“อักขระจ้วนทอง!”
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ไม่ผิด ความจริงแล้วสหายคนอื่นๆ ที่ร่วมเดินทางมากับพวกเรา แต่ก็เพลี่ยงพล้ำไปหมดแล้ว อักขระจ้วนนั้นเล่มนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราและเผ่าหรงพบในถ้ำลับแห่งหนึ่ง” หลังจากที่ชายชรามีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสชั่วครู่ ในที่สุดก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา
หานลี่จ้องเขม็งไปยังชายชรา และไม่ได้เอ่ยปากถามอันใด รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องอธิบายอย่างละเอียดแน่
หลังจากที่ชายชราหยุดชะงักคำพูด ก็เอ่ยต่อว่า
“แต่ไม่รอให้พวกเราได้ทลายเขตอาคม เอาผนึกอักขระจ้วน ก็ติดกับดักของชาวเผ่าหรง สหายคนอื่นๆ เพลี่ยงพล้ำทันที มีเพียงข้าและเซียนเย่ว์ที่โชคดีสำแดงเคล็ดวิชาลับหนีออกมา แต่ก็สูญเสียปราณแท้ไปจำนวนมาก ไม่อาจเสี่ยงอันตรายได้อีก หากพี่หานสนใจเคล็ดวิชานี้ ก็ลองดูได้ ใช่แล้ว ถ้ำลับแห่งนี้อยู่ในแดนที่ลึกลับ นอกจากเคล็ดวิชาตัวอักษรจ้วนทองแล้ว ก็อาจจะมีสมบัติชิ้นอื่นซ่อนอยู่”
“อ๋อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! พวกเจ้าบอกมาสิว่าถ้ำลับอยู่ที่ใด ผ่านมานานขนาดนี้ ชนเผ่าหรงเหล่านั้นไม่ได้ของไปแล้วหรือ” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยถาม
“พี่หานวางใจ เขตอาคมในถ้ำลับนั้นร้ายกาจมาก และยิ่งไปกว่านั้นอักขระจ้วนทองก็แบ่งออกหลายส่วน แม้จะเสียเวลานานขนาดนี้ คิดดูแล้วชาวเผ่าหรงเหล่านั้นก็ไม่อาจทลายเขตอาคมและนำเคล็ดวิชาทั้งหมดไปได้ ขอแค่ออกเดินทางในทันที ก็น่าจะไปทัน” เซียนเย่ว์แววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยอธิบาย
“ทางนั้นมีชาวเผ่าหรงประมาณกี่คน?” หานลี่รู้สึกสนใจเล็กๆ จึงเอ่ยถามขึ้น
“น่ามีสิบกว่าคนกระมัง ชาวเผ่าหรงเหล่านั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายมาก ตอนแรกที่พบถ้ำลับกับพวกเรา ก็เผยกำลังคนออกมาเพียงครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็เชิญพวกเราให้เข้าไปตรวจสอบถ้ำลับร่วมกัน ผลคือเมื่อพบอักขระจ้วนทองก็แปรพักตร์ เรียกกำลังคนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งออกมา พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ถึงได้เพลี่ยงพล้ำไปเช่นนี้ แม้ว่าสหายจะมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร แต่ก็ไม่อาจต่อกรกับคนจำนวนมากขนาดนั้นได้ ทำได้เพียงต้องแอบเข้าไปในถ้ำลับ แล้วลงมือเมื่อมีโอกาส” ชายชราดูเหมือนว่าจะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มานานแล้ว จึงแนะนำอย่างไม่ต้องขบคิด
“สิบกว่าคน หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรต่อสู้ด้วยจริงๆ ทว่าผู้แซ่หานยังมีข้อสงสัย สหายทั้งสองรู้จักอักขระจ้วนทองอยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าด้านในบันทึกเคล็ดวิชาลับชนิดใดเอาไว้? จากที่ข้ารู้มาเมฆาสวรรค์ทั้งหมดเองก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้จักอักขระวิญญาณชนิดนี้” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิด ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้…”
“พี่หานช่างชาญฉลาดมาก ดูแล้วคงไม่อาจปิดบังอันใดได้แล้ว เราสองคนรู้ที่อยู่ของถ้ำลับและอักขระจ้วนทองมาจากท่านอาวุโสในเผ่า และข้ากับสหายซวี่ก็อ่านอักขระจ้วนทองออก บันทึกนั่นน่าจะมีเคล็ดวิชาลับที่เรียกว่า ‘เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ’!”
ชายชราไตร่ตรองเล็กน้อย หญิงสาวกลับเอ่ยยอมรับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ”
หานลี่กะพริบตาปริบๆ ท่าทางตกตะลึงเล็กน้อย
“จากคำพูดของอาวุโสท่านหนึ่งในเผ่า ดูเหมือนว่าเคล็ดวิชานี้จะมหัศจรรย์ยิ่ง สามารถเพิ่มพลังจิตสัมผัสได้เป็นทวีคูณ หากฝึกฝนสำเร็จ ก็มีประโยชน์ต่อการทะลวงระดับผสานอินทรีย์หรือแม้กระทั่งจุดคอขวดหลังจากนั้น” ชายชราตอบกลับอย่างไม่ปิดบังใดๆ อีก
“เพิ่มจิตสัมผัสได้เป็นทวีคูณ! เป็นไปไม่ได้ ในยุทธภพนี้จะมีเคล็ดวิชาที่มหัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี พลางร้องอุทานเสียงหลงออกมา
“สหายซวี่พูดไม่ผิด ตอนแรกอาวุโสในเผ่าของพวกเราสองคนรู้การมีอยู่ของถ้ำลับและอักขระจ้วนทองก่อนที่แดนกว้างเย็นจะเปิด ดังนั้นถึงได้รู้ประสิทธิภาพของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ ทว่าเป็นเพราะบันทึกมันรางเลือนเกินไป ที่ผ่านมาทั้งสองเผ่าของพวกเราจึงส่งคนในเผ่าเข้าไปในแดนนี้ไปหลายครั้ง ถึงได้หาตำแหน่งของถ้ำลับพบ แต่เป็นเพราะเขตอาคมตรงทางเข้าของถ้ำลับมันลึกลับมาก แถมยังต้องเข้าใจอักขระจ้วนทอง ถึงจะทลายเขตอาคมเข้าไปในถ้ำได้ ดังนั้นสองสามปีที่ผ่านมาพวกเราสองเผ่าจึงเอาแต่ตามหาข้อมูลของอักขระจ้วนทองไปทั้งแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี ถึงได้ทำให้ข้าและสหายซวี่รู้จักอักขระจ้วนทองก่อนแดนกว้างเย็นจะเปิดเจ็ดแปดส่วน และมั่นใจว่าจะเข้าไปในถ้ำได้ ยามนี้คิดดูแล้วชาวเผ่าหรงเหล่านั้นคงพบมันด้วยความบังเอิญ ยามที่พวกเราเพิ่งจะทลายเขตอาคมที่ทางเข้า แล้วจึงมาปรากฏตัว กว่าครึ่งคงเป็นเพราะการกระทำของพวกเราตกอยู่ในสายตาของชาวเผ่าหรง พวกเขาน่าจะรู้ตำแหน่งของถ้ำลับจากทางอื่นตั้งนานแล้ว” หญิงสาวเอ่ยอย่างละเอียด
“หากเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณฉบับนี้มหัศจรรย์เช่นนั้นจริงๆ ข้าน้อยก็ไม่รังเกียจที่จะไปดูสักตั้ง ทว่าผู้แซ่หานไม่รู้อันใดเลยเกี่ยวกับอักขระจ้วนทอง ต่อให้ได้เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณมาก ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้งแล้วเอ่ยขึ้น
“หึๆ เรื่องนั้นพูดง่าย ขอแค่พี่หานได้เคล็ดวิชานี้มา และยอมให้ข้าและเซียนเย่ว์คัดลอกไปคนละหนึ่งฉบับ เราสองคนก็ยอมถ่ายทอดสิ่งที่พวกเราสองคนรู้เกี่ยวกับอักขระจ้วนทองให้ ให้สหายได้เรียนรู้เคล็ดวิชานี้อย่างราบรื่น ถือว่าเป็นของตอบแทนที่สหายยอมลงมือเสี่ยงอันตราย” เห็นหานลี่สนใจจริงๆ ชายชราพลันมีชีวิตชีวาขึ้น แล้วตอบกลับอย่างรีบร้อน
เซียนเย่ว์ที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ได้เอ่ยอันใด เห็นได้ชัดว่าก็ยอมรับเรื่องนี้โดยดุษณี
“ในเมื่อสหายทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็ต้องไปดูสักตั้งแล้ว พี่ซวี่คัดลอดแผนที่มาให้ข้าหนึ่งฉบับเถิด” ในที่สุดหานลี่ก็ตัดสินใจ แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น
“สหายรอประเดี๋ยว ข้าจะคัดลอกแผนที่ให้เดี๋ยวนี้” ชายชราแซ่ซวี่ดีใจจนออกนอกหน้า พลางตอบรับเต็มปากเต็มคำ
มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ในมือมีม้วนคัมภีร์ปรากฏขึ้น วางไว้ที่หน้าผากของตน ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
แทบจะในครู่ต่อมา ก็คัดลอกแผนที่จากจิตสัมผัสของชายชราเสร็จ
“พี่หานโปรดระวังหน่อย ข้าและสหายเย่ว์จะรอข่าวดีของสหาย!” ชายชราส่งคัมภีร์ให้ ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“ทั้งสองไปพักบนเกาะที่อยู่ไม่ไกลนี้เถิด หากข้าน้อยได้อักขระจ้วนทองมาจริงๆ จะรีบกลับมารวมตัวกับสหายทั้งสอง” หานลี่รับคัมภีร์มา แล้วตอบกลับด้วยเสียงเคร่งขรึม
จากนั้นผิวของเขาก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ คนกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป
แค่กะพริบวาบๆ สายรุ้งสีเขียวก็ไปอยู่ที่ขอบฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้งแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“พี่ซวี่ เจ้าคิดว่าสหายหานจะทำเสร็จกี่ส่วน?” หลังจากที่ใช้สายตาส่งลำแสงหลีกหนีจนสลายหายไปแล้ว หญิงสาวก็ถอนสายตากลับมา แล้วเอ่ยปากถาม
“พูดยาก หากเป็นเผ่าเบื้องบนธรรมดาๆ แน่นอนว่าย่อมไม่มีโอกาสเลยสักนิด แต่คนผู้นี้สำแดงอิทธิฤทธิ์ที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาออกมา ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นก็สู้ไม่ได้ หากโชคดีล่ะก็ น่าจะมีโอกาสครึ่งหนึ่ง อย่าลืมละ ชาวเผ่าหรงเหล่านั้นมีเจ้าผู้ที่ร้ายกาจมากอยู่คนหนึ่ง พวกเราสองคนร่วมมือกัน ก็ยังถูกเขาทำให้ได้รับบาดเจ็บ” ชายชราแซ่ซวี่ครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“หนึ่งหนึ่ง ก็ไม่เลวแล้ว เผ่าของเราสองคนวางแผนการเรื่องนี้มาเนิ่นนาน กลับมาเกิดเรื่องตอนที่ปฏิบัติงาน หากไม่ได้เอาเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณกลับไปที่เผ่า จุดจบของเจ้าและข้าจะเป็นอย่างไรแค่คิดก็รู้แล้ว” หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง
“นั่นก็ทำอันใดไม่ได้ ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างทางจะมีชาวเผ่าหรงกลุ่มหนึ่งมาสังหาร และทำลายแผนของพวกเรา” ชายชราตอบอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
“หากรู้ว่าชาวเผ่าหรงวางแผนกับพวกเราไว้แต่แรก ตอนนั้นก็คงไม่ร่วมมือกับพวกเขา พวกเราเสียแรงทลายเขตอาคมในถ้ำไปเปล่าประโยชน์จริงๆ” เซียนเย่ว์หน้าเปลี่ยนสีเป็นเย็นชา
“ไม่มีประโยชน์ ทางเข้าถ้ำเปิดแล้ว ต่อให้ไม่รับปาก พวกเราก็คงเรียกอีกครึ่งหนึ่งมาลงมือโจมตีพวกเรา แค่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น! และยิ่งไปกว่านั้นหากลงมือด้านนอกถ้ำลับ ไม่มีภูมิประเทศและเขตอาคมคอยช่วยเหลือ พวกเราก็คงไม่อาจหนีจากการล้อมสังหารของชาวเผ่าหรงได้” ชายชรากลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย
“นั่นมันก็ใช่ หวังเพียงว่าสหายหานจะทำสำเร็จได้จริงๆ ก็แล้วกัน” เซียนเย่ว์อดที่จะมองไปทางที่ลำแสงหลีกหนีของหานลี่จากไปอีกครั้งไม่ได้
ส่วนชายชราแซ่ซวี่ก็ลูบเครา เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
อีกด้านหานลี่ที่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีบินออกมาได้สองสามหมื่นลี้ ใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อพุ่งออกไป
เขาในลำแสงหลีกหนีหรี่ตาทั้งสองข้างลงเอาคัมภีร์มาแตะที่หน้าผาก ใช้จิตสัมผัสกวาดมองบันทึกด้านใน
ชายชราแซ่ซวี่คัดลอกมาไม่น้อย ไม่เพียงจะมีแผนที่ของถ้ำลับ แม้กระทั่งเส้นทางที่สำรวจภายในถ้ำไปส่วนหนึ่ง ก็ยังทำเครื่องหมายเอาไว้
นี่จึงลดความยุ่งยากให้เขาไปไม่น้อย!
“เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ” หานลี่ใช้เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
ประโยชน์จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งนั้น หลังจากที่เขาฝึกฝนคาถาเทพขับเคลื่อนในตอนนั้นก็ได้เรียนรู้มาตั้งนานแล้ว
หากเคล็ดวิชาลับนี้สามารถเพิ่มจิตสัมผัสของเขาได้ล่ะก็ ไม่เพียงจะทลายจุดคอขวดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป และยิ่งไปกว่านั้นสามารถปล่อยแมลงกลืนทองจำนวนมากออกไป ก็เพียงพอจะทำให้เขาใช้แมลงวิญญาณชนิดนี้ต่อสู้ในยามปกติแล้ว
นอกจากนี้หลังจากที่จิตสัมผัสแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าทางด้านการวางเขตอาคมหรือว่าการปรุงยา ก็มีประโยชน์มากเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเคล็ดวิชาลับนี้อย่างชัดเจน ยามนั้นก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เคล็ดวิชาเหนือชั้นชนิดนี้มีแค่ในแดนเทพเซียนเท่านั้น หากออกจากแดนนี้ แดนวิญญาณก็ไม่มีทางมีแน่
และโอกาสที่อยู่ใต้จมูกเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ
หานลี่ขบคิดเช่นนั้น แม้ว่าจะจิตใจจะเหมือนวารี ก็อดที่จะตื่นเต้นเล็กๆ ไม่ได้
ตามบันทึกในแผนที่ ถ้ำลับแห่งนั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไปเป็นระยะเวลาหนึ่งวัน ชายชราแซ่ซวีและพวกทั้งสองเสียปราณแท้ไปจำนวนมาก หนีมาถึงที่นี่ได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว
ส่วนชาวเผ่าหรงที่ปักหลักอยู่ที่นั่น หานลี่ที่ฟื้นฟูพลังปราณกลับมาแล้ว ก็ไม่ได้หวาดกลัวเท่าใดนัก
หากไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์อยู่ แม้ว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่หากคิดจะหนี ชนเผ่าหรงเหล่านั้นจะห้ามปรามได้อย่างไร
หลังจากที่หานลี่ขบคิดเสร็จแล้ว ก็ไม่คิดอันใดอีก แผ่นหลังมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ปีกวายุอัสนีปรากฏขึ้น
จากนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม เสียงแหวกอากาศดังขึ้น ลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวห่างออกไปร้อยจั้งเศษ จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
มองจากไกลๆ เส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวสายนี้กะพริบวาบๆ กลางอากาศ แล้วพุ่งออกมาราวกับภูตผี
เพราะกลัวว่าชาวเผ่าหรงเหล่านั้นจะชิงทลายเขตอาคมแล้วเอาอักขระจ้วนทองไปก่อน
ในที่สุดหานลี่ก็เร่งความเร็วเต็มอัตราอย่างไม่เสียดายพลังลมปราณ
ระยะทางเดิมที่ใช้เวลาหนึ่งวันนั้น หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวัน ก็มาถึงที่อยู่ของถ้ำลับแล้ว