A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1734 อักษรบนกำแพงหิน

“ดูแล้วข้าคงคิดมากไป” ชาวเผ่าหรงสีดำสนิทมุมปากกระตุกขณะเอ่ย

“หึๆ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ากับข้าก็วางใจได้แล้ว” ชาวเผ่าหรงสีขาวหิมะกลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา ดูเหมือนว่าจะไม่แปลกใจกับการลงมืออย่างฉับพลันของสหายร่วมวิถีเลยสักนิด

ชาวเผ่าหรงสีดำสนิทพยักหน้า แล้วค่อยๆ หลับตาทั้งสองข้างลง

ชนต่างเผ่าสีขาวหิมะกวาดตาไปยังทางเดินตรงหน้าอีกครั้ง หลังจากมั่นใจว่าไม่พบอันใด ก็หลับตาลงด้วยรอยยิ้มเบิกบานเช่นกัน

ร่างของหานลี่ขยับ แฉลบผ่านชนเผ่าหรงทั้งสองไปอย่างเงียบเชียบ

ชนต่างเผ่าสีดำขาวสองคนนี้ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลยสักนิด ทำให้เขาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วเข้าไปในประตูยักษ์สีเขียว

หานลี่ถึงได้ผ่อนคลายลงจริงๆ

โชคดีที่เมื่อครู่ชาวเผ่าหรงผู้นั้นใช้การโจมตีของจริง จึงไม่อาจทำอันใดร่างล่องหนของเขาได้ หากเปลี่ยนเป็นการใช้เคล็ดวิชาโจมตี แม้ว่าจะเป็นดวงเพลิงที่ง่ายดายที่สุด เขาก็จะถูกโจมตีแล้วปรากฏกายขึ้นมาทันที

ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หานลี่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังด้านหลังประตูราวกับภูตผี แล้วหักเลี้ยวหายวับไปไม่เห็นร่องรอย

ถ้ำลับแห่งนี้เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อจริงๆ!

ในส่วนลึกของทางเดิน ขนาดของทางเดินถอดตัวไปด้านล่างราวกับตาข่ายแมงมุม ส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นตามธรรมชาติ

เช่นนั้นยิ่งทำให้ผู้คนที่เข้ามา เหมือนตกอยู่ในเขาวงกตอย่างไรอย่างนั้น

โชคดีที่หานลี่มีแผนที่ถ้ำลับที่ชายชราแซ่ซวี่มอบให้ จึงไม่ต้องอ้อมวกวนอันใด หลังจากบินไปได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงด้านหน้าถ้ำหินงอกหินย้อยตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง

ภายในถ้ำความกว้างสามสิบจั้งเศษ มีกำแพงหินสีขาวอ่อนตั้งตระหง่านอยู่

ผิวของกำแพงหินมีอักขระสีทองสลักเรียงรายอยู่ เปล่งแสงลึกลับออกมา

หานลี่ใจเต้นระรัว แต่เมื่อกวาดสายตาไป เห็นเพียงด้านหน้ากำแพงหินกลับมีชาวเผ่าหรงสวมงอบคนหนึ่ง กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกำแพงหิน

สีหน้าครุ่นคิด ราวกับว่ากำลังศึกษาตัวอักษรบนกำแพงหิน

หานลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สัมผัสได้ว่าจัดการยากแล้ว

ของที่อยู่บนกำแพงหิน แน่นอนว่าคือเป้าหมายของเขา

แต่ถ้าอยากใช้เคล็ดวิชาลับคัดลอกเนื้อหาด้านบน กลับไม่อาจไม่ทำให้ชาวเผ่าหรงผู้นี้รู้ตัวได้

หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่ทางเข้าถ้ำ สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส และครุ่นคิดไม่พูดไม่จา

ส่วนชาวเผ่าหรงที่สวมงอบ บางครั้งก็ยกมือขึ้นวาดไปทางกำแพงหินสองสามครา ท่าทางราวกับด้านข้างไม่มีอันใดอยู่

หานลี่เห็นท่าทางของชาวเผ่าหรง ความคิดก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ตัดสินใจ

เขาพลิ้วกาย ลอยไปหาชาวเผ่าหรงผู้นั้นอย่างเงียบเชียบ ชั่วพริบตาก็อยู่ห่างไปไม่ถึงสี่ห้าจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังคงค่อยๆ เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนชาวเผ่าหรงผู้นั้นก็ยังคงจ้องเขม็งไปที่กำแพงหิน เห็นได้ชัดว่าสมาธิจดจ่ออยู่กับกำแพงหิน

หานลี่พลันรู้สึกดีใจ ยามที่อยู่ห่างไม่ถึงสองจั้ง ก็ตัดสินใจลงมือ

เห็นเพียงผิวของเขาเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็ปรากฏกายขึ้น ชูมือข้างหนึ่งขึ้น ภูเขาลูกเล็กสีดำสนิทพาหมอกลำแสงสีเทาบินออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง ในเวลาเดียวกันร่างทองสามเศียรหกกรที่แผ่นหลังก็เปล่งแสงสว่างวาบ กรทั้งหกรางเลือน ฝ่ามือสีทองทั้งหกเข้ามาประชิดชาวเผ่าหรงแล้วกดลงมากลางอากาศในเวลาเดียวกัน

ชาวเผ่าหรงสวมงอบพลันได้สติขึ้น ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ หมายจะสำแดงเคล็ดวิชาลับอันใดเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหลีกหนีไป

แต่แทบจะในพริบตานั้น ฝ่ามือสีทองทั้งหกที่อยู่ด้านหลังก็เปล่งแสงสว่างวาบ พลังมหาศาลไร้รูปร่างห่อหุ้มลงมา

ชาวเผ่าหรงรู้สึกเพียงว่าหัวไหล่หนักอึ้ง บรรยากาศรอบด้านตึงเครียด แม้แต่นิ้วก็ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยได้ แม้กระทั่งพลังปราณในร่างก็แข็งตัว ยามนั้นไม่อาจโคจรได้สมประสงค์

ภูเขาสีดำกลับขยายใหญ่ขึ้นเหนือศีรษะของเขา หมุนคว้างกลางอากาศ หมอกลำแสงสีเทาผืนใหญ่ม้วนวนออกมา ตรงตีนภูเขายังมีอักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมา

ชาวเผ่าหรงสวมงอบเผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมา ทว่าถึงอย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากที่ความคิดเปล่งประกายดุจสายฟ้า ฉับพลันนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เสียงกรีดร้องยาวๆ ดังออกมาจากปาก

คาดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจไม่สนใจผลลัพธ์ ส่งเสียงเตือนคนในเผ่าคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในถ้ำ

ทว่าเสียงกรีดร้องกลับกลายเป็นคลื่นเสียงปะทะเข้ากับหมอกลำแสงสีเทารอบด้าน แล้วจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่อาจดังเกินรัศมีสองสามจั้งได้

ชาวเผ่าหรงจิตใจหนักอึ้ง ยังไม่ทันได้คิดวิธีการอันใด ฝ่ามือสีทองทั้งหกก็พ่นเส้นไหมสีทองสายหนึ่งออกมา

อันหนึ่งหมุนวน รัดชาวเผ่าหรงผู้นั้นเอาไว้แน่น

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น อักขระสีเงินที่พ่นออกมาจากภูเขาเทวะดูดปราณก็กลายเป็นเขตอาคมลำแสงสีเงินระยิบระยับร่อนลงมาด้านล่าง

เสียง “ปัง” ดังขึ้น เขตอาคมลำแสงสลายหายไป ส่วนชาวเผ่าหรงกลับสลายหายไปจากจุดที่ไกลออกไป ราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

แต่ความจริงแล้วหากมีคนใช้อิทธิฤทธิ์มองภูเขาเทวะดูดปราณ ก็ต้องมองเห็นชาวเผ่าหรงหมดสติหลับใหลอยู่ตรงสันเขา ร่างกายไม่เพียงถูกเส้นไหมสีทองรัดเอาไว้แน่น ทารกวิญญาณภายในร่างก็ถูกอักขระสีเงินแปะเอาไว้ทั่วเรือนร่าง และถูกบีบให้ตกอยู่ในสภาพหลับใหลไม่ได้สติ

จากการที่หานลี่ปรากฏตัวแล้วลงมือ จนถึงยามที่ภูเขาเทวะดูดปราณดูดชนนอกเผ่าไปในภูเขา เกิดขึ้นแค่สองสามชั่วอึดใจเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ร่างทองลงมือหรือว่าสำแดงภูเขาเทวะดูดปราณออกมา ล้วนเงียบเชียบ และกดระลอกคลื่นวิญญาณให้ลดลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด

ดังนั้นขอแค่ไม่มีคนที่สามในถ้ำ ก็ไม่อาจพบสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอดคนหนึ่งได้ คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนจับเป็นในชั่วพริบตา

เมื่อเห็นตนเองทำสำเร็จ หานลี่ก็ผ่อนคลายลง

โชคดีที่ที่นี่มีชาวเผ่าหรงสวมงอบแค่คนเดียว และยิ่งไปกว่านั้นยังตั้งสมาธิไปที่อักขระจ้วนทองบนกำแพงหิน มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำสำเร็จได้อย่างง่ายดายเช่นนี้แน่

หากเปลี่ยนเป็นชนต่างเผ่าสองคนที่อยู่ด้านนอก เขาสังหารได้อย่างง่ายดาย แต่การจับเป็นกลับไม่มีโอกาสนั้น

ขอแค่อีกฝ่ายไม่ตาย ชนนอกเผ่าที่เหลือก็ไม่มีทางสัมผัสถึงความผิดปกติที่นี่ได้

และที่ภูเขาลูกนั้นดูดผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์เข้าไปได้ ก็เพราะภูเขาเทวะดูดปราณถูกหลอมจนเป็นภูเขาระดับสุดยอด และมีความสามารถด้านห้วงเวลา

หากภูเขาทั้งห้าหลอมเสร็จ อิทธิฤทธิ์นี้ก็น่าจะแม้กระทั่งสามารถดูดแม่น้ำทะเลได้ คนธรรมดาจินตนาการถึงความสามารถของมันได้ยาก

แม้ว่ายามนี้จะเป็นแค่ภูเขาระดับสุดยอด อานุภาพของมันก็ยังไม่ธรรมดา ขอแค่ดูดคู่ต่อสู้เข้าไปข้างใน อีกฝ่ายก็ยากจะหลีกหนีแล้ว

หานลี่ไม่ได้ลังเลใดๆ อีก เก็บร่างทองและยอดเขาสีดำ ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ

วงแหวนทรงกลมสีดำสนิทบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ปล่อยหมอกลำแสงสีเขียวออกมา ม้วนวนไปด้านล่าง

ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ กำแพงหินกลับเปล่งแสงสีทองออกมา มันนิ่งงันคาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจถูกกำไลเก็บของเก็บเข้าไปได้

หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ใบหน้าไม่ได้เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

หากสิ่งนี้เก็บไปได้ง่ายจริงๆ คงไม่เอาแต่วางอยู่ที่นี่ การเคลื่อนไหวของเขาเมื่อครู่ เป็นแค่การลองทดสอบดูเท่านั้น

ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ คัมภีร์ขนาดเท่าฝ่ามือ บินออกมาจากวงแหวนสีดำ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ลอยอยู่หน้ากำแพงหิน

เขาใช้มือหนึ่งร่ายอาคม นิ้วชี้นิ้วหนึ่งชี้ไปที่กำไลเก็บของอย่างรวดเร็ว

ชั่วขณะนั้นคัมภีร์พลันเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีเงินพุ่งออกมา ห่อหุ้มกำแพงหินทั้งหมดเอาไว้

ครู่ต่อมาอักขระสีทองบนกำแพงหินพลันบิดเบี้ยว ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบราวกับฟื้นคืนชีพอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นลำแสงสีทองเป็นกลุ่มๆ ก็เปล่งแสงสว่างวาบบินออกมาจากกำแพงหิน ทยอยกันจมหายเข้าไปในคัมภีร์

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงสีทองทั้งหมดก็จมหายเข้าไปในคัมภีร์ หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง เก็บอาคมในมือ

ชั่วขณะนั้นคัมภีร์พลันหม่นแสงสีเงินลง กลายเป็นลำแสงสีขาวจมหายเข้าไปในมือของเขา

หานลี่ใช้มือหนึ่งคีบคัมภีร์เอาไว้ กวาดจิตสัมผัสเข้าไปข้างใน สีหน้าอดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้

ในคัมภีร์มีอักขระสีทองที่เหมือนกับบนกำแพงหินปรากฏขึ้น

ทันใดนั้นเขาก็เก็บคัมภีร์เข้าไปในกำไลเก็บของอย่างระมัดระวังอีกครั้ง พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น และแปะไปบนเรือนร่างเบาๆ

ลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างของหานลี่หายวับไป…

เช่นนั้น หานลี่พลันค้นหาในถ้ำรอบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เขาพบถ้ำที่เหลืออีกสามแห่งอย่างต่อเนื่อง ด้านในกลับมีกำแพงหินอักขระจ้วนทองเช่นกัน

และนอกจากหนึ่งในนั้นที่มีคนเฝ้ายามอยู่แล้ว ที่เหลืออีกสองแห่งกลับว่างเปล่า

นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกดีอกดีใจ หลังจากใช้วิธีการลอบโจมตีด้วยการเก็บเข้าไปในภูเขาเทวะดูดปราณกับชาวเผ่าหรงอีกคนหนึ่งแล้ว ก็คัดลอกอักขระจ้วนทองทั้งสามแห่งลงไปในคัมภีร์ม้วนเดียวกัน

ตามที่ชายชราแซ่ซวี่ทำสัญลักษณ์เอาไว้บนแผนที่ ยามนี้เหลือเพียงอักขระจ้วนทองส่วนสุดท้าย ก็จะสามารถรวบรวมเคล็ดวิชาทั้งหมดได้ครบแล้ว

ทว่าจนถึงยามนี้ หานลี่กลับยิ่งระมัดระวังมากขึ้น

ในเมื่อด้านหน้าไม่มีชาวเผ่าหรงเหลืออีก คิดดูแล้วน่าจะรวบตัวอยู่ในถ้ำๆ สุดท้าย

จากข่าวคราวที่แอบฟังก่อนหน้า เขตอาคมของอักขระจ้วนทองขั้นสุดท้ายยังไม่ถูกทำลาย มิน่าล่ะคนจำนวนมากถึงได้ไปคุ้มกันอยู่ที่สุดท้าย

เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่ก็มาถึงทางเดินที่ตัดสลับกันเป็นรูปตัวอักษรสือ (十) ที่นี่เป็นที่ที่เชื่อมไปยังถ้ำๆ สุดท้าย

แววตาของหานลี่กวาดไปรอบด้าน ลูบใต้คาง ฉับพลันนั้นก็ยกมือขึ้น ชั่วขณะนั้นธงอาคมจำนวนมากพลันทะลักออกมาจากแขนเสื้อ มีประมาณร้อยกว่าด้าม

นี่คืออาวุธการวางเขตอาคมชุดหนึ่งที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุดในมือของเขา อานุภาพที่สร้างขึ้นจากเขตอาคมนับได้ว่าไม่อ่อนแอ เพียงพอจะกักสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาได้ระยะหนึ่ง

นอกจากนี้เขาก็ปล่อยยันต์เก้าวิมานสวรรค์ออกมา เงาลวงตาของวิหารยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป มาปรากฏขึ้นด้านบนเขตอาคมอย่างเงียบเชียบ

แม้ว่ายันต์วิเศษชนิดนี้จะสร้างขึ้นจากวัตถุดิบที่หายาก แต่ในยามที่อยู่ในเมืองเมฆา ในที่สุดเขาก็รวบรวมได้จนครบ ทำให้เขาหลอมมันขึ้นได้สองชุด

เช่นนี้ต่อให้ชาวเผ่าหรงด้านนอกรู้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในถ้ำ และคิดจะกลับมารวมตัวกับคนที่เหลือ ก็ต้องถูกเขตอาคมทั้งสองขวางเอาไว้ชั่วคราว ยื้อเวลาให้เขาได้เพียงพอ

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ มือหนึ่งตบไปที่กลางหน้าผาก ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทองสามเศียรหกกรปรากฏขึ้นด้านหลัง

อ้าปากออกอีกครั้ง พ่นไอสีดำออกมา แล้วจมหายเข้าไปในร่างทอง

“ไป”

หานลี่ออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ใบหน้าของร่างทองเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา ฉับพลันนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว จมหายวับไปในอากาศรอบด้าน ราวกับภูตผีอย่างไรอย่างนั้น

จากนั้นนิ้วพลันร่ายอาคมอีกครั้งในแขนเสื้อ เปลวเพลิงสีเงินและยันต์สีเงินสองแผ่นพลันพุ่งออกมา

เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินและเงาสีเงินสองสาย เปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปในพื้นดินตรงหน้า

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset