ในยามที่หานลี่ใจหายวาบ วานรมารกลับร้องคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา อ้าปากออกพ่นไอบริสุทธิ์สีดำแดงออกมา ห่อหุ้มกระบี่ยักษ์สีม่วงตรงหน้าเอาไว้
ชั่วขณะนั้นกระบี่เล่มนี้พลันเปล่งแสงสีม่วงออกมา สัตว์วิญญาณนิรนามที่อยู่ด้านในตัวนั้น ขยายร่างขึ้นคาดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวออกมาจากผิวของกระบี่ยักษ์ สะบัดหัวสะบัดหาง เผยท่าทีดุดันเป็นอย่างมากออกมา
กระบี่ยักษ์หมุนติ้วๆ แล้วตั้งตระหง่านขึ้น คมกระบี่ชี้มาทางหานลี่ แล้วฟันฉับลงมา
กระบี่ลำแสงสีม่วงยาวสิบจั้งเศษทะลักออกมา ฟันลงมาหาม่านลำแสงสีเขียวอย่างแช่มช้าและเงียบเชียบ
กระบี่ลำแสงสีแต่เดิมน่าจะเปล่งแสงสว่างวาบ กลับดูเหมือนจะแข็งตัวขึ้น ระหว่างที่กำลังโบยบิน ก็ลดระดับความเร็วลงสองสามเท่าอย่างคาดไม่ถึง
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้กลับหน้าเปลี่ยนสี แขนสีทองสี่ขาวร่ายอาคมพร้อมกัน ชูแขนไปทางเขตอาคมกระบี่อีกครั้ง
เสาลำแสงสีทองสี่สายที่ดูเสมือนจริงถูกพ่นออกมา ตรงเข้าไปหากระบี่ลำแสงสีม่วง
เสียง “ตึงๆ” ดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
แม้ว่าลำแสงสีทองจะระเบิดเสียงที่น่าตกตะลึงออกมา แต่ก็แค่ทำให้ลำแสงสีม่วงหยุดชะงักเล็กน้อย แล้วถูกแยกออกอย่างง่ายดาย
ลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ ยังคงพุ่งมาหาหานลี่
หางตาของหานลี่กระตุก หุ่นเชิดเงาสองตัวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาโบกสะบัดอาวุธมีดในมือโดยไม่ปริปากใดๆ ทันที
กระบี่ลำแสงสีทองและดาบลำแสงพุ่งออกไปราวกับห่าฝน
ในเวลาเดียวกันหานลี่พลันเพิ่มพลังลมปราณ กระตุ้นเขตอาคมกระบี่
ม่านลำแสงสีเขียวเบื้องหน้าเปลี่ยนไป อักขระสีเขียวปรากฏขึ้น หมุนคว้างเล็กน้อย ก็กลายเป็นดอกบัวสีเขียวเป็นดอกๆ ต้านทานอยู่เบื้องหน้าม่านลำแสง
แม้ว่ากระบี่ลำแสงและดาบลำแสงจะทยอยกันฟันลงมาไม่ขาดสาย แต่เมื่อฟันโดนกระบี่ลำแสงสีม่วง ก็ทำให้ลำแสงของมันเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้งแล้วทยอยกันสลายหายไป ไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้เช่นกัน
หลังจากที่ลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบเป็นครั้งสุดท้าย ก็ฟันลงมายังดอกบัวสีเขียวที่ปรากฏตัวขึ้นเต็มท้องฟ้า
หมอกลำแสงสีเขียวและลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่ลำแสงกลายเป็นเงาลวงตาที่เหมือนกับสัตว์นิรนามในใบมีดชำรุดอย่างไรอย่างนั้น กระโจนลงมาอย่างรุนแรง กรงเล็บทั้งสองโบกสะบัด ดอกบัวสีเขียวถูกผ่าออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดายดอกแล้วดอกเล่า
ร่างใหญ่ยักษ์กระโจนเข้าไปในลำแสงสีเขียว ราวกับว่าไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้
หานลี่ที่อยู่ด้านนอกเห็นเช่นนั้น สายตาพลันเคร่งขรึม ชั่วพริบตานั้นลมปราณในร่างพลันทะลักไปหาเขตอาคมกระบี่ราวกับสายธารที่เดือดพล่าน
กลีบดอกบัวสีเขียวที่แต่เดิมถูกฉีกออก พลันหมุนวนแล้วผนึกเข้าหากัน ปรากฏขึ้นเป็นหลายดอกอีกครั้ง และเปล่งแสงสว่างวาบต้านทานอยู่เบื้องหน้ากระบี่ลำแสงสีม่วงอีกครั้ง
แม้ว่าลำแสงสีม่วงจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่ภาพลวงตาของเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ก็มีอิทธิฤทธิ์วิเศษเช่นกัน
ภายใต้ประคับประคองของพลังปราณนั้น ดอกบัวสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะลักออกมาจากทั่วทุกสารทิศ
กระบี่ลำแสงสีม่วงกลายเป็นเงาลวงตาสัตว์วิญญาณ สุดท้ายก็อยู่ห่างจากม่านลำแสงสีเขียวไปสองสามจั้ง ลำแสงหม่นแสงลง อานุภาพหายวับไปราวกับไม่มีอยู่แล้ว
วานรมารในเขตอาคมกระบี่เห็นเช่นนั้น ดวงตาทั้งสองพลันเปล่งแสงสีม่วงสว่างวาบ ใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้น ประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ของใบมีดชำรุดเล่มนั้น เขาก็พอรู้อยู่บ้าง!
เป็นเพราะสมบัติชิ้นนี้มันถึงได้ถูกไล่สังหารในแดนมนุษย์ และตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้
แม้ว่าเขาในตอนนี้จะมีข้อจำกัดเรื่องพลังยุทธ์ จึงไม่อาจกระตุ้นอานุภาพทั้งหมดของสมบัติชิ้นนี้ได้ แต่การฟันลงมาเมื่อครู่ก็ต้องใช้พลังปราณทั้งหมด ไม่อาจสำแดงออกมาอย่างต่อเนื่องได้ คาดไม่ถึงว่าจะยังถูกเขตอาคมกระบี่ตรงหน้าต้านทานเอาไว้อีก
นี่จึงทำให้มันใจหายวาบ
นั่นหมายความว่าเขตอาคมกระบี่ที่กักเขาอยู่นั้น อานุภาพของมันเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ จากสถานการณ์ของเขาในยามนี้ เกรงว่าคงไม่อาจฝ่าออกไปได้ง่ายๆ
เมื่อขบคิดอย่างละเอียด แม้ว่ามารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้จะมีชื่อเสียงเกรียงไกร แต่ก็ยังรู้สึกกล้ำกลืนอยู่หลายส่วน
หลังจากที่มันมาถึงแดนนี้โดยข้ามผ่านรอยแยกห้วงเวลาของเทือกเขามารสีทองมา เป็นเพราะสาเหตุอื่นๆ จึงต้องต่อสู้กับมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นๆ ล้วนทั้งเผ่ามนุษย์เผ่าศักดิ์สิทธิ์นอกเทือกเขาอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงจะทำให้พลังยุทธ์ของมันเสียหาย จนเกือบจะจิตวิญญาณแตกสลาย แม้แต่สมบัติที่มีอานุภาพน่าตกตะลึงซึ่งพกเอาไว้กับตัวสองสามชิ้น ก็ถูกทำลายไประหว่างการต่อสู้ตามลำดับ
มิเช่นนั้นแม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะถดถอยจนมาถึงขั้นนี้ หากสำแดงสมบัติออกมาทีเดียวสองสามชิ้น ก็น่าจะทลายเขตอาคมออกมาได้
ดวงตาทั้งสองของวานรมารมีลำแสงสีม่วงไหลวนโคจรไปมา สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
แต่หานลี่กลับรู้สึกผ่อนคลายลง สะบัดแขนเสื้อ ในมือมียันต์วิเศษสีเขียวเรืองรองปรากฏขึ้นปึกหนึ่ง
ยันต์วิเศษเหล่านี้ดูธรรมดาๆ มาก ทุกแผ่นล้วนมีความยาวแค่ครึ่งฉื่อ แผ่ไอวิญญาณไม้ที่บริสุทธิ์มากออกมา
ในที่สุดหานลี่ในยามนี้ก็มั่นใจว่าพลังยุทธ์ของวานรมารตัวนี้เสียหายไปเป็นอย่างมาก จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งและเคล็ดวิชาลับต่างๆ นั้นไม่ต้องพูดถึง พลังปราณในยามนี้ไม่แตกต่างอะไรกับระดับยอดสุดของระดับหลอมสุญตาขั้นปลายเท่านั้น แต่เกราะสงครามที่คุ้มครองร่างของเขาและใบมีดชำรุดสีม่วงในมือนั้นน่าอัศจรรย์จริงๆ หากหมายจะสังหารมารตัวนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากเย็น
โชคดีที่ขอแค่จำกัดการแปลงกายสารพัดของอีกฝ่ายได้ อิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายก็ลดลงไปกว่าครึ่ง
ทว่าอีกฝ่ายมีเนตรวิญญาณที่สามารถมองทะลุผ่านเคล็ดวิชาลวงตาได้อย่างง่ายดายนั้น ก็เป็นเรื่องที่จัดการยากเช่นกัน
เกรงว่าการสร้างภาพลวงตาธรรมดาๆ ของเขตอาคมกระบี่ คงไม่อาจจัดการอีกฝ่ายได้
การที่เขตอาคมกระบี่อาจจะเจอกับศัตรูที่มีเนตรวิญญาณนั้น หานลี่เคยศึกษาตอนที่หลอมเขตอาคมกระบี่นี้มาตั้งนานแล้ว
ดูแล้วอิทธิฤทธิ์ใหม่ที่เขาเพิ่งจะเรียนรู้มาจากเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ในช่วงที่ผ่านมานั้น คงจะได้ลองใช้กับมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้แล้ว
เมื่อขบคิดเช่นนั้นหานลี่ก็ถือโอกาสที่วานรมารลังเลอยู่ในเขตอาคมกระบี่ ชูมือขึ้นทันใด
ชั่วขณะนั้นยันต์วิเศษสีเขียวปึกหนึ่งก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งออกไปเต็มท้องฟ้า หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไป ทยอยกันจมหายเข้าไปในเขตอาคมกระบี่
และแทบจะในเวลาเดียวกัน ปากของหานลี่พลันบริกรรมคาถา มืออีกข้างถือไข่มุกกลมสีทองเอาไว้ ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นเสาลำแสงสีทองพุ่งไปหาเขตอาคมกระบี่ด้านบน
จากนั้นพลันอ้าปากออก พ่นอักขระสีทองขนาดใหญ่ออกมา และพุ่งสูงขึ้นไปและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
วานรมารในเขตอาคมกระบี่สัมผัสอะไรได้ทันที มันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เสียง “ปัง!” ดังขึ้น
ในเขตอาคมกระบี่พลันมีพายุหมุนก่อตัวขึ้น เมฆสีดำปกคลุม ดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ ในเมฆาสีดำ จากนั้นกลิ่นอายที่น่าตกตะลึงราวกับจะทำลายฟ้าดินได้ก็ทะลักออกมาจากดวงอาทิตย์สีทอง
“เคล็ดวิชาอัญเชิญอัสนี!” รูม่านตาของวานรมารมีอักขระปรากฏขึ้น แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา
จากนั้นเขาพลันแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ไม่กล้าดูแคลนมือหนึ่งกวักเรียกกระบี่ยักษ์สีม่วงที่อยู่กลางอากาศ
กระบี่ยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นลำแสงสีม่วงสายหนึ่งถูกเขาดูดเข้ามาอยู่ในมือ
ขวางสมบัติในมือ วานรยักษ์คิดจะสับอากาศวิปลาสให้แตกกระจายตรงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับเคล็ดวิชาอัญเชิญอัสนีที่เป็นข้อจำกัดสำหรับไอมารอย่างอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย แม้ว่ามันจะมีเกราะสงครามสีม่วงปกป้องร่าง ก็ไม่อยากรับการโจมตีนี้ตรงๆ
แต่กระบี่ยักษ์ในมือมารตนนั้นยังไม่ทันได้โบกสะบัด ฉับพลันนั้นรอบด้านพลันมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ บรรยากาศรอบด้านเริ่มรางเลือน มันปรากฏตัวขึ้นในป่ารกสีเขียวขจี
รอบด้านกลับมีต้นไม้หนาเท่าตัวคน สูงยี่สิบสามสิบจั้งเสียดฟ้าเต็มไปหมด
“หึ ลูกไม้จิ๊บจ๊อยเช่นนี้ยังกล้าเอาออกมาใช้!” วานรมารเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดๆ ออกมา กระบี่ยักษ์ในมือสั่นเทาเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันรูม่านตาพลันมีอักขระไหลโคจรอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่รอให้มันใช้เนตรวิญญาณหาช่องโหว่ของภาพลวงตารอบด้าน ฉับพลันนั้นต้นไม้ยักษ์ทั้งหมดก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วบิดเบี้ยวกลายเป็นนักรบชุดเกราะสูงสิบจั้งสวมชุดเกราะสีเขียวทั่วเรือนกาย
จากนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นเต็มท้องฟ้า นักรบชุดเกราะทุกคนตะปบมือข้างหนึ่งออกไป ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นในมือพลันมีใบมีดยักษ์สีเขียวรูปทรงต่างๆ อย่างดาบ กระบี่ ขวานสองคม ขวานศึกเป็นต้น
นักรบชุดเกราะสิบกว่าต้นที่อยู่ใกล้กับวานรมารมากที่สุด สับใบมีดยักษ์ในมืออย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด เงาสีดำขนาดยักษ์สิบกว่าตัวพร้อมพายุหมุนสิบกว่ากลุ่มลดระดับลงมาพร้อมกัน
วานรมารพลันตกใจจนขวัญกระเจิง!
ไม่สนใจอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย ฟันกระบี่ยักษ์ในมือออกไปกลางอากาศอย่างไม่ต้องขบคิด!
ชั่วขณะนั้นรอยบากสีม่วงสายหนึ่งพลันกลายเป็นประจุไฟฟ้าทรงกลมสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วฟันออกไป
เสียง “เกร๊ง” ดังขึ้น
ใบมีดยักษ์ของกระบี่สิบกว่าเล่มถูกทำลายไปพร้อมกับนักรบชุดเกราะที่ดูเหมือนยักษ์รอบด้าน
“ไม่สิ เจ้าพวกนี้เป็นแค่ภาพลวงตา!”
จัดการได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ วานรมารไม่ได้เผยสีหน้ายินดีออกมา กลับเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมาแทน
เมื่อครู่ที่รอยบากสีม่วงสับไปที่ใบมีดยักษ์เหล่านั้น มันสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แฝงอยู่ในนั้นจำนวนไม่น้อย
แต่ไม่รอให้วานรมารคิดออกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รอบด้านพลันมีเสียงฝีเท้าดังอึกทึกขึ้น นักรบชุดเกราะจำนวนมากกว่าเดิมทะลักเข้ามาราวกับสายน้ำ ลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบ ใบมีดยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งเสียงหวีดร้องพร้อมกัน
วานรมารแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ไม่สะบัดกระบี่ยักษ์สีม่วงในมืออีก กลับยกเท้าขึ้น กระทืบลงไปบนพื้นจนดังสนั่นอีกครั้ง
เสียงอึกทึกสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น พื้นดินสั่นไหว จากนั้นไอสีดำแดงก็แผ่ลงมารอบด้านราวกับระลอกคลื่น
ทุกแห่งที่ไอมารสีดำแดงกวาดผ่านไป นักรบชุดเกราะทั้งหมดจะทยอยกันล้มลงไปราวกับฟองอากาศ ชั่วพริบตาก็ถูกกวาดไปจนเกลี้ยง
หานลี่ที่อยู่นอกเขตอาคมกระบี่เห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม มือพลันเปลี่ยนไปร่ายอาคม
เงาลวงตาเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น จากนั้นก็พลิ้วไหว กลายเป็นลูกศรสีเขียวความยาวสองสามฉื่อหลายดอก!
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น ลูกศรพุ่งไปหาวานรมารราวกับห่าฝน
ครั้งนี้วานรมารกลับไม่ร้อนรน แค่ใช้มือหนึ่งตบไปบนเกราะสีม่วงบนร่าง
ม่านลำแสงสีม่วงชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นจากในเกราะสงคราม จากนั้นมันก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงด้วยสีหน้าราบเรียบ เนตรวิญญาณกวาดไปทางลูกศรสีเขียวเหล่านั้น
ผลคือทันใดนั้นพลันขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเผยสีหน้าฉงนออกมา
ภายใต้การกวาดมองด้วยเนตรวิญญาณของเขา ลูกศรเหล่านี้มีพลังปราณของจริงแฝงอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่ภาพลวงตา
วานรมารมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ครู่ต่อมาเสียง “ตูมๆ” ก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
ลำแสงสีเขียวระเบิดออกบนผิวของวานรมารราวกับลูกไฟ ลูกศรจำนวนมากโจมตีม่านลำแสงสีม่วงจนสั่นเทาไม่หยุด ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบอย่างบ้าคลั่ง
แต่ม่านลำแสงสีม่วงชั้นนี้กลับแข็งแกร่งราวกับภูเขาไท่ซาน ไม่มีท่าทีจะแหลกสลายเลยสักนิด
แม้ว่าวานรมารจะเห็นว่าลูกศรเหล่านี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่อานุภาพก็มีแค่นี้ ทันใดนั้นจึงรู้สึกผ่อนคลายลง แต่ก็อดที่จะรู้สึกประหลาดใจพลางครุ่นคิดเจตนาของหานลี่ไม่ได้
ในยามนั้นเองใต้ดินที่มันยืนอยู่ก็มีเสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น มือยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งยื่นออกมาจากพื้นดินในบริเวณนั้น แค่พลิกฝ่ามือ นิ้วทั้งห้าก็กดลงมาหาวานรมารราวกับภูเขาไท่ซาน
แน่นอนว่าวานรมารย่อมไม่หวาดกลัวอะไร ทันใดนั้นพลันขยับดาบยักษ์ที่อยู่ในมือ หมายจะฟันมือยักษ์ให้ขาดเป็นสองท่อน แต่ฉับพลันนั้นก็ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอะไรได้ พลางชูคอขึ้นอย่างกะทันหัน
ผลคือมองเห็นเสาลำแสงสีทองสายนั้นเข้าพอดี อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่กลายเป็นดวงอาทิตย์สีทองพ่นลงมาจากกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ แต่เปล่งแสงสว่างวาบก็มาอยู่เหนือศีรษะของเขาอยู่แค่คืบ
วานรมารพลันหน้าเปลี่ยนสี