เสียงแหวกอากาศดังขึ้น ลำแสงขนาดเท่าเมล็ดถั่วดีดออกมาจากปลายนิ้ว
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในกรงจนมองไม่เห็นเงา
ครู่ต่อมามุมหนึ่งของกรงพลันมีลำแสงสีเขียวระเบิดขึ้นร่างอสูรน้อยสีม่วงก็ปรากฎออกมา แขนขาทั้งสี่หงิกงอในเวลาเดียวกัน ร่างกายหมุนวนร่อนลงสู่พื้น
การเคลื่อนไหวเงียบเชียบ ราวกับผ้าฝ้ายร่อนลงมาบนพื้นดิน
แต่เช่นนั้นอสูรน้อยก็ตกอยู่ในสายตาของทุกคน
ร่างกายมีขนาดแค่ครึ่งฉื่อ แต่ดวงตาสีดำคู่นั้นกลับกลอกไปมาไม่หยุด ราวกับมีสติปัญญาแล้ว สายตาเหมือนกับมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
หากกล่าวว่าสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกับจิ้งจอกวิญญาณทั่วไป ก็น่าจะเป็นจมูกและหูทั้งสองบนใบหน้าของอสูรตัวนี้ มีเกล็ดสีเงินอ่อนอยู่หลายเกล็ด แต่มีขนาดเท่านิ้วมือเท่านั้น หากไม่พินิจอย่างละเอียดก็อาจจะสัมผัสไม่ได้
“นี่คืออสูรวิญญาณที่สืบสายเลือดมาจากมังกรวารีหน้ามนุษย์สินะ ดูแล้วเหมือนอสูรจิ้งจอกธรรมดาตัวหนึ่งไม่มีผิด” มีคนที่ใจร้อนเห็นรูปร่างอสูรน้อยตัวนี้ ก็ร้องอุทานออกมาด้วยความผิดหวังอย่างอดไม่ได้
“อสูรจิ้งจอกธรรมดา เหล่าสหายลองมองให้ละเอียด” ชายชราที่แต่เดิมมีใบหน้าเมตตาอ่อนโยน ฉายแววโหดเ**้ยม มือหนึ่งตบไปทางกรงสีดำ
กรงที่แต่เดิมนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อนมีเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ออกมา จากนั้นลำแสงสีขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ผิวของกรงมีสายฟ้าสีขาวชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น
จากนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าบาง ๆ มากมายนับไม่ถ้วนกลายเป็นใบมีดแหลมคมสับลงมาที่อสูรน้อยในกรง
อสูรน้อยเห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันโกรธเกรี้ยวราวกับมนุษย์ออกมา ปากก็ร้องคำรามเสียงต่ำ ขนบนผิวหนังมีลำแสงสีม่วงไหลวนโคจร เงาลวงตาสายหนึ่งปรากฎขึ้นบนร่างของมัน ห่อหุ้มร่างของมันเอาไว้ข้างใน
เป็นเงามังกรวารีสีเงินอ่อนตัวหนึ่ง
เงามังกรวารีตัวนี้ช่างรางเลือนนัก ทำได้เพียงพอแยกแยะร่างกายได้เท่านั้น แต่สายฟ้าเหล่านั้นที่โจมตีไปหามันกลับจมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับโคลนจมลงสู่มหาสมุทร
หลังจากที่เงามังกรวารีดูดซับสายฟ้าเข้าไปจำนวนมาก ก็เงยหน้าขึ้นร้องคำรามด้วยความโมโห ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า จนแน่นคับกรงสีดำ
กรงสีดำเปล่งเสียงกึก ๆ ออกมา
เมื่อชนต่างเผ่าเห็นฉากนี้ก็สูดลมหายใจเฮือกด้วยความตะลึง
อสูรลวงตาสีม่วงตัวนี้อาศัยเพียงเงาลวงตาของเทวะรูปตนหนึ่ง ก็สามารถระเบิดพลังที่น่าตกตะลึงออกมาได้ สำแดงพลังที่น่าตกตะลึงออกมา
ชายชราเห็นผู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีมีสีหน้าตกตะลึง ก็รู้ว่าบรรลุจุดประสงค์แล้ว จึงหัวเราะหึ ๆ แล้วชูมือหนึ่งขึ้น
ลำแสงสีทองเงินเปล่งแสงเจิดจ้า โซ่สีทองเงินสายนั้นปรากฎขึ้น พุ่งไปที่กรงอีกครั้ง และขดตัวกลายเป็นอสูรน้อย
และไม่รู้ว่าโซ่เส้นเล็กนี้ทำมาจากสมบัติชนิดใด คาดไม่ถึงว่าจะทำราวกับมองไม่เห็นเงาลวงตามังกรวารี ชั่วครู่ก็พันรัดจิ้งจอกสีม่วงเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา
แม้ว่าอสูรทารกจะดิ้นรนขัดขืนอยู่ท่ามกลางโซ่รัดเพียงใดก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้!
ส่วนเงามังกรวารีสีเงินที่แผ่ออกมาจากตัวมันก็หายวับไป
กรงสีดำกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้าง! เหล่าสหายได้เห็นอานุภาพของอสูรตัวนี้แล้ว คิดดูแล้วคงไม่มีผู้ใดคลางแคลงใจอีก อสูรวิเศษตัวนี้เปิดประมูลด้วยราคาแปดสิบล้านศิลาวิญญาณ เริ่มประมูลได้!” เซียวปู้อีเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ฉวยโอกาสที่ทุกคนยังไม่ทันได้สติประกาศขึ้นในทันใด
“แปดสิบห้าล้าน”
“เก้าสิบล้าน”
……
หลังจากที่ได้เห็นความสามารถของอสูรตัวนี้ ตัวเลขที่น่าตกตะลึงก็ทยอยกันทะลักออกมาจากผู้ที่อยู่ด้านล่างเวที การประมูลสุนัขจิ้งจอกสีม่วงตัวนี้จึงพุ่งขึ้นไปสูงมาก
พริบตาราคาประมูลก็ทะลุหลายร้อยล้าน
หานลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ได้เข้าร่วมการประมูล
ประการแรกแม้ว่าอสูรตัวนี้จะมีอานุภาพที่น่าตกตะลึง แต่การเลี้ยงดูมันต้องใช้เวลาอีกยาวนาน เขามีอสูรวิญญาณครวญ อสูรเกล็ดมิคาทน และแมลงกลืนทองแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมอสูรวิญญาณอะไรเข้าไปอีก
ประการที่สองแม้ว่าเขาจะสนใจ แต่ในตัวกลับมีศิลาวิญญาณไม่มากนัก จึงไม่อาจแย่งชิงกับผู้ใดได้
มาจนถึงครานี้แม้กระทั่งเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ชั้นสามก็เริ่มแย่งชิงกันประมูลอสูรตัวนี้แล้ว
เช่นนั้นต่อให้เดิมเขาไม่ได้ประมูลของเหลวเพลิงสวรรค์มา การแย่งชิงการประมูลอสูรตัวนี้ก็มีความหวังอยู่ไม่มาก
ทว่าในยามที่หานลี่จ้องมองไปยังสุนัขจิ้งจอกสีม่วงภายในกรง ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า อสูรน้อยที่ถูกโซ่ล่ามไว้จนไม่อาจกระดิกตัวได้ ไม่ว่ารูปร่างหรือว่าแววตาที่เผยออกมา ล้วนให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยรู้จักราวกับอิ๋นเย่ว์ในปีนั้นอย่างคาดไม่ถึง
แต่เมื่อคิดดูอีกที แม้ว่าร่างเดิมของอิ๋นเย่ว์จะเป็นหมาป่าสีเงิน แต่ร่างที่สิงอยู่ในแดนมนุษย์ก็เป็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นคล้ายคลึงกันหน่อยก็มิใช่เรื่องที่แปลกอะไร
แม้จะรู้เช่นนั้น แต่ท่าทางน่าสงสารของสุนัขจิ้งจอกสีม่วงที่มองมายังหานลี่จากบนเวที ก็ยังทำให้เขาอดที่จะสะเทือนใจไม่ได้
ตอนนั้นที่อิ๋นเย่ว์จากเขาไป เขาจะสัมผัสท่าทางประหลาดก่อนจะเข้าไปในทางเดินเหนือชั้นไม่ได้ได้อย่างไร
แค่ตอนนั้นลมปราณพลังยุทธ์ของเขา ทำได้เพียงมองนางกลับไปยังแดนวิญญาณอย่างเงียบ ๆ เพียงเท่านั้น
บางทีอาจจะเป็นเพราะสายตาของหานลี่และและชนต่างเผ่าคนอื่น ๆ นั้นไม่เหมือนกัน ลูกตาของจิ้งจอกสีม่วงที่ขยับตัวไม่ได้พลันกลอกไปมา จะประสานสายตาเข้ากับหานลี่อย่างคาดไม่ถึง จากนั้นก็กระพริบขนตายาว ๆ ของมันด้วยหน้าฉงนระคนตะลึงและดีใจ
แม้ว่าแววตาของสุนัขจิ้งจอกสีม่วงจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจปกปิดสายตาของหานลี่ได้
เขาตะลึงไปเล็กน้อย ในใจรู้สึกงุนงง ไม่รู้ว่าเหตุใดอสูรตัวนี้ถึงแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา
“หนึ่งร้อยสามสิบล้าน! ครั้งที่หนึ่ง”
“หนึ่งร้อยสามสิบล้าน! ครั้งที่สอง”
“……ครั้งที่สาม”
เห็นได้ชัดว่าเซียวปู้อีเองก็คิดว่าไม่มีใครจะเสนอราคาที่สูงกว่านี้แล้ว ปากจึงซักถามครั้งที่สามอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปที่ชั้นสามแวบหนึ่ง ปากจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา
“ยินดีกับพี่ลู่! หลังจากได้อสูรวิเศษตัวนี้ไปแล้ว เชื่อว่าวันข้างหน้าคงไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีกเป็นแน่” คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้จักผู้ที่ประมูลอสูรตัวนี้
“หึ ๆ คิดไม่ถึงว่าไม่ได้พบกันหลายปี สหายเซียวจะยังจำเสียงของตาเฒ่าได้” เสียงแหบแห้งจากชั้นสามหัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นท่ามกลางห้องที่อยู่รั้งท้ายก็มีลำแสงสว่างวาบขึ้น ลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากด้านใน คาดไม่ถึงว่าเพียงเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนก็มาปรากฎบนเวที
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ถึงได้มองเห็นใบหน้าของเงาร่างคนได้อย่างชัดเจน
เป็นชายชราสวมชุดคลุมสีดำผิวเหลือง
ชายชราผมหยิก ร่างกำยำสูงใหญ่ แทบจะสูงกว่าเซียวปู้อีที่อยู่ด้านข้างสองช่วงหัว เผยท่าทีน่าเกรงขาม
เซียวปู้อี้เห็นชายชรา แววตาพลันฉายแววหวาดกลัว ปากกลับเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อมเป็นพิเศษ
“สหายต้องการให้สหายหลันทำให้อสูรตัวนี้หลับใหลหรือไม่ มิเช่นนั้นยามที่จัดส่งอสูรตัวนี้ อาจจะเปิดปัญหาได้”
“เพียงอสูรทารกตัวเดียว กลัวว่าตาเฒ่าจะควบคุมไม่อยู่หรือ วางใจเถิด ศิลาวิญญาณเหล่านี้เจ้านับให้ดี อสูรวิญญาณตัวนี้ข้าจะเอาไปเอง สหายหลัน เจ้าเก็บสมบัติไปเถิด” ชายชราผมหยิกมั่นใจในตนเองเป็นอย่างมาก หลังจากโยนศิลาวิญญาณให้เซียวปู้อีถุงหนึ่ง ก็เอ่ยกับชายชราอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“หึ ๆ ในเมื่อพี่ลู่กล่าวเช่นนี้ งั้นผู้แซ่หลันก็จะเอาเขตอาคมออก” ชายชราพยักหน้า ชูมือหนึ่งขึ้น ตะปบไปทางกรงอีกครั้ง
อสูรน้อยสีม่วงในกรงเห็นเช่นนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว ขนสีม่วงบนร่างกายลุกชัน ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงร้องแหลม ๆ ออกมา
เมื่อเสียงเข้าโสตประสาททุกคน ผู้ที่มีพลังยุทธ์ตื้นเขินหน่อยว่าพลันสมองเบลออย่างคาดไม่ถึง พลังปราณในร่างหยุดชะงัก
แน่นอนว่าคนเหล่านั้นย่อมตกตะลึง!
แต่ผลกระทบจากเสียงนี้ต่อระดับหลอมสูญขึ้นไปอย่างหานลี่ กลับเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย
ชายชราไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า นิ้วทั้งห้าในมือเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วสลายออก
ชายชราแซ่ลู่ด้านข้างเองที่พูดจาอวดเบ่ง แต่ก็ไม่กล้าดูแคลนมากนัก สายตาจ้องไปที่อสูรน้อยเขม็ง เตรียมลงมือผนึกอสูรน้อยอีกครั้งในชั่วพริบตาที่ชายชราเก็บสมบัติไป
ชนต่างเผ่าคนอื่น ๆ ด้านล่างเวทีเห็นสถานการณ์เช่นนั้น รูม่านตาก็หดเล็กลงจ้องมองไปยังเวทีโดยพร้อมเพรียง
หานลี่เห็นจิ้งจอกสีม่วงมีท่าทีตกใจ แต่กลับดูเหมือนว่าจะเชื่อมโยงกับอะไรได้ หางตาจึงกระตุกขึ้นมา เสียง “ปัง” ดังขึ้นเบา ๆ
ฝ่ามือเขาที่แต่เดิมวางอยู่ด้านข้าง พลันออกแรงที่นิ้วทั้งห้า คาดไม่ถึงว่าจะจะทำให้เก้าอี้หยกแหลกเป็นผุยผง
และในยามนั้นเองความตื่นตะลึงก็ปรากฎขึ้น!
เสียง “ตูม” ดังสนั่นก็ดังออกมาจากด้านในหอ จากนั้นเขตอาคมลำแสงต่าง ๆ ที่วางอยู่ที่บานประตูของหอก็ระเบิดออก เศษหินในบริเวณรอบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา
ทั้งหอตกอยู่ในความเงียบเป็นเป่าสาก ใบหน้าของทุกคนเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา!
นี่คืองานประมูลสี่เผ่า เหตุใดถึงมีเรื่องน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นได้ คาดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำลายประตูของงานประมูลด้วยท่าทีไม่หวั่นเกรงสิ่งใด
ทว่าทันใดนั้นทั้งหอก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงต่าง ๆ ระเบิดออกมาพร้อมกัน
“เอ๋! เกิดเรื่องอะไรชึ้น”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
“ผู้พิทักษ์ เตรียมการป้องกัน!”
……
เป็นเพราะเขตอาคมที่ประตูระเบิดออก ลำแสงต่าง ๆ จึงเปล่งแสงสว่างวาบ ทุกคนในยามนี้ไม่อาจมองเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นได้
“อย่าเพิ่งร้อนรน ในงานประมูลที่พวกเราสี่เผ่าเป็นผู้จัดขึ้น เหล่าสหายจะกลัวเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงหรือ” แม้ว่าก่อนหน้านี้เซียวปู้อี้จะตกตะลึงไปไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็คู่ควรกับระดับหลอมร่าง ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติได้ในทันใดพลางร้องตะโกนออกไป
เสียงตะโกนราวกับฟ้าผ่าลงมากลางวันแสก ๆ ทำให้สติของผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำหน่อยที่สั่นคลอน ได้สติขึ้นมาไม่น้อย ส่วนผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงหน่อย ได้รับคำเตือนสติก็สงบลงเช่นกัน
จะว่าไปแล้วก็ใช่ ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงว่ามีผู้พิทักษ์จากทั้งสี่เผ่าเป็นผู้ดูแล แต่แม้ระดับเผ่าเบื้องบนและระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ยังดำรงอยู่จำนวนมาก ความเปลี่ยนแปลงอันใดกันที่ไม่อาจรับมือได้
“สี่เผ่า! ช่างอาจหาญนัก หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารคนที่นี่” เสียงเคร่งขรึมของบุรุษ ดังออกมาจากด้านนอกประตูหอ
“นายท่านคือใคร คาดไม่ถึงว่าจะกล้าก่อความวุ่นวายในเมืองเมฆา!” เซียวปู้อี้ฟังน้ำเสียงอวดดีของอีกฝ่าย ก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่ใบหน้ากลับเยือกเย็นเป็นปกติขณะเอ่ยตะโกนถาม
“อันใด หรือว่าเมืองเมฆาเป็นเมืองภูเขามีดทะเลไฟ[1] ข้าถึงมาเยือนมิได้” เสียงฝีเท้าดังออกมาจากด้านอกหอ เงาร่างคนสายหนึ่งข้ามลำแสงเขตอาคมตรงประตูหอเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
——
[1] ภูเขามีดทะเลไฟ เป็นคำเปรียบเปรยที่หมายถึงสถานที่ที่อันตรายมาก