ผิวของมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้เปล่งแสงสีม่วงสว่างวาบ ม่านลำแสงหนาแน่นขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ในเวลาเดียวกันก็ไม่สนใจมือยักษ์สีเขียวนั้นอีก แต่ขวางกระบี่ยักษ์เอาไว้อย่างร้อนรน คาดไม่ถึงว่าคิดจะใช้มันเป็นโล่ต้านทานเอาไว้กลางอากาศ
ครู่ต่อมาเสาลำแสงสีทองก็ชิงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปยังกระบี่ยักษ์
เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง
กระบี่ยักษ์สั่นเทา ประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนสลายตัวออกราวกับตาข่ายแมงมุม เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้น
วานรยักษ์รู้สึกเพียงว่าสองแขนหนักอึ้ง ราวกับว่ามีภูเขายักษ์กดลงบนกระบี่ยักษ์ จากพลังเทวะในตัวมันแล้วก็ไม่อาจต้านทานได้
อานุภาพการสำแดงเคล็ดวิชาอัญเชิญอัสนีอย่างอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย เหนือกว่าที่มันคิดเอาไว้ ประกอบกับที่เสาอัสนีสีทองปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จากสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ก็ไม่อาจไม่เสียเปรียบได้จริงๆ
มารอสูรตัวนี้พลันรู้สึกตกตะลึง สูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่งอย่างไม่ต้องขบคิด ไอทมิฬสีดำแดงกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากส่วนลึกของจุดตันเถียน หลังจากสลายตัวออก ก็กลายเป็นไอมารบริสุทธิ์พุ่งไปที่จุดชีพจรต่างๆ ตามร่างกาย
ชั่วขณะนั้นร่างของวานรมารตนนั้นพลันมีเสียงระเบิดดังขึ้น ร่างกายที่อยู่ด้านนอกไอมารสีดำแดงขยายใหญ่ขึ้น ในเวลาเดียวกันแขนทั้งสองก็มีลำแสงสีดำแดงเปล่งแสงสว่างวาบ หนาขึ้นเป็นเท่าตัว
กระบี่ยักษ์สีม่วงที่แต่เดิมจะหลุดออกจากมือได้ตลอดเวลา พลันเปล่งแสงเจิดจ้าแล้วกลับมามั่นคงอีกครั้ง
แต่ดูจากสีหน้าที่เคร่งขรึมของวานรมารแล้ว ก็แค่พอฝึกต้านทานเอาไว้ได้เท่านั้น
และในยามนั้นเองมือยักษ์สีเขียวก็กดลงไปหาตัวที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินตามลำแสงสีทองไปติดๆ ตะปบไปครั้งหนึ่งก็ปกคลุมครึ่งท่อนบนของร่างนั้นเอาไว้
วานรมารกลับไม่สนใจสิ่งนี้เลยสักนิด
อีกด้านหนึ่งเขาคิดว่ามีเกราะสีม่วงปกป้องอยู่ แค่ภาพลวงตาจากเคล็ดวิชาทมิฬเคล็ดวิชาหนึ่ง คงไม่อาจทำอันตรายเขาได้ อีกด้านหนึ่งคือภายใต้การคุกคามของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย มารตนนี้คงไม่อาจแยกจิตได้มากนัก
วานรมารในยามนี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่หยุด กระตุ้นเคล็ดวิชามารในร่างอย่างต่อเนื่อง แค่หมายจะดิ้นให้หลุดออกจากอานุภาพที่แข็งแกร่งของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแล้วค่อยว่ากัน
มารตัวนี้รู้ดีว่าเคล็ดวิชาอัญเชิญอัสนีมีอานุภาพที่น่าตกตะลึง แม้ว่าเขาจะอยู่ในยามที่ฟื้นฟูเต็มที่ก็ต้องหวาดกลัวอยู่หนึ่งถึงสองส่วน แต่การสำแดงเคล็ดวิชานี้มันค่อนข้างยุ่งยาก ขอแค่รับมือได้หนึ่งหน คู่ต่อสู้ก็ไม่มีโอกาสได้สำแดงครั้งที่สองแล้ว
แต่เมื่อมือยักษ์สีเขียวสัมผัสกับลำแสงสีม่วงที่ห่อหุ้มร่าง วานรมารก็ไม่ได้ไม่ป้องกันตัวเองอะไรเลย ลำแสงสีม่วงพลิ้วไหว กลายเป็นโล่ลำแสงใบหนึ่ง
ต้านทานการตะปบลงมาของมือยักษ์สีเขียวเอาไว้อย่างพอดิบพอดี!
หลังจากเสียงปริแตกอันไพเราะดังขึ้น วานรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้กลับรู้ว่าตนเองพลาดไปแล้ว
ยามที่คิดจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อื่นออกมาต้านทานอย่างร้อนรนนั้น มันกลับสายไปเสียแล้ว
พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งโจมตีโล่ลำแสงให้แตกละเอียดได้อย่างง่ายดาย ชั่วครู่ก็ส่งมาถึงร่างของวานรมารใต้เกราะสงคราม!
คาดไม่ถึงว่าเกราะสงครามสีม่วงจะไม่อาจแก้ไขได้มากนัก!
วานรมารออกแรงทั้งหมดในการประคองกระบี่ให้ต่อกรกับเสาอัสนีสีทองเหนือศีรษะ แม้ว่าร่างกายจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้การโจมตีที่คาดไม่ถึงทั้งสองฝั่ง ร่างกายก็ไม่อาจมั่นคงได้อีก
หลังจากเสียง “สวบ” ดังขึ้น ร่างทั้งร่างก็ถูกชนจนกระเด็นลอยออกไป
ยามนี้มือยักษ์สีเขียวถึงได้เปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏรูปร่างที่แท้จริง
เป็นสีดำสนิท เปล่งแสงสีเทาขาว นั่นก็คือภูเขาเทวะดูดปราณ
สมบัติชิ้นนี้ถูกหานลี่ตั้งใจหลอมเอาไว้ตั้งนานแล้ว ประกอบกับเขตอาคมกระบี่ที่อำพรางอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะถูกส่งออกมาด้านล่างเขตอาคมกระบี่โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และทำการโจมตีอย่างคาดไม่ถึง
แม้ว่าวานรมารจะมีอิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณ แต่ในชั่วพริบตาก็ไม่อาจแยกแยะความจริงเท็จได้ ตกอยู่ในกลอุบายนี้เข้าจริงๆ
ต้องเข้าใจว่าหลังจากที่หลอมภูเขาเทวะดูดปราณลูกนี้ไปสองครั้ง น้ำหนักของมันนั้นแม้แต่หานลี่เองก็ไม่กล้ารับไว้ตรงๆ
แม้ว่าวานรมารจะมีพลังเทวา แทบจะเหนือกว่าหานลี่ขั้นหนึ่ง แต่เมื่อถูกภูเขาเทวะดูดปราณชนเข้าอย่างไม่ทันตั้งตัว แน่นอนว่าย่อมไม่อาจต้านทานได้พลางกระเด็นลอยไป
หานลี่ที่อยู่นอกเขตอาคมกระบี่รู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว จึงใช้มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว!
กระบี่ยักษ์สีม่วงที่แต่เดิมถูกต้านทานเอาไว้ด้วยเสาลำแสงอัสนีพลันบิดเบี้ยว ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นทั้งสองฝั่งของกระบี่ยักษ์สีม่วง
ครู่ต่อมาลำแสงอัสนีที่หนาแน่นก็โจมตีไปยังร่างของวานรมารที่เพิ่งกระเด็นลอยมา
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองก็ดีดตัวเปรี๊ยะๆ ตาข่ายสีทองผืนใหญ่ปกคลุมร่างของวานรมารเอาไว้ จากนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ลำแสงสีทองระเบิดตัวออก
ท่ามกลางเสียงฟ้าผ่า ลำแสงอัสนีสีทองปกคลุมวานรมารเอาไว้ข้างในจนมิด
และทุกอย่างนี้ล้วนเกิดขึ้นเพียงชั่วลมหายใจเท่านั้น!
ยามนั้นในเขตอาคมกระบี่พลันมีลูกธนูสีเขียวปรากฏขึ้นไม่หยุด กลายเป็นลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนทยอยกันจมหายเข้าไปในแสงสีทอง ทำให้เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นหลายส่วน
แต่กลอุบายสังหารที่แท้จริงของหานลี่ไม่ได้อยู่ที่นี่
ท่ามกลางลูกธนูสีเขียวที่พุ่งเข้ามา มียี่สิบสามสิบดอกที่เปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นกลายเป็นเส้นไหมสีเขียวบางๆ ดุจเส้นผมยี่สิบสามสิบเส้น ความเร็วนั้นเหนือกว่าลูกธนูดอกอื่นๆ สองสามเท่า สั่นไหวและทะลวงผ่านลำแสงสีทองไป จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในอีกด้านหนึ่งของม่านลำแสง
ในลำแสงที่เดิมยังคงเงียบสงัดกับการโจมตีเมื่อครู่ พลันมีเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธแค้นออกมา
คิดไม่ถึงว่าเส้นไหมสีเขียวที่ดูไม่สะดุดตาเหล่านี้จะทำร้ายมารตนนี้ได้จริงๆ
หานลี่ที่อยู่ด้านนอกพลันเผยสีหน้ายินดีออกมา
ทันใดนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่หน้าผากของตนเองอย่างไม่ลังเลอีก เทวรูปสามเศียรหกกรที่อยู่เหนือศีรษะพลันยืดตัวขึ้น ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในม่านลำแสงสีเขียวแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นร่างของหุ่นเชิดเงาสองตัวที่ยืนอยู่ด้านหลังของหานลี่ก็บิดเบี้ยว หายวับไปภายใต้เงาของหานลี่ทันที
ครู่ต่อมากลางเขตอาคมกระบี่พลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ลำแสงสีทองหกดวงหมุนคว้าง กลายเป็นกำปั้นยักษ์สีทองเรืองรองหกกำปั้น ทุบลงมาจากท้องฟ้าอย่างรุนแรง
กลางพื้นดินด้านล่างมีเงาสีทองสองสายเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่ยาวสีทองสองเล่มและดาบสีทองเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น เพียงพลิ้วไหวก็กลายเป็นลำแสงเย็นเยียบม้วนวนขึ้นไปด้านบน
เมื่อเห็นว่าการโจมตีระลอกที่สองกำลังจะจมเข้ามาในลำแสงยักษ์ เสียงกรีดร้องแหลมสูงพลันดังออกมา
คาดไม่ถึงว่ากลุ่มลำแสงจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
จากนั้นลำแสงสีโลหิตพลันเปล่งแสงเจิดจ้า สายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลุ่มลำแสง เริงระบำราวกับลูกไฟในเขตอาคมกระบี่เทพเซียนออกมาจากสรวงสวรรค์ จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง แล้วหยุดชะงักอยู่กลางอากาศกลายเป็นเงาลำแสงสีโลหิต
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของวานรมารที่หานลี่เคยเห็นมาก่อนหน้า!
แต่แค่ในมือของมันกำใบมีดชำรุดเล่มนั้นเอาไว้ ในยามนี้ใบมีดไม่เพียงจะไม่กลับมาอยู่ในสภาพเดิม สีสันยังเปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับโลหิต ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง!
เสียง “ครืน” ดังขึ้นพร้อมกันจากทั้งด้านบนด้านล่าง
กำปั้นสีทองหกกำปั้นและดาบกระบี่สีทองด้านล่างล้วนเปล่งเสียงไพเราะออกมาแล้วแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนลูกธนูสีเขียวที่ปรากฏขึ้นรอบด้านไม่หยุดก็สลายหายไป ยามนี้ไม่อาจปรากฏขึ้นได้อีก
ด้านล่างตรงจุดที่ลำแสงปริแตก ร่างของวานรมารปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แต่ใบหน้าของเขากลับซีดขาว เกราะสงครามสีม่วงบนเรือนร่างล้วนปริแตกและมีรอยไหม้เกรียมอยู่ไม่น้อย และมีรูขนาดเท่าหัวแม่มือยี่สิบสามสิบรูปรากฏขึ้นทั่วทั้งเกราะสงครามอาบย้อมไปด้วยโลหิตแดงฉาน
เห็นได้ชัดว่ากายเนื้อกายนี้ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย นี่จึงบีบให้วานรมารจำใจต้องสำแดงเคล็ดวิชามารจิตวิญญาณดั้งเดิมหลีกหนีอีกครั้ง!
หานลี่ที่อยู่ด้านนอกเขตอาคมกระบี่มองเห็นฉากนี้ สีหน้ากลับดูไม่ได้
การโจมตีเมื่อครู่เขามั่นใจว่าหากโจมตีอย่างต่อเนื่องก็จะต้องสังหารอีกฝ่ายได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถสังหารมารตนนี้ได้
“เยี่ยม เยี่ยมมาก! ข้าเสียเวลาบ่มเพาะกายเนื้อนี้ไปตั้งหลายร้อยปี มาถูกเจ้าโจมตีจนกลับเป็นดังเดิม แม้กระทั่งแย่ยิ่งกว่าก่อนที่จะหลับใหล เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไรอีกแล้ว ข้าไม่เอากายเนื้อนี้แล้วจะต้องจัดการเจ้าให้ได้ เพื่อที่จะกำจัดความแค้นของข้า! ไม่สิ ข้าจะใช่กายเนื้อของเจ้ามาเป็นร่างแยกของจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าชั่วคราวก็แล้วกัน” จิตวิญญาณดั้งเดิมของวานรมารก้มหน้าลงมองกายเนื้อที่น่าอเนจอนาถด้านล่าง ลำแสงสีม่วงสองกลุ่มที่อยู่ในดวงตาทั้งสองเปล่งแสงสว่างวาบ ไม่อาจปกปิดความแค้นในใจได้ น้ำเสียงกลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อสิ้นเสียงมารตัวนี้พลันสะบัดใบมีดชำรุดในมือ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีโลหิตสายหนึ่งพลันฟันออกมาจากใบมีดชำรุด
แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือเป้าหมายของสายตาสีโลหิตนี้ไม่ใช่เขตอาคมกระบี่รอบด้าน แต่เป็นกายเนื้อที่นิ่งงันของตนเองด้านล่าง
เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้น กายเนื้อของวานรมารในเกราะสงครามสีม่วงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเส้นไหมสีโลหิตเลยสักนิด ทำให้มันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไป!
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!
กายเนื้อของวานรมารซูบลงอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เมื่อลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไปกลางอากาศอีกครั้ง สิ่งที่เกราะสงครามสีม่วงห่อหุ้มอยู่ก็กายเป็นซากศพแห้งๆ สีดำม่วงซากหนึ่ง
ส่วนใบมีดชำรุดที่ดูดซับลำแสงสีโลหิตเข้ามาอีกครั้ง ก็แผ่กลิ่นอายโลหิตคละคลุ้งออกมา ไอมารสีดำสนิททะลักออกมาเป็นกลุ่มๆ และมีอักขระสีดำแดงปรากฏขึ้นพลางวนล้อมรอบใบมีดไปมา
วานรมารโยนใบมีดชำรุดในมือออกไปกลางอากาศ สองมือพลันร่ายอาคม ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถา
เสียงบริกรรมคาถาที่ฟังไม่เข้าใจและเต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อนพลันดังออกมาเป็นระลอกๆ!
แม้ว่าหานลี่จะไม่รู้ว่าวานรมารตัวนี้จะทำอะไร แต่ก็รู้ว่าถูกมารตัวนี้โกรธแค้นแล้ว แม้แต่โลหิตบริสุทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ในกายเนื้อของตนเองก็ยังดูดมาจนหมด จะต้องสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรที่ร้ายกาจแน่ เขาจะปล่อยให้มันสมประสงค์ได้อย่างไร
ไม่ทันได้ขบคิดหานลี่พลันใช้มือหนึ่งร่ายคาถา กระตุ้นเขตอาคมกระบี่
ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงรอบด้านพลันสั่นไหว ดอกบัวขนาดน้อยใหญ่เท่าศีรษะสองสามร้อยดอกปรากฏขึ้นในม่านลำแสง
พวกมันแค่หมุนคว้าง ชั่วขณะนั้นพลันพ่นเสาลำแสงสีเขียวยี่สิบสามสิบสายออกมาจากใจกลางของดอกบัว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปยังวานรมาร
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมากลับทำให้หานลี่หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
เห็นเพียงวานรมารตัวนั้นไม่มองเสาลำแสงที่พุ่งมาจากรอบด้านเลยสักแวบเดียว แค่ยื่นนิ้วชี้ออกมาเขียนอะไรอย่างลวกๆ แล้วดีดนิ้วไปทางใบมีดชำรุดเบาๆ
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น
บรรยากาศรอบด้านของใบมีดชำรุดบิดเบี้ยว ระลอกคลื่นไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นก็กระจายออกไปทั่วทั้งสารทิศ
เสาลำแสงสีเขียวที่เพิ่งพุ่งมาในบริเวณรอบสัมผัสกับระลอกคลื่นนี้ ชั่วขณะนั้นก็ทยอยกันสลายหายไปราวกับแห้งเ**่ยวเฉา
คาดไม่ถึงว่าเสาลำแสงที่ดุดันสองสามร้อยสาย จะไม่อาจเข้าใกล้วานรมารได้เลยสักนิด
หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึง หน้าเปลี่ยนสีเป็นเขียวคล้ำ แต่ไม่รอให้เขาคิดออกว่าอีกฝ่ายกำลังจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ใด หลังจากที่วานรมารแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา รอบกายมีลำแสงสีโลหิตหมุนวน กลางอากาศพลันมีลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ เงาลวงตาสีม่วงปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
เงาลวงตาสายนี้คล้ายกับวานรมารสีม่วงอยู่เจ็ดแปดส่วน แม้ว่าบนหัวจะไม่มีเขา แต่ดวงตาปีศาจคู่นั้นกลับเปล่งแสงห้าสีสัน ในเวลาเดียวกันตรงทรวงอกก็มีลวดลายสีเงินอ่อนขนาดสองสามฉื่อผนึกอยู่ หากมองไกลๆ จะเป็นตัวอักษรคำว่า “ภูเขา”