น้ำเสียงของหานลี่ไม่ดังนัก แต่เมื่อเข้ามาในโสตของชายชรากลับเป็นดังฟ้าผ่า เพียงพอจะทำให้เขาตื่นขึ้นจากนิทรารมณ์
“อ๊า ที่แท้ก็มีแขกมานี่เอง ชนรุ่นหลังจะหาห้องให้ท่านอาวุโสห้องหนึ่ง” ชายชราหยัดกายลุกขึ้นด้วยความสั่นเทา ชั่วครู่ก็ตื่นลุกขึ้นมานั่ง และควักยุทธภัณฑ์ประหลาดคล้ายกระดาษสีขาวเรืองรองออกมาจากส่วนล่างของร่างกายด้วยความรีบร้อน แล้วค้นหาในนั้นอย่างรวดเร็ว
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันขมวดคิ้ว!
ชายชราที่อยู่ตรงนั้นเองก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร เหตุใดถึงไม่มีท่าทีระมัดระวังตัวเลยสักนิด เมื่อครู่ดูเหมือนว่าจะหลับอยู่จริงๆ และไม่ได้แสร้งทำ
เขาใจเต้นระรัว จากนั้นพลันเหลือบตามองชายชราแวบหนึ่ง ผลคือครู่ต่อมา พลันร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“เจ้า…เจ้าคือศิษย์พี่เซี่ยง! เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ไฉนถึงมาอยู่ที่นี่!”
ชายชราใบหน้าเหลืองกรอบดูป่วยกระเสาะกระแส แต่หว่างคิ้วกลับมีแววเจ้าเล่ห์ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเซี่ยงจื่อหลี่ที่ก้าวเข้ามาในห้วงเวลาก่อนในวันนั้น ศิษย์พี่ในนามของเขา ‘ศิษย์พี่เซี่ยง’
โคมดวงจิตของเขา มารเฒ่าฮูและตัวประหลาดเฒ่าเฟิงหายไปตามลำดับหลังจากเข้าไปในห้วงเวลาได้ไม่นาน และถูกคนคิดว่าเพลี่ยงพล้ำไปตั้งนานแล้ว
ได้พบตอนนี้จะไม่ทำให้หานลี่ตกใจจนหน้าถอดสี น้ำเสียงเปลี่ยนไปได้อย่างไร
ชายชราได้ฟังคำพูดของหานลี่ เดิมทีที่กำลังก้มหาอะไรอยู่พลันหยุดชะงัก หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้ามอย่างช้าๆ
“ศิษย์น้องหาน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า!” ชายชราเอ่ยพึมพำ ใบหน้าเผยสีหน้าเดี๋ยวจะร้องไห้เดี๋ยวจะหัวเราะออกมา เผยท่าทีแปลกประหลาดออกมา
“ผู้แซ่หานเอง ไฉนตอนนี้พลังยุทธ์และกลิ่นอายของท่าน…”
หานลี่ตอบไปพลาง จิตสัมผัสก็กวาดไปบนร่างของเซี่ยงจื่อหลี่ไปพลาง แล้วไม่อาจระงับสีหน้าให้เยือกเย็นได้
เดิมทีในแดนมนุษย์เซี่ยงจือหลี่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงแล้ว ยามนี้พลังยุทธ์กลับลดลงมาอยู่ในระดับหลอมรวม และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายยังอ่อนแอมา ดูเหมือนว่าปราณแท้จะได้รับบาดเจ็บหนัก
“ศิษย์น้องหาน เจ้าเองก็มาถึงแดนวิญญาณด้วยห้วงเวลาสินะ ดูจากพลังยุทธ์ของเจ้า ลมปราณคงพัฒนาเป็นอย่างมาก ทว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะพูดคุยกัน อีกเดี๋ยวจะมีแขกมา ตามข้ามาก่อน ไปหาที่อื่นคุยกันเถิด” เซี่ยงจื่อหลี่มองหานลี่ด้วยความตกตะลึงชั่วครู่ ใบหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ รีบร้อนหยัดกายลุกขึ้น พาหานลี่ไปยังประตูข้างของห้องโถง
หานลี่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังตามไป
เมื่อเข้ามาในประตูข้างก็เป็นทางเดินยาวๆ สายหนึ่ง สองฝั่งเป็นต้นไหม้ประหลาดๆ ฮูฉิ่งเหลยไม่ได้พาหานลี่เดินไปไกลนัก แต่ตรงไปผลักประตูหินบานหนึ่งแถวๆ นั้น แล้วเชิญหานลี่เข้าไปด้านใน
“ศิษย์น้องเชิญนั่ง ผู้เฒ่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบศิษย์น้องหานอีกครั้ง แต่ผู้แซ่เซี่ยงมีสภาพที่ตกอับเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่มีหน้าไปพบปะผู้คนแล้ว” เมื่อทั้งสองนั่งลง เซี่ยงจือหลี่ก็หัวเราะอย่างขมขื่นพลางเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง แตกต่างกับท่าทีของผู้บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งใหญ่ในแดนมนุษย์เป็นอย่างมาก
“ตอนนั้นที่ข้ามผ่านห้วงเวลามา เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า อีกสองคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” หานลี่เงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามเรื่องที่ตนอยากรู้ไปตรงๆ
“ตัวประหลาดเฒ่าเฟิงและมารเฒ่าฮูเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ตอนที่พวกเราข้ามมิติเวลามา โชคไม่ค่อยดีนัก คาดไม่ถึงว่าจะเจอวายุห้วงเวลาระเบิดตั้งสองสามครั้ง ครั้งสุดท้ายคาดไม่ถึงว่าจะเป็นวายุห้วงเวลาระเบิดสองลูกซ้อนกัน ในบรรดาทั้งสามคนมีเพียงข้าคนเดียวที่รอดชีวิต แต่เป็นเพราะข้าสำแดงเคล็ดวิชาลับปกป้องชีวิตเอาไว้ พลังยุทธ์จึงแทบไม่เหลือ สองสามปีมานี้พลังยุทธ์ก็ค่อยๆ กลับมาทีละนิดๆ” เซี่ยงจื่อหลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กๆ
“ห้วงมิติเวลานั้นอันตรายมาก ศิษย์พี่เซี่ยงรอดชีวิตมาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ทว่าตอนแรกโคมดวงจิตที่พวกเจ้าทิ้งไว้ในแดนมนุษย์มันดับไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นท่านมาอยู่ในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีได้อย่างไร เหตุใดถึงไม่ไปอยู่ในแดนที่พวกเผ่ามนุษย์บินขึ้นมา” หานลี่ปลอบใจหนึ่งประโยค แต่ก็เอ่ยถามด้วยความฉงน
“เรื่องโคมดวงจิตมอดดับนั้น เดาว่าน่าจะเป็นเพราะข้าสำแดงเคล็ดวิชาลับปกป้องชีวิต ใช้อาคมแลกชีวิต ไม่ต่างอะไรกับการแลกชีวิตของตนนัก ส่วนเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ตอนแรกถูกวายุห้วงเวลาม้วนเข้าไปข้างใน แม้ว่าจะอาศัยเคล็ดวิชาลับรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่พอออกจากห้วงมิติเวลา ก็มาอยู่ที่เมฆาสวรรค์ หากไม่ใช่เพราะถูกคนช่วยไว้ ตอนนี้อาจจะไม่ได้แม้กระทั่งจะมีชีวิตอยู่ ฟังจากคำพูดของศิษย์น้อง พอออกจากห้วงมิติเวลากลับต้องไปอยู่ในเขตแดนของเผ่ามนุษย์ในแดนวิญญาณ หากเป็นเช่นนั้น คงเป็นเพราะห้วงวายุระเบิดลูกแรกมันรุนแรงเกินไป จึงพัดพวกเราออกนอกเส้นทาง” เซี่ยงจื่อหลี่นึกถึงประสบการณ์การผ่านห้วงวายุระเบิดตอนแรกแล้ว สีหน้าก็ดูไม่ได้
ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้เอ่ยปากอะไร แค่พยักหน้าด้วยท่าทีครุ่นคิด
“ศิษย์พี่เซี่ยงมาทำอะไรที่นี่ เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าของโรงเตี๊ยม ไม่เคยคิดจะกลับไปเผ่ามนุษย์หรือ?” หานลี่ไม่ได้สืบสาวอะไร แต่กลับเพ่งสมาธิเอ่ยถาม
“เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นชาวเผ่ารังไหมศิลา และเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ เขามีจิตใจไม่เลว พลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ ดูเหมือนจะมีหน้ามีตาในเผ่ารังไหมศิลาอยู่บ้าง ทางหนึ่งตอบแทนบุญคุณ ทางหนึ่งเองก็ไม่มีที่ไป จึงทำได้เพียงต้องช่วยเขาทำงานอยู่ที่นี่ชั่วคราว ผู้แซ่เซี่ยงยอมแพ้กับเรื่องนี้แล้ว แม้ว่าสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์จะควบคุมเขตอาคมส่งตัวข้ามแผ่นดินใหญ่อยู่ แต่ทุกครั้งที่เปิดใช้เขตอาคมส่งตัวนั้น ว่ากันว่ามีค่าใช้จ่ายมหาศาลจนทำให้ระดับศักดิ์สิทธิ์ถังแตกได้เลย ไม่อาจใช้ศิลาวิญญาณธรรมดามาควบคุมได้ ต่อให้ผู้แซ่หานมีพลังยุทธ์ดังเดิมก็ยังห่างไกลกับการมีคุณสมบัติจะใช้มากนัก อีกอย่างต่อให้โชคดีมีวิธีส่งตัวไปยังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนจริงๆ พลังยุทธ์ของข้าต่ำต้อยขนาดนี้ ประกอบกับปราณแท้ได้รับความเสียหายนัก ก็ไม่มีหวังจะผ่านยุทธภพอันโหดร้ายกลับไปยังเขตแดนของเผ่ามนุษย์ได้ สถานการณ์ของผู้แซ่เซี่ยงในยามนี้สูญเสียโอกาสในการบรรลุระดับหลอมสุญตาไปแล้ว จึงไม่อยากเสี่ยงอันตรายอะไรอีกเลยตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิต” เซี่ยงจื่อหลี่สั่นศีรษะ สีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยงจือหลี่ หานลี่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร จึงปิดปากเงียบ
“ใช่แล้ว ข้าน้อยไม่เคยถามประสบการณ์ของสหายศิษย์น้องเลย แม้ว่าข้าจะไม่อาจกลับไปยังเผ่ามนุษย์ได้ แต่ก็อยากฟังสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์ในแดนวิญญาณเช่นกัน ศิษย์น้องเล่าให้ผู้แซ่เซี่ยงฟังคร่าวๆ ได้หรือไม่” เซี่ยงจื่อหลี่นึกอะไรขึ้นมาได้ พลางเอ่ยถามด้วยหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ประสบการณ์ของข้าไม่มีอะไรน่าพูดถึง แค่ไปตามพิกัดที่ศิษย์พี่ส่งมา หลังจากฝึกฝนจนอยู่ในระดับเทพแปลง ก็ตามหาห้วงเวลาพบ จากนั้นก็ร่วมมือกันกับหงส์น้ำแข็งที่เพิ่งพัฒนาระดับมาอยู่ในระดับเทพแปลงเหมือนกันเข้ามาในห้วงมิติเวลา แต่ข้าดวงดีหน่อย แม้ว่าจะพบห้วงเวลาวายุระเบิด แต่ก็โชคดีอาศัยอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลาของหงส์น้ำแข็ง หนีออกมาจากห้วงเวลาที่ฉีกขาดได้ ส่วนสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์นั้น จากที่ข้ารู้ก็แค่พอจะยืนหยัดอยู่ได้และรักษาชีวิตในแดนวิญญาณได้เท่านั้น!ส่วนสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น…”หานลี่เอ่ยเรื่องตัวเองอย่างง่ายๆ และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตนเองเคยสูญเสียพลังยุทธ์ไป แต่เรื่องของเผ่ามนุษย์ก็ไม่ใช่ความลับอะไร หานลี่จึงบอกอีกฝ่าย
“สามเขตเจ็ดแดน! ฮ่องเต้ศักดิ์สิทธิ์ราชันย์ปีศาจ! ที่แท้แดนวิญญาณของพวกเราก็มีสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์อยู่ไม่น้อย เช่นนั้นละก็ ผู้เฒ่าน้อยก็นับว่าวางใจแล้ว” เซี่ยงจื่อหลี่ได้ฟังอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
หานลี่เงียบขรึมไปอีกครั้ง แต่ชั่วครู่หลังจากที่แววตาเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยปากถามว่า
“สิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์มีเขตอาคมส่งตัวเหนือชั้นจริงหรือ! ศิษย์พี่เซี่ยงรู้เรื่องนี้มาจากที่ใด?”
“หึๆ อันใด! ศิษย์น้องอยากใช้เขตอาคมส่งตัวหรือ! เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดนั้นไม่ใช่ความลับอะไร ไม่เพียงเมฆาสวรรค์ที่มี แม้แต่เผ่าแมลงมีเขาและเผ่าราตรีก็มีเช่นกัน เผ่าใหญ่ๆ ในละแวกนี้คงมีแต่เผ่าระเบิดเสียงเพรียกที่ไม่ได้สร้างกระมัง ข้าขอพูดหน่อย ศิษย์น้องลืมมันเสียเถิด เขตอาคมส่งตัวข้ามแผ่นดินผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าผสานอินทรีย์อย่างพวกเราไม่มีคุณสมบัติให้ใช้หรอก และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็ไม่ใช่คนของเผ่า ยิ่งหาโอกาสยาก โชคดีที่สิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ไม่ได้รังเกียจคนนอกเผ่ามากนัก ศิษย์น้องหานฝึกฝนอยู่ที่จะดีกว่า และยังเป็นสหายให้ผู้แซ่เซี่ยงได้ด้วย วันข้างหน้าหากพัฒนาขึ้น ก็ค่อยกลับไปยังเผ่ามนุษย์ก็ไม่สาย ใช่แล้ว ตอนนี้พลังยุทธ์ของศิษย์น้องอยู่ขั้นไหนแล้ว ตอนนี้ข้าสัมผัสได้เพียงกลิ่นอายของศิษย์น้องสูงกว่าตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์ไม่น้อย แต่พลังยุทธ์เท่าใดกันแน่นั้น กลับไม่อาจสัมผัสได้” เซี่ยงจือหลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“เรื่องเขตอาคมส่งตัว ข้าต้องขบคิดอีกหน่อยแล้วค่อยว่ากัน ส่วนพลังยุทธ์นั้น ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าน้อยพัฒนามาอยู่ในระดับหลอมสุญตาแล้ว” หานลี่ไม่ได้ปิดบังพลังยุทธ์ของตนเอง และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ระดับหลอมสุญตา? คาดไม่ถึงว่าศิษย์น้องจะฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ เช่นนั้นศิษย์น้องก็ไม่ต้องติดอยู่กับอายุขัยแล้วสินะ!” เซี่ยงจื่อหลี่ได้ยินพลันมุมปากกระตุก อดที่จะชื่นชมไม่ได้
“ตามหลักแล้วก็มีอายุขัยไม่จำกัด แต่สามพันปีจะถูกเคราะห์สวรรค์ครั้งหนึ่ง จะมีชีวิตอยู่ยาวนานได้อย่างไร เคราะห์สวรรค์นั้นจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากไม่บินขึ้นไปแดนเทพเซียน ก็ยังต้องเพลี่ยงพล้ำสักวันอยู่ดี” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“พูดอย่างนั้นไม่ได้หรอก หลังจากศิษย์น้องพัฒนามาอยู่ในระดับหลอมสุญตาแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีอายุขัยเกินหมื่นปี วันข้างหน้าก็สบายใจได้แล้ว ค่อยๆ ฝึกฝนไป จากคุณสมบัติของศิษย์น้อง จะไม่มีทางฝึกฝนไปอีกขั้นได้อย่างไร สุดท้ายก็จะได้บินขึ้นไปแดนเทพเซียน” เซี่ยงจื่อหลี่เบะปาก แล้วพยักหน้ารัวๆ
“บินขึ้นไปแดนเทพเซียน! สองเผ่ามนุษย์ปีศาจอย่างพวกเรา ผ่านมานานเป็นหมื่นปีขนาดนี้ มีผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอยู่มากมาย แต่ผู้ที่ก้าวไปถึงก้าวสุดท้ายได้นั้นมีอยู่ไม่กี่คน ศิษย์น้องทำได้เพียงค่อยๆ ว่ากันไปทีละก้าวเท่านั้น!” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น
“หึๆ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันเถิด ตอนนี้ศิษย์น้องหานพักที่ร้านข้าก่อน ตอนนี้ข้ายังต้องไปดูแลลูกค้า ตกเย็นตอนมีเวลาจะมาคุยกับศิษย์น้องอีกครั้ง ศิษย์น้องคงไม่ปฏิเสธการเยี่ยมเยียนของผู้เฒ่าหรอกกระมัง” เซี่ยงจือหลี่มองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ
“อืม ก็ดี ข้าก็มีธุระในเมืองเมฆาเช่นกัน ต้องให้พี่เซี่ยงชี้แนะสักหน่อย” หานลี่แววตาเปล่งประกายพลางพยักหน้า แล้วตอบรับอย่างเต็มปาก
ดังนั้นเซี่ยงจือหลี่จึงเลือกห้องที่สะอาดสะอ้านให้หานลี่ห้องหนึ่ง ตั้งอยู่ตรงมุมที่เงียบสงบ และนำทางหานลี่ไปด้วยตนเอง
ส่วนเขาก็กลับมายังห้องโถงใหญ่
หานลี่วางเขตอาคมกั้นเสียงภายในห้อง ตนเองก็นั่งสมาธิ เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบเซี่ยงจือหลี่ที่นี่ ทำให้เขาจำใจต้องขบคิดให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง!