“นี่คือเมืองเมฆา?” หานลี่ที่อยู่ในลำแสงสีเขียวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
“ใช่แล้ว! พอเห็นชื่อก็จะทราบความหมายแฝง เมืองเมฆาเป็นรองเพียงเกาะนภาในแดนวิญญาณ เป็นที่อยู่อาศัยประเภทที่สองที่สามารถลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าได้ แม้ว่าจะไม่เหมือนเกาะนภาที่สามารถเคลื่อนย้ายไปตามแรงลมได้ แต่เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป ก็สามารถเพิ่มระดับความสูงได้อย่างอิสระ” เจี่ยเทียนมู่ที่ยืนอยู่ข้างกายหานลี่ ลูบเคราสั้นๆ ใต้คางพลางตอบอย่างภาคภูมิใจเล็กๆ
ยามนี้เขาสองคนอยู่เหนือยอดเขาเล็กๆ และไกลออกไปสองสามร้อยลี้ก็เป็นเมืองขนาดยักษ์ลอยนิ่งอยู่
เมืองอยู่สูงจากพื้นดินไปสองสามหมื่นจั้ง ไม่เพียงจะมีเมฆาสีขาวลอยคลอเคลียอยู่ ตัวมันยังสร้างขึ้นจากวัตถุดิบสีขาวที่ไม่รู้จักชนิดหนึ่ง
เมืองที่อยู่สูงนี้มีขนาดภายนอกใหญ่มหึมา ทำให้คนที่เห็นครั้งแรกรู้สึกตื่นตะลึง
สิ่งที่สะดุดตาอีกอย่างหนึ่งคือลูกบอลยักษ์สีขาวบริสุทธิ์สิบกว่าดวงที่วนล้อมรอบเมืองยักษ์อยู่ ทุกดวงมองไกลๆ ดูเหมือนไม่ใหญ่มากนัก แต่หากเข้ามาใกล้ กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน คาดไม่ถึงว่าจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นหมื่นจั้ง
ส่วนจำนวนที่แน่นอนของลูกบอลเหล่านี้นั้น เป็นเพราะเห็นเมืองเมฆาแค่ด้านเดียว หานลี่จึงไม่อาจคาดเดาจำนวนที่แน่นอนได้
“นั่นคืออะไร” หลังจากที่หานลี่ตกตะลึงแล้ว ก็ชี้ไปที่ลูกบอลเหล่านั้น แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“สหายหานหมายถึงเหล่าผู้พิทักษ์เมืองเมฆาสินะ! พวกมันเป็นผลงานอันพิถีพิถันของความร่วมมือจากเผ่าหมื่นโบราณและเผ่ารังไหมศิลา เป็นหนึ่งในอาวุธป้องกันของเมืองเมฆา ส่วนสภาพการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น หลังจากสหายเข้าไปในเมืองเมฆาแล้วไปสอบถาม ก็จะรู้แล้ว ฮ่าๆ ตอนนี้ถูกผู้แซ่เจี่ยแสร้งสร้างสถานการณ์แล้ว!” เจี่ยเทียนมู่เผยรอยยิ้มลึกลับขณะเอ่ย
หานลี่ได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกหมดคำพูด
ทว่าเขากลับไม่ได้ซักถามเรื่องนี้อย่างไม่ยอมลดละ ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีทั้งที่ยังรู้สึกประหลาดใจกับเมืองแห่งนี้ แล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
เจี่ยเทียนมู่เองก็กลายเป็นลำแสงสีขาวไล่ตามไปติดๆ
ระยะห่างสองสามร้อยลี้ ไม่รอให้เข้าใจเมืองสถานการณ์คร่าวๆ ของเมือง แต่เมื่อเข้าใกล้เมืองนี้ในระยะสองสามร้อยลี้ ความใหญ่ยักษ์ของ ‘เมืองเมฆา’แม้หานลี่จะมีประสบการณ์มามากมาย เมื่อเห็นชัดๆ ก็ยังอดที่จะสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้
ระยะใกล้แค่นี้ เมืองเมฆาแทบจะปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้
ระหว่างทางพวกเขาเริ่มมองเห็นลำแสงหลีกหนีของผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าคนอื่นๆ รวมทั้งยุทธภัณฑ์เหาะเหินต่างๆ อย่างรถอสูร เรือวิญญาณ
จากนั้นก็เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าเองก็เพิ่มขึ้นไม่หยุด
เมื่อหานลี่ใช้ตาเนื้อก็สามารถเห็นลูกบอลยักษ์ลูกหนึ่งที่อยู่ตรงทิศทางของตนเอง รอบๆ มีลำแสงหลีกหนีสัญจรไปมาอยู่จำนวนมาก แลเท่าที่ตามองเห็น ล้วนมีอยู่เต็มไปหมด
ทว่าไม่ใช่แค่นั้นแทบจะทุกคนเมื่อเข้าใกล้ลูกบอลยักษ์นั่น ก็จะอ้อมไปอย่างว่าง่าย ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปเฉียดลูกบอลลูกนี้
หานลี่เห็นเช่นนั้น ย่อมทนไม่ไหวพิจารณามองอย่างละเอียดสองสามแวบ
ส่วนลึกในรูม่านตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ผิวของลูกบอลแทบจะปรากฏอยู่ในสายตาของเขาใกล้แค่คืบ
เห็นได้ชัดว่าภายนอกของสิ่งยักษ์นี่ใช้วัตถุดิบเดียวกันกับเมืองเมฆา แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่า ผิวของลูกบอลดูเหมือนจะเป็นผิวสีขาวที่เรียบลื่น คาดไม่ถึงว่าจะมีร่องรอยจางๆ
ผิวของลูกบอลเหล่านี้ราวกับใช้วัตถุดิบจำนวนนับไม่ถ้วนประกอบเข้าด้วยกัน และวัตถุดิบที่ประกอบเข้าด้วยกันนั้น ทุกชิ้นต่างแฝงอักขระสีทองเงินสองสีเอาไว้ ทำให้ผิวของลูกบอลเหล่านี้ดูลึกลับเป็นอย่างมาก
หานลี่ขมวดคิ้ว และกวาดจิตสัมผัสไปบนลูกบอลลูกนี้อย่างไม่เกรงใจ
ผลคือเมื่อสัมผัสกับผิวของลูกบอล ก็จะถูกพลังต้องห้ามที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งดีดออกมา ไม่อาจเข้าไปในลูกบอลได้เลยสักกระผีก
หานลี่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ของลึกลับเช่นนี้ หากถูกเขาสำรวจด้านในอย่างง่ายๆ มันจะทำให้เขาตกตะลึงเสียมากกว่า
“สหายโปรดจำไว้หากในตัวท่านมีสมบัติและวัตถุดิบธาตุทอง ห้ามเข้าใกล้พวกมันในระยะพันจั้ง มิเช่นนั้นสิ่งของธาตุทองทั้งหมดจะถูกพวกมันดูดและกลืนลงไป และความเสียหายทั้งหมดนี้ เมืองเมฆาจะไม่รับผิดชอบ” เจี่ยเทียนมู่เห็นหานลี่พิจารณาลูกบอลอยู่ไกลๆ ก็เอ่ยปากตักเตือน
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หานลี่อึ้งไปเล็กน้อย สายตากวาดไปยังคนอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกนั้น ความจริงแล้วก็เชื่อถือไปแล้วเจ็ดแปดส่วน
ลำแสงหลีกหนีจำนวนไม่น้อยรอบๆ เปลี่ยนทิศทาง ทยอยกันบินไปทางประตูเมืองยักษ์ของเมืองเมฆา
ตรงประตูเมืองผู้พิทักษ์ประตูสวมชุดเกราะยี่สิบสามสิบคน กำลังยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของประตูเมืองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และตรวจสอบอะไรสักอย่างกับคนที่อยากจะเข้าไปในประตูเมือง
การตรวจสอบที่ละเอียดรอบคอบเช่นนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยากเข้าเมืองเท่านั้น หากอยากออกไป ก็ไม่มีใครเข้าไปซักถามเลยสักนิด
และเกราะสงครามที่ผู้พิทักษ์ประตูเหล่านั้นสวมอยู่ ก็ปกคลุมอย่างแน่นหนาตั้งแต่หัวจรดหาง แต่ล้วนมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน มีความแตกต่างกันมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนในเผ่าเดียวกัน
เมื่อหานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ สองตาก็อดที่จะหรี่ลงไม่ได้ แต่ลำแสงหลีกหนีก็ไม่ได้หยุดลง ชั่วครู่ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูเมืองพร้อมกับเจี่ยเทียนมู่
ยามนี้ลำแสงหลีกหนีที่อยู่รอบๆ พลันร่อนลงมาด้านล่างอย่างต่อเนื่อง ผู้บำเพ็ญเพียรที่เตรียมจะรับการตรวจสอบ มีอยู่สิบกว่าคน
ความจริงแล้วสิ่งที่เรียกว่า ‘การตรวจสอบ’ เป็นแค่จานอาคมลักษณะพิเศษที่ผู้พิทักษ์สองสามคนถือเอาไว้ ตรวจสอบใบหน้าของคนแปลกหน้าไปมาไม่หยุด ในเวลาเดียวกันอีกคนหนึ่งก็หยิบของอีกชิ้นออกมาอย่างรวดเร็ว ฟังไปพลาง เพิ่มเจ้าสิ่งนั้นเข้าไปไปพลาง
กลางอากาศของเมืองเมฆาไม่ได้มีเขตอาคมม่านลำแสงต่างๆ ปรากฏขึ้น แต่กลางอากาศของเมืองเมฆากลับว่างเปล่า ไม่มีลำแสงหลีกหนีสักสายกล้าบินข้ามผ่านกำแพงเมืองสูงสองสามร้อยจั้งเข้าไปในเมืองตรงๆ
ครั้งนี้เจี่ยเทียนมู่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร หลังจากฉีกยิ้มน้อยๆ ฉับพลันนั้นก็รอให้ชนต่างเผ่าที่เข้ารับการตรวจสอบเดินเข้าไปสองสามคน
แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวที่เหมือนกับการ ‘แซงแถว’ย่อมทำให้คนอื่นๆ ไม่พอใจ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าส่วนใหญ่นั้นล้วนอยู่ในระดับสร้างปราณและหลอมรวม เมื่อกวาดจิตสัมผัสมาที่เจี่ยเทียนมู่ ผมว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าเบื้องบนคนหนึ่ง ทันใดนั้นก็ปิดปากฉับไม่พูดอะไร แม้กระทั่งไม่กล้าเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา
แต่เมื่อเห็นการกระทำของเจี่ยเทียนมู่ แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจของผู้พิทักษ์ สายตาเย็นชาสองสามสายกวาดไปบนร่างของเจี่ยเทียนมู่
พลังยุทธ์ของคนเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ด้อยไปกว่าเจี่ยเทียนมู่
แต่เมื่อเจี่ยเทียนมู่เจอเหตุการณ์นี้ กลับสะบัดแขนเสื้อไปอย่างไม่รีบร้อน แผ่นป้ายสีดำสนิทขนาดเท่าฝ่ามือบินออกไป ตรงไปยังผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นผู้นำ
แววตาของผู้พิทักษ์คนนั้นฉายแววตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองคว้าแผ่นป้ายเอาไว้ และก้มหน้าลงเพ่งพินิจมอง
และแทบจะในเวลาเดียวกัน เจี่ยเทียนมู่พลันขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่ไม่รอให้ได้เปล่งเสียงใดๆ ก็สำแดงเคล็ดวิชาถ่ายทอดเสียง!
แต่สิ่งที่ทำให้ชนต่างเหล่านั้นประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ผู้พิทักษ์คนนั้นมองเห็นแผ่นป้ายในมือ แววตาพลันฉายแววตื่นตะลึง จากนั้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ถ่ายทอดไปของเจี่ยเทียนมู่ ชั่วขณะนั้นก็ไร้ซึ่งความสงสัย ทันใดนั้นพลันสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว คืนแผ่นป้ายในมือให้เจี่ยเทียนมู่ และคารวะอย่างนอบน้อมพลางเอ่ยว่า
“ที่แท้ก็เป็นปรมาจารย์เจี่ยของเผ่าหมื่นโบราณ! เชิญท่านปรมาจารย์รีบเข้ามาเถิดขอรับ อาวุโสของเผ่าท่านได้กำชับเอาไว้ตั้งนานแล้ว หากท่านปรมาจารย์กลับมาถึงเมืองเมฆาอย่างปลอดภัย ให้เชิญท่านไปพบพวกเขาที่หออาทิตย์อุทัย ใช่แล้ว เนื่องจากตอนนี้ในเมืองอาจจะมีจารชนจากเผ่าแมลงมีเขาแอบลักลอบเข้ามา ข้าน้อยจะส่งคนไปคุ้มครองท่านปรมาจารย์ไปส่งที่หออาทิตย์อุทัย”
“อ๋อ เหล่าอาวุโสล้วนอยู่ที่หออาทิตย์อุทัย! ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็จะไปพบพวกเขาทันที ส่วนเรื่องคุ้มครองนั้น ไม่ต้องหรอก มีสหายหานร่วมเดินทางไปกับข้า ขอแค่ไม่ถูกระดับผสานอินทรีย์ลอบโจมตี ก็ปลอดภัยแล้ว พวกเจ้าจัดการธุระของพวกเจ้าเถิด ใช่แล้ว สหาpหานไม่ใช่คนของเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเรา เตรียมป้ายแสดงฐานะที่เป็นอิสระระดับสูงที่สุดให้เขาด้วย ข้าเป็นคนรับประกันเขาเอง” เจี่ยเทียนมู่หลังรับแผ่นป้ายมา แล้วใช้น้ำเสียงออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
“ขอรับ ท่านปรมาจารย์!” ผู้พิทักษ์คนนั้นได้ยินแล้วพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยปากตอบรับ
ยามนั้นหานลี่พลันเดินไปอย่างไม่รีบร้อน
เหล่าผู้พิทักษ์พลันใช้จานอาคมในมือกวัดแกว่งไปมาทางเขาพร้อมกัน
หานลี่สัมผัสได้ถึงพลังแรงกดจางๆ ที่แผ่ออกมาจากจานอาคมประหลาดเหล่านั้น จากนั้นพลังจิตสัมผัสสองสามกลุ่มก็ปล่อยออกมาจากร่างของเหล่าผู้พิทักษ์ จากนั้นคาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกัน กวาดไปบนร่างของหานลี่
หานลี่พลันตะลึงงัน จากนั้นแววตาพลันฉายแววตกตะลึง
เคล็ดวิชาที่สามารถนำจิตสัมผัสของคนสองสามคนมาผนึกรวมกัน เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เมืองเมฆาคู่ควรกับที่เป็นศูนย์กลางของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์จริงๆ แค่ผู้พิทักษ์ประตูเมืองคนหนึ่งก็ยังมีเคล็ดวิชาลับที่น่าเหลือเชื่อ
ทว่าหลังจากผู้พิทักษ์เหล่านั้นตรวจสอบพลังยุทธ์ของหานลี่ ชั่วขณะนั้นแต่ละคนพลันใจหายวาบ
เผ่าเบื้องบนระดับเจ็ด แม้ว่าจะเป็นเผ่าที่เป็นพันธมิตรกับสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ ก็ยังหาได้ยาก
ทันใดนั้นหลังจากผู้ที่เป็นผู้นำมองจานอาคมไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองจากโลหิตเผ่าแมลงมีเขา ทันใดนั้นก็ผ่อนคลายลงพลางเอ่ยกับหานลี่
“ท่านอาวุโส! ในเมื่อมีปรมาจารย์เจี่ยรับประกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังผ่านการตรวจสอบขั้นแรกของข้า พวกเราจะมอบป้ายแสดงฐานะชนชั้นสูงให้ท่านป้ายหนึ่ง หลังจากรับแผ่นป้ายไปแล้ว นอกจากสถานที่ลับในเมืองเมฆา ที่เหลือท่านอาวุโสก็สามารถเข้าออกได้ทุกแห่ง”
“รบกวนนายท่านแล้ว!” หานลี่กลับเผยท่าทีเป็นมิตรออกมา
ผู้พิทักษ์ระดับเทพแปลงคนนั้น จึงเอ่ยปากว่ามิกล้าๆ อย่างเกรงใจ
ส่วนเรื่องที่จะส่งคนไปคุ้มครองเจี่ยเทียนมู่นั้น แน่นอนว่ายามนี้ย่อมไม่ต้องพูดถึง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็คิดว่า มีหานลี่ผู้ซึ่งอยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนระดับเจ็ดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องส่งใครไปอีก
เรื่องต่อจากนี้ก็ง่ายขึ้นแล้ว ชั่วครู่คนเหล่านั้นก็หลอมแผ่นป้ายหยกที่มีข้อมูลคร่าวๆ ของหานลี่เสร็จ แล้วส่งให้หานลี่ จากนั้นผู้ที่เป็นผู้นำก็โบกมือ ชั่วขณะนั้นพลันเกิดทางเดินสายหนึ่ง
เจี่ยเทียนมู่เองก็ไม่ได้เกรงใจ สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไปในเมือง หานลี่เองก็ตามไปติดๆ อย่างไม่รีบร้อน
“สหายเจี่ย เคล็ดวิชาที่คนเหล่านั้นใช้ผนึกรวมจิตสัมผัสเมื่อครู่ มันคือเคล็ดวิชาลับใดกันแน่ หากใช้เคล็ดวิชาลับเช่นนี้ต่อกรกับศัตรูจะไม่เป็นเครื่องมือสังหารชั้นหนึ่งหรือ!” เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในประตูเมือง หานลี่ก็เอ่ยปากขึ้นทันที