแตกๆ ชิ้นนี้อยู่ในดินแดนแห่งนี้จริง อีกทั้งตำแหน่งของเขาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากเผ่ามนุษย์มาก น่าจะเป็นคนของเผ่าวิญญาณ ที่แดนวิญญาณ
หลังจากที่หานลี่รู้สึกตกใจแล้ว ความคิดแรกที่เข้ามาคือหลิงอ๋อง
แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าของของป้ายชะตาชีวิตนี้คือใคร แต่เก้าในสิบส่วนจะต้องเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลิงอ๋องที่ลึกลับผู้นั้นแน่นอน
เดิมทีเขาคิดว่าจะรีบไปดูสถานการณ์ทันที แต่น่าเสียดายที่เขาต้องนั่งรับมือกับผลที่ตามมาจากมหาสงครามครั้งนั้น จึงทำให้ต้องนั่งรออยู่ที่ตำหนักชิงหยวนก่อน และต้องลากยาวมาถึงตอนนี้
“สองปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีคนต่างเผ่ามาที่หน้าประตูแล้ว เหมือนว่าเรื่องนี้จะถูกคลี่คลายแล้วสินะ”
หานลี่หรี่ตาลง พร้อมตัดสินใจได้ในที่สุด
…
หลายเดือนต่อมา กลางน่านฟ้าเหนือแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณ “ภูเขาฟู่หลิง” ทันใดนั้นก็มีระลอกคลื่นเกิดขึ้น เรือยักษ์สีดำเหมือนหมึกก็ปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
ชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวปรากฏตัวของที่หัวเรืออย่างน่าประหลาด
ภูเขาฟู่หลิงที่อยู่ด้านล่างดูมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เขตต้องห้ามปรากฏขึ้นมากมาย เงาคนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาจากแนวเทือกเขา
แต่ชายหนุ่มคนนี้ล้วนไม่ให้ความสนใจกับความวุ่นวายที่เบื้องล่าง เขากลับถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นก็ตะโกนขึ้นเสียงดังด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
“สหายหลิงอ๋อง ผู้น้อยแซ่หานมาเยี่ยม หวังว่าจะสามารถเข้าพบท่านได้”
ชายหนุ่มคนนั้นก็คือ หานลี่นั่นเอง
แม้ว่าเสียงของเขาจะธรรมดามาก แต่มันกลับดังไปทั่วภูเขาฟู่หลิง อีกทั้งภายในเสียงนั้นยังแฝงด้วยพลังเหนือธรรมชาติ ทันทีที่ทหารเผ่าวิญญาณนับพันได้ยินดังนั้น จึงค่อยทยอยตกลงจากฟากฟ้าด้วยอาการสั่นเทา
ส่วนคนที่ไม่ได้บินขึ้นน่านฟ้า เมื่อเสียงของหานลี่เข้ามาในโสตประสาท เขาก็รู้สึกเหมือนปราณในร่างกายกำลังควบแน่น ไม่สามารถเดินลมปราณได้เลย สีหน้าของทุกคนจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก
และในตอนนั้นเอง ในที่สุดกลางภูเขาฟู่หลิงก็มีเสียงแหบแห้งของชายชราดังขึ้นออกมา
“ที่แท้ก็เป็นสหายหานนี่เอง ยินดีต้อนรับ เชิญสหายเข้ามาเถอะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของชายชรา บริเวณยอดเขาฟู่หลิงก็เปิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าสามารถเข้าได้ทีละคน
หานลี่ส่งยิ้มเล็กน้อย พร้อมเคลื่อนไหวร่างกายหนึ่งครั้ง จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งเข้าไป
บนยอดเขาของภูเขาฟู่หลิง จะเป็นลานกว้างของพระราชวังใหญ่ มีชายชราผู้หนึ่งสวมชุดสีขาว ยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยท่าทีเคร่งครึม และเขากำลังมองไปที่ท้องฟ้าด้านบน
กลางอากาศนั้นมีลำแสงสีเขียวพุ่งออกมา หานลี่มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของชายหน้าตาราวกับผี
เมื่อชายชราสวมชุดขาวเห็นดังนั้น รูม่านตาของเขาก็หดเล็กลง ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏออกมา และยกมือพร้อมพูดขึ้นว่า
“พลังของสหายหานนั้นลึกเกินจะหยั่งถึงจริงๆ ตอนนี้ยิ่งทำให้ทั้งแดนวิญญาณสั่นสะเทือนแล้ว ทำไมถึงมีเวลามาหาข้าถึงที่นี่ได้เล่า”
“พี่หลิงอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว ผู้น้อยแซ่หานก็แค่โชคดีที่ได้ฉายานี้มาเท่านั้น อีกทั้งฉายาเหล่านี้สำหรับข้าแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ส่วนเรื่องที่ข้ามาที่นี่นั้น ข้าเพียงอยากจะมาสอบถามเรื่องบางอย่างกับท่านเท่านั้น” สองประโยคแรกหานลี่พูดอย่างเกรงใจ จากนั้นก็เริ่มถามอย่างตรงประเด็น
“เรื่องที่จะสอบถาม? สหายหานมีเรื่องอะไรอยากถามชายชราเช่นข้าหรือ?” หลิงอ๋องขมวดคิ้วขึ้น
“สหายพอจะมองออกหรือไม่ว่าใครเป็นเจ้าของสิ่งนี้?” หานลี่สะบัดแขนเสื้อออกมาแล้วถามอย่างตรงๆ ทันใดนั้นก็มีของบางอย่างลอยมาอยู่ตรงข้ามเขา
หลิงอ๋องจะยื่นมือออกไปคว้าของชิ้นนั้นเอาไว้ในมือ ทำให้เห็นว่าของชิ้นนั้นคือป้ายชะตาชีวิต แต่หลังจากสัมผัสลมหายใจบนป้ายนั้นได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยทันที
“ป้ายชะตาชีวิตแผ่นนี้ แต่พี่หานเก็บมาได้จากเซียนที่ตายไปแล้วคนนั้นหรือ?” หลังจากสีหน้าของชายชรามืดครึ้มไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นอย่างขมขื่น
“ดูเหมือนว่าที่ข้ามาหาสหายที่นี่ จะไม่ได้มาหาผิดคนจริงๆ ด้วย” หานลี่พยักหน้าอย่างสงบ
“สหายตามข้ามาเถอะ” ชายชราชุดยาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งป้ายชะตาชีวิตให้หานลี่ ราวกับว่าเหมือนตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง
จากนั้นเขาไม่รอให้หานลี่ตอบรับอะไร และหมุนตัวเดินเข้าไปในพระราชวังนั้นทันที
สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็เดินตามไปอย่างไม่ลังเล
เวลาหนึ่งจิบชาผ่านไป ในมิติลึกลับที่ห้องใต้ดิน
หานลี่ยืนอยู่ตรงหน้ายอดเขาน้ำแข็งแห่งหนึ่งที่ใสราวกับคริสตัล แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เขาเห็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งถูกผลึกเอาไว้ที่ก้นภูเขาน้ำแข็งแห่งนี้
ชายชราชุดขาวยืนอยู่ด้านข้าง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาร่ายคาถา เคล็ดวิชาหนึ่งที่ทำให้มือของเขาเข้าไปในภูเขาน้ำแข็งนั้นได้
เป็นผลให้มีแสงสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากภูเขาน้ำแข็งแห่งนี้ หลังจากที่มันควบรวมตัวอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นคนที่มีหน้าตาเหมือนชายชราชุดขาวทุกประการ
หลังจากที่สายตาของคนคนนั้นกวาดตามองไปที่หานลี่แล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาไม่แสดงสีหน้าตกใจ แต่กลับหัวเราะขึ้นมาอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า
“สหายมาหาแล้วจริงๆ ดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้าจะวุ่นวายกับเรื่องการตายของเซียนคนนั้นสินะ หาเซียนคนที่ข้าเคยผนึกเอาไว้จนเจอแล้วสินะ เขาหลบซ่อนที่แดนวิญญาณมาหลายปีแล้ว เขาน่าจะมีความลับใหญ่ๆ มากมาย แดนเซียนจะต้องส่งคนมาอีกแน่นอน ข้ากลับไม่คิดว่าแปลก มันเป็นเพียงความโชคดีในใจของข้าเท่านั้น”
“ที่แท้เซียนคนนั้นก็เป็นคนที่พี่หลิงเคยผนึกไว้ ดูเหมือนว่าข่าวลือที่เกี่ยวกับสหายจะไม่ใช่เรื่องไร้สาระทั้งหมด” หานลี่จ้องมองไปยังคนที่อยู่กลางยอดเขาน้ำแข็ง พร้อมพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด
“ข้าไม่สะดวกที่จะเล่าประวัติของข้าให้เจ้าฟังอย่างละเอียด รอข้ารวบรวมลมปราณก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องนี้ให้ละเอียด” ชายคนนั้นส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น จากนั้นก็สะบัดร่างกายตัวเองให้เป็นแสงสีขาว แล้วพุ่งไปยังชายชราชุดขาว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หายไปในร่างกายอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อดูไปแล้วจะมีเพียงปราณมหาเมธีของชายชราธรรมดา ร่างกายของเขาก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยปราณที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ในด้านของความแข็งแกร่ง หานลี่ไม่เคยเห็นใครที่มีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน
นี่สินะ คือ หลิงอ๋องตัวจริง
แววตาของหานลี่เปล่งประกายขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลิงอ๋องรวบรวมลมปราณในร่างกายของตัวเองแล้ว เขาก็หันหน้าไปทางหานลี่พร้อมพูดขึ้นว่า
“สหายนำป้ายชะตาชีวิตมาที่นี่ อีกทั้งก็ได้พบเจ้าของมันแล้ว ตอนนี้เจ้ามีแผนว่าอย่างไรเล่า”
“ไม่ว่าคนผู้นี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเซียนผู้นั้นแต่ข้าก็ไม่ต้องการให้ปัญหาใดๆ หลงเหลืออยู่ที่นี่” หานลี่พูดขึ้นเสียงเรียบ
“สหายหานจึงวางแผนว่าจะฆ่าสินะ ถ้ามันสามารถลงมือได้ง่ายๆ แล้วล่ะก็ ข้าก็คงจะไม่ต้องปิดผนึกเขาอย่างยากลำบากเอาไว้ที่นี่ จากนั้นก็ค่อยๆ ใช้พลังเพลิงหลอมลายร่างเซียนของเขาอย่างช้าๆ” หมิงอ๋องส่ายหน้าแล้วตอบ
“อ่า งั้นทำไม? ตอนที่ข้าทำลายกายเนื้อของเซียนผู้นั้น กลับไม่ยากเล่า” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“นั้นมันไม่ค่อยเหมือนกัน ที่สหายสามารถฆ่าเซียนผู้นั้นได้ ตัวเขาเองก็ได้รับแรงต้านจากแดนวิญญาณ พลังปราณในร่างกายกับกายเนื้อเกิดการต่อต้านกับมิติอยู่ตลอดเวลา แต่ที่ข้าผนึกเซียนผู้นี้ไว้ เพราะเขาอาศัยอยู่ในแดนวิญญาณจนร่างกายของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาใช้วิชาของแดนเซียนแบบใด การที่ปิดผนึกกายเนื้อและปราณทั้งหมดของเขาก็นับว่าสุดกำลังของข้าแล้ว เกรงว่าเซียนที่แท้จริงนั้นคงไม่มีทางเทียบเคียงได้ ต่อให้ใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬก็ไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บเลย” ชายชราชุดขาวอธิบายขึ้น