ก่อนที่วานรมารตัวนั้นจะโจมตีกลับอย่างดุเดือด หานลี่ปล่อยลำแสงเทวะดูดปราณและเปลวเพลิงยะเยือกห้าสีออกไป แต่ต้านทานเอาไว้ได้เล็กน้อยก็ถูกโจมตีจนแตกสลายไปตามลำดับ สุดท้ายถึงได้ฝืนใช้โล่ผลึกวารีต้านทานการโจมตีระลอกนี้เอาไว้
วานรมารมีพลังมหาศาลยังพอว่า ใบมีดชำรุดสีม่วงเล่มนั้นช่างมีอานุภาพยิ่งใหญ่จริงๆ เมื่อฟันลงมาจากจุดที่ไกลออกไปก็ไม่อาจป้องกันได้
จากประสบการณ์การต่อสู้ที่เฟื่องฟูของหานลี่ ย่อมนึกวิธีการใช้แมลงกลืนทองต้านทานได้ทันที
เขาไม่ได้ปล่อยแมลงเกราะทองออกมาเพิ่ม แต่ทำให้เทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ลดระดับลงมา รวมร่างกับตน และใช้แขนทั้งสี่วาดสมบัติสี่ชิ้นออก โจมตีไปยังกำปั้นทั้งสองของอีกฝ่ายพร้อมกัน
และแทบจะในเวลาเดียวกันแมลงกลืนทองสองตัวที่ถูกจับเอาไว้ก็คลายเขี้ยวแหลมๆ ออก กระพือปีกทั้งสองข้างดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
หลังจากที่แมลงกลืนทองกลายพันธุ์แล้ว ตัวมันเองก็มีพลังมหาศาล
เมื่อทั้งสองสำแดงฤทธิ์เดชพร้อมกัน ก็ทำให้แมลงกลืนทองดิ้นหลุดจากกำปั้นของอีกฝ่ายได้
แมลงทั้งสองพุ่งออกไปยังใบมีดชำรุดที่อยู่ไกลออกไปทันที มันพัวพันอย่างไม่ลดละ
วานรมารเห็นเช่นนั้นก็ควงกำปั้นคู่นั้น ทุบมาทางหานลี่
แต่จากกายเนื้อที่แข็งแกร่งของหานลี่ จะไปหวาดกลัวอะไร นี่จึงกลายเป็นสถานการณ์ตรงหน้า
เกราะสงครามบนร่างของวานรมารและใบมีดสีม่วงนั้นร้ายกาจมาก แต่ความน่ากลัวที่แท้จริงกลับเป็นพลังมหาศาลในตัวมัน
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้ชูแขนทั้งหกขึ้นพร้อมกัน แต่ก็กระตุ้นเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จนถึงขีดสุด ก็ยังด้อยกว่าอีกฝ่ายขั้นหนึ่ง
ทว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะวานรมารตนนี้ได้รับบาดเจ็บหนัก หรือว่าสงวนวิธีต่อกรกับหานลี่เอาไว้เพียงเท่านั้น นอกจากใช้กำปั้นคู่นั้นแล้ว ก็ไม่ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีก
หานลี่ถึงได้ปรับตัวเข้ากับความเร็วดุจภูตผีของอีกฝ่ายได้ และสามารถตั้งรับได้อย่างสบายๆ
ทว่าเช่นกันสมบัติปกติโจมตีไปยังเกราะสงครามสีม่วงล้วนไม่มีประโยชน์อันใดนัก มากสุดก็ทำให้ผิวของเกราะชิ้นนี้มีรอยข่วนเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
เกราะสงครามสีม่วงที่แปลกประหลาดนี้ทำให้วานรยักษ์ดูเหมือนอยู่ในกระดองเต่าที่ไม่อาจทำลายได้ ทำให้หานลี่รู้สึกยุ่งยากเป็นอย่างมาก
ดูแล้วมีเพียงต้องใช้อีกวิธีแล้ว
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางขบคิดอยู่ในใจ
เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ฝ่ามือข้างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อมาตลอดพลันเคลื่อนไหว มือสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยกงามยื่นออกมา
หลังจากเสียงภูตผีกรีดร้องดังขึ้น หัวกะโหลกสีขาวห้าหัวก็ปรากฏขึ้น มันอ้าปากกว้างๆ ออก เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีลอยหมุนวนออกมา พลางม้วนไปทางวานรมาร
จากนั้นหานลี่พลันอ้าปากออกอีกครั้ง เตาใบเล็กสีเขียวพลันถูกพ่นออกมา
เตาใบนั้นหมุนคว้าง ชั่วขณะนั้นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งแหวกอากาศออกมา ตรงไปหาฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็พลิ้วไหวแล้วสลายหายไป
ส่วนร่างของหานลี่กลับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นที่แผ่นหลัง ปีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
ปีกทั้งสองกระพือเบาๆ ร่างกายก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไปยังทางออกของห้องโถง
คาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดอาศัยอิทธิฤทธิ์ทั้งสองชนิดนี้ต้านทานวานรมารเอาไว้ชั่วคราว ส่วนตัวเองก็ถือโอกาสนี้หนีไป ดึงระยะห่างออกจากวานรมาร
จากนั้นก็ล่อวานรตัวนี้ให้มายังทางเดินที่มีเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์อยู่
มีเพียงต้องอาศัยอานุภาพของเขตอาคมกระบี่ เขาถึงได้จะกักอีกฝ่ายเอาไว้ได้ แล้วสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาสังหารมารตนนี้
ทว่าเรื่องที่หานลี่คิดไม่ถึงพลันเกิดขึ้น
ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาที่หานลี่มาเพิ่งประตูใหญ่ ความเปลี่ยนแปลงพลันปรากฏขึ้น
กลางอากาศด้านข้างประตูใหญ่ มีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ของสีแดงโลหิตยาวสองสามจั้งพลันเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏออกมา แล้วทุบลงมาที่หัว
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเตียงโลหิตที่เดิมวางอยู่ของมารวานรตัวนั้น!
“สิ่งนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
หานลี่พลันตกตะลึง อดที่จะครุ่นคิดอย่างห้ามมิได้
แต่เตียงโลหิตนั้นปรากฏขึ้นเร็วเกินไป ยามที่ทุบลงมาก็เปล่งแสงสีโลหิตเจิดจ้า อักขระยันต์น้อยใหญ่ทะลักออกมาดูแล้วพิสดารมาก
หานลี่ไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด แทบจะร้องเสียงทุ้มต่ำออกมาตามความรู้สึก ไม่เพียงแขนสีทองสี่ข้างจะโบกสะบัดอาวุธพร้อมกัน ฝ่ามือสีดำและขาวทั้งสองก็พลิ้วไหว กลายเป็นเงากำปั้นโจมตีออกไปทั่วท้องฟ้า
แม้ว่าเตียงโลหิตจะปรากฏตัวกะทันหันไปหน่อย ทำให้เขาไม่ทันได้สำแดงอิทธิฤทธิ์อื่นออกมา ทำได้เพียงอาศัยกายเนื้อเข้าต้านทาน แต่เขามั่นใจว่าหากใช้แขนทั้งหกก็เพียงพอจะโจมตีจนเจ้าสิ่งนี้กระเด็นไปได้
ลำแสงสีทองสว่างวาบอาวุธมีดทั้งสี่โจมตีไปยังเตียงโลหิตอย่างแน่นหนา
เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงสีทองและลำแสงสีโลหิตตัดสลับกันไปมา ทำให้เตียงโลหิตเตียงนั้นหยุดชะงัก และยังคงกดลงมาด้านล่างอย่างช้าๆ
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม เงากำปั้นเต็มท้องฟ้าผนึกรวมกัน กลายเป็นกำปั้นยักษ์สีดำขาวขนาดเท่าศีรษะสองกำปั้น จากนั้นก็โจมตีไป
แต่ในยามนั้นเองหานลี่พลันรู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่นหลังจนขนลุกซู่ ผิวมีก้อนตะปุ่มตะป่ำเล็กๆ ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน
“แย่แล้ว!”
แม้จะไม่รู้ว่ามีอันตรายอะไร แต่เขาที่มั่นใจในจิตสัมผัสของตัวเองมาโดยตลอด พลันหดมือทั้งสองเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะลังเลเลยสักนิด โล่ผลึกวารีหดเล็กลงก่อนจะบินมาตรงหน้า เขากระตุ้นมันในทันที มืออีกข้างกลับใช้มือหนึ่งร่ายคาถา ดูเหมือนว่าจะร่ายคาถาอะไรสักอย่าง
แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายไปแล้ว
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียง “ครืน” พลันดังขึ้น!
กลางอากาศประชิดแผ่นหลังของหานลี่เส้นสีขาวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางปรากฏขึ้น แขนสีแดงโลหิตข้างหนึ่งยื่นออกมาจากเส้นสีขาว นิ้วทั้งห้าตะปบลงมาราวกับตะขอ
ลำแสงวิญญาณปกป้องร่างสีทองเรืองรองและจะเทียบกับกายเนื้อที่เป็นสมบัติระดับสุดยอดได้อย่างไร เมื่อตะปบลงมาก็เปราะบางราวกับกระดาษ แค่รางเลือนไปเล็กน้อย แขนสีแดงโลหิตก็ทะลวงผ่านร่างของหานลี่ และตะปบออกมาจากทรวงอก
หานลี่มองแขนครึ่งท่อนที่ปรากฏหน้าทรวงอกของตน กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก แววตาฉายแววงงงวย ดูเหมือนว่าจะไม่เชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเอง
เสียงหัวเราะประหลาด “คิกๆ” ดังก้องสะท้อนไปมาในห้องโถงอีกครั้ง
ทว่าเสียงนี้ไม่ใช่เสียงที่ดังออกมาจกปากของวานรมารสวมเกราะสงครามสีม่วง แต่ดังออกมาจากรอยแยกที่เกิดขึ้นเป็นเส้นสีขาวด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าของแขนสีโลหิตนี้
“เด็กเอ๋ย คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าจัดการข้า ช่างรนหาที่ตายเสียจริง ทว่าดูจากพลังยุทธ์ของเจ้าก็บริสุทธิ์มาก พอจะชดเชยให้ข้าได้พอดี” ท่ามกลางเสียงหัวเราะแปลกประหลาด เงาสีแดงโลหิตสายก็กระโจนออกมาตากรอยแยก และเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้นแขนที่ทะลวงผ่านร่างของหานลี่ก็หดกลับไป อ้าปากออกเผยเขี้ยวเต็มปากออกพลางกัดมาทางศีรษะของหานลี่
แต่ในยามนั้นเอง เรื่องที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
ฉับพลันร่างของหานลี่พลันถูกลำแสงสีเขียวมรกตห่อหุ้มร่าง จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นดวงลำแสงสีเขียวแล้วสลายหายไป เหลือเพียงยันต์วิเศษสีเขียวมรกตที่ถูกแขนสีโลหิตทะลวงจนเกิดเป็นรอยสายหนึ่งเอาไว้เท่านั้น
เงาโลหิตงับเอาความว่างเปล่า ย่อมตกตะลึงเป็นอย่างมาก แต่ทันใดนั้นก็เอียงศีรษะมองไปทางประตู
เห็นเพียงด้านหน้าไอมารนอกประตูมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ใบหน้าของหานลี่ซีดขาวไปเล็กน้อยขณะปรากฏตัวขึ้น
สายตาของเงาโลหิตเคร่งเครียดพลางกวาดมองไปยังทรวงอกของเขา แล้วอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
ด้านหน้าของหานลี่ไม่เพียงไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บ แม้กระทั่งโลหิตสักหยดก็ยังไม่มี หากไม่ใช่เพราะตรงทรวงอกของบริเวณชุดสีเขียวถูกฉีกขาดจนเป็นรูขนาดใหญ่ เกรงว่าแม้แต่เงาโลหิตเองก็ยังคิดว่าร่างที่ตนทำการโจมตีด้วยการทะลวงผ่านไปเมื่อครู่ เป็นเพียงเคล็ดวิชาภาพลวงตาเท่านั้น
เงาสีโลหิตกลอกตาไปมา แล้วตกลงที่แขนสีโลหิตข้างนั้น เห็นเพียงด้านบนไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรอยู่เลย มียันต์วิเศษเปล่งแสงสีเขียวมรกตแทนหานลี่ที่ถูกทะลวงทรวงอกปรากฏขึ้นแทน
มันชักสีหน้า ขยับแขนอีกข้างหนึ่ง ตะปบไปทางยันต์วิเศษนี้ทันที
แต่ในยามนั้นเอง หานลี่ที่อยู่นอกประตูกลับแค่นเสียงอย่างเย็นชา และพ่นคำว่า “เก็บ” ออกมา
ยันต์วิเศษสีเขียวมรกตพลิ้วไหวกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวมรกตสายหนึ่งพุ่งออกไป แค่กะพริบวาบก็จมหายเข้าไปในร่างของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย
แน่นอนว่ายันต์วิเศษนี้คือ ‘ยันต์แปลงวิญญาณ’ ที่หานลี่ซุ่มหลอมขึ้นตั้งแต่ที่มาถึงแดนวิญญาณ
จากระดับพลังปราณของหานลี่ในยามนี้ ประกอบกับการบ่มเพราะทั้งวันทั้งคืนมาเป็นเวลาสองสามร้อยปี อิทธิฤทธิ์ของยันต์แปลงวิญญาณจึงเหนือกว่าตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์เป็นอย่างมาก
ดังนั้นแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะไม่ทันได้กระตุ้นสมบัติป้องกันตัว แต่ชั่วพริบตาที่อีกฝ่ายทะลวงผ่านกายเนื้อที่แข็งแกร่งของเขา กลับเคลื่อนไหวความคิดกระตุ้นยันต์แปลงวิญญาณก่อน ให้มันมารับการโจมตีทะลวงหัวใจแทน
หากไม่ทำเช่นนั้น การโจมตีที่เหนือกว่าความหมายเมื่อครู่ของอีกฝ่าย แม้ว่าเขาจะอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งหนีเอาชีวิตรอดได้ แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บหนักอย่างแน่นอน ทว่าด้วยเหตุนี้ยันต์แปลงวิญญาณแผ่นนี้ก็ไม่อาจใช้การได้อีกชั่วคราว จำต้องบ่มเพราะเพิ่มอีกสักร้อยปีขึ้นไปถึงจะได้
ทว่าเห็นได้ชัดว่าที่นี่คือที่หลับใหลของวานรมารตัวนั้น เงาโลหิตนั่นคือสิ่งใดกัน เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ทว่าฟังจากคำพูดที่อีกฝ่ายพ่นออกมาเมื่อครู่ ก็วางมาดเป็นวานรมาร หรือว่าอีกฝ่ายเป็นร่างแปลงของวานรมาร?
หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบในแววตาพลางพิจารณาเงาโลหิตขึ้นๆ ลงๆ
แม้ว่าร่างของเงาโลหิตจะถูกลำแสงสีโลหิตห่อหุ้มเอาไว้ชั้นหนึ่ง ร่างกายดูขมุกขมัว แต่ภายใต้อิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณของหานลี่ กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ผลคือรูม่านตาพลันหดเล็กลงทันที
สิ่งที่โผล่ออกมาของเงาโลหิตนี้ดูไม่เหมือนร่างที่แท้จริง คาดไม่ถึงว่าไม่ว่ารูปร่างท่าทางล้วนเหมือนกับวานรมารสวมเกราะสงครามสีม่วงอย่างไรอย่างนั้น
บนหัวมีเขาเดี่ยวงอกออกมาสามเขา ปากกว้างอัปลักษณ์ แขนทั้งสองยาวเลยหัวเข่า!
เงาโลหิตเห็นหานลี่นิ่งงันอยู่ที่เดิมไม่ได้ปริปากใดๆ แค่พิจารณามันไม่หยุดด้วยสีหน้าฉงนอยู่ที่เดิม ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มโหดเ**้ยมออกมา ฉับพลันนั้นพลันชูมือขึ้นกวักไปทางวานรมารสวมชุดเกราะสงครามสีม่วงที่อยู่ไกลออกไป
ทันใดนั้นวานรมารพลันเคลื่อนไหว สาวเท้ายาวๆ เดินตรงไปข้างหน้า
ส่วนเงาโลหิตพลันร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกไป แค่กะพริบวาบก็จมหายเข้าไปในเกราะสงครามสีม่วง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เสียง “พรึ่บ” พลันดังขึ้น!
ไอมารสีแดงดำถูกปล่อยออกมาจากเกราะสงครามสีม่วง ในเวลาเดียวกันพลังแรงกดที่น่าตกตะลึงก็ปรากฏขึ้น ไหนเลยมีท่าทางได้รับบาดเจ็บสักกระผีก
ยื่นอยู่ห่างจากหานลี่ถึงเพียงนี้ เมื่อถูกพลังแรงกดที่น่าตกตะลึงโจมตี ก็ยังถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับหน้าที่เปลี่ยนสี ในเวลาเดียวกันในหัวพลันมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันนึกถึงเคล็ดวิชามารลับชนิดหนึ่งที่บันทึกเอาไว้ในเคล็ดวิชามารค้ำฟ้า จึงอดที่จะร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้งไม่ได้
“ปราณแยกจิตวิญญาณ!”
“เอ๋! เจ้ารู้ชื่อเคล็ดวิชานี้ได้อย่างไร! ไม่ผิด ข้าใช้เคล็ดวิชานี้รักษาการบาดเจ็บจริงๆ การแยกจิตนั้นแม้ว่าจะอันตรายไปสักหน่อย แต่ก็เพียงพอจะทำให้ความเร็วในการฟื้นฟูข้าเพิ่มขึ้นเท่าหนึ่ง จะว่าไปแล้วเจ้าก็ประหลาดเหมือนกัน เป็นคนของแดนวิญญาณแท้ๆ กลับฝึกฝนเคล็ดวิชามารระดับสุดยอดของแดนมารโบราณของพวกเขา แม้ว่าจะถูกดัดแปลงไปไม่น้อย อานุภาพก็ยังดูเหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่” เสียงร้องอุทานเบาๆ ดังออกมาจากวานรมารในเกราะสงครามสีม่วง จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างเย็นชา
“เช่นนั้นอาการบาดเจ็บของเจ้าก็ใกล้จะหายดีแล้ว!” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆ! แม้ว่ากายเนื้อจะฟื้นฟูช้าไปสักหน่อย แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมกลับฟื้นฟูมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว หากเจ้ารู้จักวางตัวละก็ รีบให้ข้าดูดโลหิตบริสุทธิ์ของเจ้าเสียดีๆ หากพอใจข้าก็อาจจะปล่อยจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของเจ้าให้กลับไปเกิดใหม่ก็เป็นได้” วานรมารเอ่ยพร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง