หานลี่ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มองไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาทั้งสองข้างพลันหรี่ลง
“ที่นี่คือที่ที่เจ้าพูดถึงสินะ! ดูไม่สะดุดตาเลย” หลังจากถอนสายตากลับมา เขาก็เอ่ยถามเซียนเซียนที่อยู่ด้านข้าง
“ก็เพราะเช่นนี้มันถึงได้เลือกที่นี่ พี่เย่ว์หนทางต่อจากนี้ไม่ต้องให้เจ้านำทางแล้ว เจ้าไปพักผ่อนแถวๆ นี้ก่อนเถิด ข้าและท่านอาวุโสหานจะไปดูสักหน่อย จะกลับมาอย่างน้อยสุดก็ครึ่งวัน มากสุดก็สี่สามวัน หากผ่านไปแล้วไม่กลับมา สหายก็ไม่ต้องสนใจพวกเรา ไปจากที่นี่ได้เลย” เซียนเซียนเอ่ยกับเย่ว์จงพร้อมกับกลั้วหัวเราะ
“ในเมื่อท่านเซียนเซียนกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เย่ว์ก็ข้ออู้หน่อยก็แล้วกัน” เย่ว์จงตอบรับ จากนั้นก็ประสานกำปั้น แล้วบินไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง
สุดท้ายก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปในยอดเขา
“ท่านอาวุโสหาน พวกเราไปกันเถิด” เซียนเซียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
เมื่อเข้ามาในเทือกเขา วิหคควันมารที่อยู่บนหัวไหล่ของหญิงสาวเผ่าผลึกผู้นั้น ก็กระพือปีกทั้งสองบินขึ้นฟ้า หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็พุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
หานลี่และพวกทั้งสองคนก็ไล่ตามไปอย่างเงียบๆ
ยอดเขาน้อยใหญ่ในเทือกเขานี้มีอยู่มากมายเรียงร้อยต่อกัน
ทั้งสามตามวิหคน้อยสีดำไปรวดเดียวสองสามพันลี้ เบื้องหน้าพลันมียอดเขาที่ธรรมดาๆ ปรากฏขึ้น วิหคควันมารหุบปีกทั้งสองข้าง ปากก็เปล่งเสียงร้องอันไพเราะพลางหมุนวนไปมา
เซียนเซียนแววตาเปล่งประกาย เอ่ยอย่างยินดีว่า
“หาทางเข้าพบแล้ว”
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็กระตุ้นลำแสงหลีกหนี หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสแงสามครั้ง ก็มาอยู่ใกล้กับยอดเขา และวนรอบยอดเขาอย่างรวดเร็วไปสองสามรอบ สุดท้ายก็หยุดลงตรงเนินเขา และปรากฏกายพินิจสิ่งหนึ่งอยู่อย่างเคร่งขรึม
หานลี่กลายเป็นลำแสงสีเขียว ไปอยู่ข้างกายหญิงสาวผู้นี้เช่นกัน และมองตามสายตาของนางไป
เห็นเพียงตรงหน้าเป็นหน้าผาที่ดูธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง สูงร้อยจั้งเศษ เป็นสีเทาขาวเรียบลื่น นอกจากไอสีดำที่ลอยคลอเคลียอยู่แล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ทว่าแววตาของหานลี่พลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ สีหน้าเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าจะมองอะไรออก ยามนี้เซียนเซียนกลับผิวปากเสียงต่ำๆ วิหคควันมารที่เดิมนั้นหมุนวนอยู่กลางอากาศกลับร่อนลงมา พุ่งไปที่หน้าผาราวกับลูกธนู
เสียง “ปุ๋ง” ดังขึ้น ชั่วพริบตาหน้าผาที่ดูเหมือนแข็งแกร่งมากสัมผัสกับวิหคควันมาร ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น จากนั้นผิวของมันก็รางเลือน กลายเป็นหมอกสีดำหนาๆ แฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
คาดไม่ถึงว่าหน้าผาจะเป็นทางเข้าถ้ำขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง
วิหคควันมารดูเหมือนจะไม่ถูกหมอกสีดำขวางกัน มันจมหายไปในชั่วครู่
“ท่านอาวุโสรอประเดี๋ยว ให้ข้าตรวจสอบสถานการณ์ภายในก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เซียนเซียนเอ่ยอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นั่งสมาธิลงกลางอากาศ สองมือร่ายอาคมพลางหลับตา
จิตสัมผัสของนางเกาะติดอยู่บนร่างของวิหคควันมาร ยามนี้กำลังควบคุมวิหคตัวนี้ให้ตรวจสอบสถานการณ์ภายในแล้วค่อยว่ากัน
หานลี่เองก็ยืนอยู่ด้านข้างด้วยแววตาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะขบคิดอะไรอยู่
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาเพียงหนึ่งมื้ออาหาร เสียงวิหคพลันดังขึ้น วิหคควันมารพุ่งออกมาจากหมอกสีดำ หมุนวนรอบหนึ่งแล้วร่อนลงตรงหัวไหล่ของเซียนๆ
หญิงสาวผู้นี้ลืมตาขึ้นในทันที
“ยังดี อสูรมารระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นยังคงหลับสนิทอยู่ด้านใน เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการลงมือ ข้าจะให้วิหคควันมารนำทางท่านอาวุโส ตรงไปยังที่อยู่ของมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์นั่น ทว่าไอมารด้านในรุนแรงมาก แม้ว่าจะใช้เคล็ดวิชามารของท่านอาวุโสหานก็ไม่อาจอยู่ในนั้นได้นานนัก ทางที่ดีที่สุดอย่าไปปลุกอสูรตัวนั้น แค่ใช้อัสนีหลีกหนีสังหารมันเลยจะดีที่สุด!” เซียนเซียนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ชี้นิ้วไปกลางอากาศ
วิหคน้อยสีดำตัวนั้นบินเข้าไปในหมอกสีดำอีกครั้งทันที
“ท่านเซียนเซียนโปรดวางใจ ผู้แซ่หานรู้ว่าควรทำอย่างไร ท่านเซียนไม่มีเคล็ดวิชามารคุ้มครองร่าง รอข้าออกมาตรงนี้ก็แล้วกัน” หานลี่จ้องหญิงสาวตรงหน้าเขม็งชั่วครู่ แล้วถึงได้พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ทันใดนั้นสองมือก็ร่ายอาคม ฉับพลันนั้นร่างกายพลันมีลำแสงสีทองเรืองรอง และปรากฏเกล็ดอ่อนออกมา
ร่างกายพลิ้วไหว เขากลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในหมอกสีดำ
เมื่อเห็นหานลี่เข้าไปในหมอกสีดำ หญิงสาวก็หุบยิ้มที่มุมปาก และเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
“ได้เวลาพอสมควรแล้ว พวกเราลงมือเถิด” ฉับพลันนั้นลำแสงสีเขียวก็บินออกมาจากร่างของหญิงสาวเผ่าผลึก หลังจากกะพริบวาบก็กลายเป็นเงาลวงตากิเลนขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง และหันกลับมาเอ่ยกับหญิงสาว
“รออีกเดี๋ยว ไม่ว่าเขาจะสังหารมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นได้หรือไม่ ขอแค่ประมือกัน ถึงจะเป็นโอกาสงามๆ ให้พวกเราเข้าไปในรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้” เซียนเซียนสั่นศีรษะพลางเอ่ย
“อันใด เจ้ากลัวเขาไม่น้อยเลยนะ” เงาลวงตากิเลนหัวเราะหึๆ
“ระหว่างทางที่มา อิทธิฤทธิ์อันเกรียงไกรของเขา เจ้าอยู่ในตัวข้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็น แม้แต่มารอสูรระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้าก็ยังไม่อาจรั้งเขาไว้ได้นาน หากสู้กับคนผู้นี้ขึ้นมาจริงๆ ข้าไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเลยสักนิด ส่วนมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ แม้ว่าจะยังคงหลับใหล แต่ก็น่าจะสร้างเครื่องป้องกันเอาไว้ในที่พัก อยากจะเข้าไปใกล้มันง่ายๆ เดาว่าคงเป็นไปไม่ได้ พวกเรามีเพียงต้องอาศัยโอกาสที่พวกเขาต่อสู้กัน ถึงจะเปิดรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้” เซียนเซียนเอ่ยอย่างเย็นชา
“เจ้าพูดมีเหตุผล งั้นก็รอประเดี๋ยวเถิด” เงาลวงตากิเลนเอียงศีรษะครุ่นคิด แล้วพยักหน้า
และในเวลาเดียวกัน ด้านนอกเทือกเขา เย่ว์จงสร้างถ้ำพำนักใหม่ขึ้นบนยอดเขา แล้วหลับตาทำสมาธิอยู่
ฉับพลันนั้นเขาก็สัมผัสอะไรสักอย่างได้ พลิกฝ่ามือด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสี
กล่องที่บรรจุแมลงประหลาดปรากฏขึ้นในมือ
หลังจากฝาของกล่องแมลงประหลาดที่ดูเหมือนรังไหมเปิดออก ก็สะบัดหัวเปล่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งทันที
เย่ว์จงสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง แทบจะกระโจนขึ้นมาอย่างไม่ตรงขบคิด กลายเป็นสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกจากถ้ำพำนัก
แต่เมื่อร่างกายของเขามาปรากฏที่ภายนอก ก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
เบื้องหน้าของเขามีบุรุษหน้าตาแข็งทื่อสวมชุดเกราะสีเงินคนหนึ่งลอยอยู่
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชนต่างเผ่าแซ่กุยที่ปะทะกับพวกเราในหอคอย
“ที่แท้ท่านอาวุโสนี่เอง ข้านึกว่ามารอสูรอื่นมาปรากฏตัวที่นี่เสียอีก ท่านอาวุโสมหาชนรุ่นหลังมีเรื่องอันใดหรือ” เย่ว์จงรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่ก็ฝืนยิ้มขณะเอ่ย
บุรุษแซ่กุยมองเย่ว์จงอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรอยู่นาน สุดท้ายถึงได้เอ่ยถามอย่างไร้อารมณ์ว่า
“คนอื่นล่ะ?”
“คนอื่นอะไร ที่นี่มีแค่ชนรุ่นหลังคนเดียวขอรับ” เย่ว์จงยังคงตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด” บุรุษแซ่กุยได้ยิน ใบหน้าพลันมีลำแสงโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ จิตสังหารปรากฏขึ้น
เย่ว์จงหน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นพลันโยนกล่องในมือไปฝั่งตรงข้าม จากนั้นลำแสงวิญญาณที่แขนเสื้อก็เปล่งแสงสว่างวาบ ยันต์วิเศษหลากสีสันยี่สิบสามสิบใบพุ่งออกมา แล้วอ้าปากออกพ่นแผ่นป้ายหยกสีขาวออกมา
แมลงประหลาดพุ่งออกจากกล่อง มีขนาดสองสามจั้ง พุ่งเข้าไปพัวพันบุรุษแซ่กุยราวกับอสรพิษประหลาดอย่างไรอย่างนั้น ชั่วพริบตาที่ยันต์วิเศษยี่สิบสามสิบแผ่นกลายเป็นลำแสงหลากสีแล้วระเบิดออกนั้น แผ่นป้ายหยกแผ่นนั้นก็มีเสียงดังปัง กลายเป็นหมอกหนาๆ สีขาว ขนาดสองสามหมู่ ห่อหุ้มบุรุษแซ่กุยเอาไว้
ส่วนเย่ว์จงเองนั้นใต้ฝ่าเท้ามีลำแสงสีขาวสว่างวาบ กรงล้อปรากฏขึ้นคู่หนึ่ง แค่พลิ้วไหว ก็หายวับไปปรากฏตัวด้านนอกหมอกหนาๆ ห่างออกไปสิบจั้งเศษ
จากนั้นพลันกลายเป็นลำแสงหลีกหนี แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีขาวสายหนึ่งพุ่งไป
บุรุษแซ่กุยเห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะอย่างเย็นชา เห็นเพียงเขาตบไปที่หน้าผากของตนเอง ร่างกายรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นร่างแยกสามร่างที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว
ร่างแยกหนึ่งในนั้นชูแขนทั้งสองข้างขึ้น ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นมือภูตผีสีโลหิตคู่หนึ่ง นิ้วทั้งสิบแหลมยาว มีไอสีดำพันรัดอยู่ ตะปบไปทางแมลงยักษ์ที่กระโจนมาใกล้ๆ แล้วออกแรงฉีกแมลงประหลาดออกเป็นชิ้นๆ ราวกับนิ้วทั้งสิบนั้นเป็นมีดที่แหลมคม
ร่างแยกอีกร่างเบะปากออกแรงพ่นออกมา
ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสีโลหิตพลันทะลักออกมา ชั่วครู่ก็ม้วนเอาลูกบอลลำแสงต่างๆ ที่พุ่งตามมาเข้าไปข้างใน
แล้วดูดเข้าไปอีกครั้ง ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ลูกบอลลำแสงเหล่านั้นถูกร่างแยกกลืนลงไปในท้องรวดเดียว แม้กระทั่งหมอกสีขาวในบริเวณใกล้เคียงยังถูกดูดไปเกือบครึ่ง
ร่างแยกสุดท้ายแววตาทั้งสองเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันกระโจนออกไป กลายเป็นมังกรวารีสีเงินตัวหนึ่งพุ่งออกไป
แค่กะพริบวาบมังกรวารีสีเงินก็เคลื่อนย้ายมาปรากฏตัวเหนือลำแสงหลีกหนีของเย่ว์จง สะบัดหาง กรงเล็บยักษ์ทั้งสองตะปบลงมาอย่างรวดเร็วและดุดัน
เย่ว์จงหน้าถอดสี แต่แน่นอนว่าย่อมไม่ยินยอมรอความตาย บนเรือนร่างมีเสียงร้องดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีกระบี่บินกระดูกขาวสองเล่มพุ่งออกมาจากร่าง
กระบี่บินเหล่านี้มีลำแสงสว่างวาบ ดูแล้วธรรมดา เมื่อตัดสลับกันไปมาก็พุ่งไปหากรงเล็บยักษ์ทั้งสองของมังกรวารี
เสียง “แควก” ดังขึ้น แม้ว่ากระบี่กระดูกทั้งสองจะทำให้กรงเล็บยักษ์หยุดชักและต้านทานเอาไว้ได้ แต่ตัวมันกลับแตกออกเป็นสองส่วนด้วยพลังมหาศาล
เย่ว์จงถือโอกาสนี้พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา ห่อหุ้มกรงล้อใต้ฝ่าเท้า คิดจะสำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนีหนีไป
แต่แววตาของมังกรวารีพลันเปล่งแสงเย็นเยียบ แค่อ้าปากออกพ่นไข่มุกสีแดงโลหิตเม็ดหนึ่งที่มีเสียงร้องไพเราะดังออกมา
ไข่มุกหมุนคว้าง ฉับพลันนั้นพลันปล่อยลำแสงโลหิตสีดำแดงออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วห่อหุ้มเย่ว์จงเอาไว้โดยมิทันตั้งตัว
หลังจากเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น เย่ว์จงพลันกลายเป็นกองโลหิตราวกับเทียนไข ถูกมังกรวารีสีเงินกลืนลงท้อง
จากนั้นมังกรวารีสีทองก็หมุนวนแล้วพุ่งกลับไป ร่างแยกทั้งสองยังพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วพุ่งเข้ามา
เห็นเพียงเงาลวงตาเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตานั้นร่างแยกทั้งสามก็ผนึกรวมกัน กลายเป็นบุรุษแซ่กุยผู้นั้นอีกครั้ง
แค่เขามีสีหน้าเคร่งขรึม แววตาเปล่งประกายพลางขบคิดอะไรสักอย่าง
“คิดไม่ถึงว่าคนพวกนีจ้ะมาปรากฏตัวที่นี่ หรือว่ามาเพราะของเหมือนกัน แต่เจ้าสิ่งนั้นน่าจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นอกเสียจากเหมือนกับข้าเอง เป็น… หึ! ไม่ว่าจะมีประวัติความเป็นมาอะไร เจ้าสิ่งนั้นก็มีเพียงข้าถึงจะมีคุณสมบัติพอให้ได้มา ผู้ใดมาขวางข้า ข้าจะกลืนกินผู้นั้นซะ” บุรุษเอ่ยพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วเบา แววตาฉายแววโหดเ**้ยม
แต่ครู่ต่อมาฉับพลันนั้นเขาพลันเอียงศีรษะ ตะโกนออกไปด้วยเสียงดุดัน
“ผู้ใดอยู่ตรงนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้”
แต่ด้านข้างกลับเงียบสงัด ไม่มีเงาร่างของผู้ใดปรากฏตัว
บุรุษมีสีหน้าโหดเ**้ยมฉายแวบผ่าน ชูมือข้างหนึ่งขึ้น มีดบินสีเงินเล่มหนึ่งพุ่งออกมา
เห็นแค่ลำแสงสีเงินสว่างวาบ ชั่วพริบตาเงามีดก็ห่อหุ้มอากาศลงมาด้านล่าง