หานลี่ที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนั้น สองมือพลันร่ายอาคมโดยไม่ได้กล่าวใดๆ ลูกไฟสีเขียวลอยวนไปมากลางอากาศ เส้นไหมสีเขียวสองกระจุกเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เส้นไหมสีเขียวกระจายตัวออก เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ปกคลุมเพลิงสีเขียวสองกลุ่มเอาไว้ข้างใน
ชั่วขณะนั้นเพลิงสีเขียวพลันพลิ้วไหวไปมาและส่งเสียงร้องประหลาดๆ ไม่หยุดท่ามกลางเส้นไหมสีเขียว แต่กลับไม่อาจดิ้นรนให้ออกมาได้
เวลานี้ท้องฟ้าในละแวกใกล้เคียง หม้อใบเล็กสีเขียวใบหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
หานลี่แววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ มือหนึ่งชี้ออกไป
วิหคเพลิงสีเงินที่บินไประเบิดเสียงอึกทึกออกมา ชั่วครู่ก็กลายเป็นลูกบอลเพลิงสองลูกพุ่งออกไป
หลังจากเสียง ตูมๆ ดังขึ้น ก็โจมตีไปยังลูกบอลเพลิงสีเขียวสองลูกที่ถูกกักเอาไว้
หลังจากเสียงเพรียกแหลมๆ สองเสียงดังขึ้น ลูกบอลเพลิงสองลูกก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงิน คาดไม่ถึงว่าจะผนึกรวมกันกลายเป็นสิ่งกลมๆ คล้ายกับลูกตาสองลูก ราวกับกะพริบตาใส่หานลี่ ดูเหมือนว่าจะมีลำแสงประหลาดเปล่งแสงสว่างวาบ
หานลี่ใจหายวาบ ร่างแทบจะเลือนหายไปตามความรู้สึก ชั่วพริบตาพลันสลายหายไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมาเพลิงสีเขียวสองกลุ่มพลันหายวับไปท่ามกลางลำแสงสีเงิน ถูกสังหารทิ้งไปจากยุทธภพนี้
กลางอากาศอีกแห่งห่างออกไปสิบจั้งเศษ เงาร่างของหานลี่พลันปรากฏขึ้นท่ามกลางลำแสงสีเขียว ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปที่เบื้องล่าง แต่หัวคิ้วพลันขมวดแน่น
จิตวิญญาณของสัตว์ประหลาดระดับสูงชนิดนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าความจริงแล้วของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร เขาจึงไม่กล้าปล่อยให้พวกมันรอดชีวิตไปได้ เพื่อไม่ให้มันมีอะไรเกิดขึ้นในภายหลัง
ส่วนมหายุทธ์ค้นวิญญาณยิ่งไม่เหมาะกับการใช้กับผู้ที่มีระดับสูงกว่าตนเอง มิเช่นนั้นอาจจะถูกมหายุทธ์ค้นวิญญาณแว้งกัดได้
ทว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้มีจิตวิญญาณที่เป็นเอกเทศสองดวง จึงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย
และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งประหลาดที่จิตวิญญาณแปลงเป็นสิ่งสุดท้ายนั้น ดูเหมือนว่าจะแปลกประหลาดไปเล็กน้อย แต่เขาตรวจสอบตนเองอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น ดูแล้วน่าจะยังไม่ทันได้กระตุ้นอะไรเข้า ก็ถูกเพลิงกลืนวิญญาณสังหารไปแล้ว
เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง แล้วใช้มือหนึ่งกวักเรียกจุดที่ไกลออกไป แล้วสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นไม่เพียงเปลวเพลิงสีเงินและเตานภาสูญที่บินกลับมา แม้แต่ยอดเขาเทวะดูดปราณและกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาทั้งเจ็ดสิบสองเล่มที่อยู่ไกลออกไป ก็ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาปรากฏตรงหน้า ถูกดูดกลับเข้าไปในร่าง
หานลี่ถึงได้มีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนผิวกาย คนค่อยๆ ร่อนลงด้านล่าง
หานลี่กลับไม่รู้ว่าในตอนที่เขาสังหารแมลงเม่าประหลาดนั้น ท่ามกลางส่วนลึกสีดำสนิทของมหาสมุทรที่อยู่ไกลออกไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ มีวิหารใต้ดินหลังหนึ่งที่สร้างขึ้นจากก้อนอิฐหยกสีขาวนวล
และในห้องลับอันมืดมิดที่อยู่ลึกที่สุดของวิหารบนพื้นดิน มีโคมไฟโบราณสัมฤทธิ์ขนาดสองสามฉื่อเรียงอยู่สิบสองดวง ด้านบนมีดวงไฟสีเขียวอ่อนขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันเปล่งแสงเรืองๆ
ดวงไฟเหล่านี้ใหญ่หน่อยก็มีขนาดเท่าไข่ไก่ เล็กน้อยก็มีขนาดเท่าหัวแม่มือ
ด้านหน้าโคมไฟโบราณเหล่านี้ เงาร่างคนผ่ายผอมคนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ ก้มหน้าลงเล็กน้อย ร่างทั้งร่างและใบหน้าถูกเสื้อคลุมสีทองอ่อนห่อหุ้มเอาไว้
ผิวของเสื้อคลุมมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงระยิบระยับ ด้านบนมีตัวอักษรโบราณสลักอยู่
ในพริบตาที่หานลี่สังหารจิตวิญญาณทั้งสองของแมลงเม่าประหลาดนั้น ดวงไฟขนาดกลางหนึ่งในโคมไฟโบราณดวงหนึ่งพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมอดดับไป
เสียงกรอดดังขึ้น เงาร่างผ่ายผอมเปล่งเสียงแปลกประหลาดออกมา ใบหน้าที่เดิมก้มหน้าอยู่ค่อยๆ เงยขึ้น เปลวเพลิงสีเขียวสองกลุ่มปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน ทำให้เผยใบหน้าของเขาออกมา
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นใบหน้าโครงกระดูกสีขาวโพลนหัวหนึ่ง แต่เปลวเพลิงสีเขียวทั้งสองดวงกลับเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ที่เบ้าตา ช่างแปลกประหลาดยิ่ง
โครงกระดูกหันหน้าไป สายตาจ้องเขม็งไปยังโคมไฟโบราณที่มอดดับไปด้วยความเย็นชา จมูกดูเหมือนจะแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชาแฝงความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ออกมา ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออกพ่นลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งออกมา
ตราประทับสี่เหลี่ยมสีดำก้อนหนึ่งปรากฏออกมา!
ผิวของมันเรียบลื่นเป็นพิเศษ แต่สลักมังกรเที่ยงแท้สีดำสนิทตัวหนึ่งเอาไว้ วนรัดรอบตราประทับอยู่สองสามรอบ
เสียงร่ายคาถาอันไม่คุ้นเคยดังออกมาจากปากของโครงกระดูก ตราประทับสีดำมีลำแสงผินหนึ่งบินพวยพุ่งออกมา ทันใดนั้นของยักษ์สีดำสนิทที่เหมือนกันพลันเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางหมอกลำแสงแล้วร่วงลงมา
เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดท่ามกลางดวงไฟสลัวๆ แล้ว กลับเป็นร่างสีเขียวมรกตยาวสามสี่จั้งร่างหนึ่ง ส่วนหัวดูเหมือนอสูรประหลาดของวัวยักษ์
อสูรประหลาดตัวนี้นอนนิ่งอยู่บนพื้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะทรวงอกกำลังขยับขึ้นลงเล็กน้อย เกรงว่าคงถูกคนคิดว่าเป็นเพียงซากศพซากหนึ่งเท่านั้น
โครงกระดูกอ้าปากออก เปลวเพลิงสีเขียวขนาดเท่าเมล็ดถั่วกลุ่มหนึ่งลอยออกมา ทันใดนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในร่างของอสูรประหลาดอย่างไร้ร่องรอย
ร่างของอสูรประหลาดสั่นเทา ผิวมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้น จากนั้นพลันค่อยๆ ลืมตาวัวคู่หนึ่งขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะปีนขึ้นมาจากพื้น
ตอนแรกมันดูเหมือนจะกำลังงัวเงีย แต่หลังจากกวาดตาไปรอบด้านแวบหนึ่ง แววตากลับกระจ่างชัดขึ้น สองมือกำหมด เงยหน้าขึ้นร้องคำรามเสียงดังสนั่น
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวเป็นสายๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของอสูรวัว ตัดสลับและพัวพันกันไปมา
และดวงตาที่เปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับของโครงกระดูกพลันเปล่งเสียงแหบแห้งที่ดูคล้ายกับเสียงมนุษย์ออกมา ดูเหมือนว่าจะออกคำสั่งอะไรสักอย่างกับอสูรประหลาด
ชั่วขณะนั้นร่างอสูรประหลาดหัววัวพลันขยับ ประจุไฟฟ้าบนเรือนร่างเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น อสูรตัวนี้พลันอาศัยพลังอัสนีหลีกหนีหายวับไปท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีเขียว
ในห้องลับกลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
เปลวเพลิงสีเขียวในดวงตาของโครงกระดูกเปล่งแสงสว่างวาบ สายตาตกลงบนโคมไฟโบราณที่ดับมอดไปดวงนั้นอีกครั้ง จากนั้นนิ้วของหัวกระดูกสีขาวโพลนพลันชี้ไปกลางอากาศ
เสียง ปัง ที่เบาจนแทบไม่ได้ยินดังขึ้น เปลวเพลิงของโคมไฟโบราณที่ดับมอดไปกลับมาลุกไหม้อีกครั้ง แต่แค่เปลวเพลิงมีขนาดแค่เมล็ดถั่ว อ่อนแอไร้กำลัง ราวกับว่ามอดไปได้ภายในอึดใจเดียว
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เปลวเพลิงสีเขียวในดวงตาของโครงกระดูกก็เปล่งแสงระยิบระยับสองสามครั้ง เอียงศีรษะขบคิด เลื่อนสายตาออกจากโคมไฟโบราณ
แต่ครู่ต่อมามันพลันวาดนิ้วไปกลางอากาศเบื้องหน้า เป็นรูปวงกลมวงหนึ่ง
พริบตาที่วงกลมนี้ปรากฏขึ้น กลางอากาศพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกระจกสีเงินระยิบระยับบานหนึ่ง หมุนคว้างไปมาอยู่ตรงหน้าของโครงกระดูกไม่หยุด
โครงกระดูกเองก็ไม่ได้เคลื่อนไหว อ้าปากออก พ่นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา
ชั่วขณะนั้นผิวกระจกพลันเปล่งแสงสว่างจ้า บนนั้นมีภาพปรากฏขึ้น
ภาพเหล่านั้นบ้างก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก ราวกับอยู่ใกล้แค่คืบก็ไม่ปาน บ้างกลับรางเลือนราวกับถูกอะไรสักอย่างปกคลุมเอาไว้กว่าครึ่ง แต่ทัศนียภาพและสิ่งของที่ปรากฏขึ้นในภาพทุกภาพล้วนแตกต่างกัน บ้างก็มีมนุษย์ บ้างกลับเป็นอสูร แต่ทุกสิ่งล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
ฉับพลันนั้นนิ้วของโครงกระดูกพลันชี้ไปที่กระจก ภาพบนกระจกพลันหยุดชะงัก นิ่งค้างไม่เคลื่อนไหว
ด้านในมีเงาลวงตาของชายหนุ่มที่กำลังเอามือไพล่หลังปรากฏขึ้น ใบหน้าไร้ความรู้สึก สวมชุดคลุมสีเขียว
ไม่ใช่หานลี่แล้วจะเป็นผู้ใดได้!
โครงกระดูกจ้องไปที่ใบหน้าของหานลี่ในกระจกอย่างเย็นชาอยู่พักใหญ่ แล้วถึงได้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
เสียงแกรกพลันดังขึ้น กระจกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากใจกลาง ทันใดนั้นพลันกลายเป็นดวงลำแสงสีเขียวแล้วหายวับไป
เปลวเพลิงสีเขียวในดวงตาของโครงกระดูกลุกไหม้อยู่อีกชั่วครู่ แล้วพลันมอดดับไป จากนั้นพลันก้มหน้าลงต่ำ เงาร่างทั้งร่างไม่ขยับเขยื้อนอีก
……
ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่ร่อนลงมาด้านข้างซากแมลงเม่าประหลาดที่กลายเป็นสีม่วงดำ แล้วมองพิศดูมันอีกครั้ง
อสูรประหลาดตัวนี้มีระดับสูงส่งขนาดนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่อยู่บนร่างของมันจะต้องเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่งแน่นอน ทว่านอกจากแก่นอสูรของอสูรตัวนี้แล้ว สิ่งที่หานลี่สนใจมากที่สุดก็คือเกล็ดบนร่างของแมลงเม่าประหลาดที่สามารถสร้างโล่ผลึกวารีได้ รวมทั้งปีกยักษ์ที่สามารถสร้างใบมีดแหลมคมได้
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาชำแหละซากอสูรตนนี้ หานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ กำไลเก็บของบินออกมา บินวนอยู่กลางท้องฟ้า ชั่วขณะนั้นพลันพ่นม่านลำแสงสีเขียวออกมา
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หานลี่พลันใช้มือหนึ่งกวักเรียกกำไลเก็บของกลับมา หลังจากกวาดสายตามองรอบด้าน พลันขบคิดเล็กน้อย ผิวเปล่งแสงสีเขียว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไปยังขอบฟ้า
ดูจากทิศทางแล้วคาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่ตรงไปยังส่วนลึกของเกาะน้ำแข็งที่แมลงเม่าประหลาดบินหนีไป
ครั้งนี้ไม่ได้บินนานนัก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่พลันลอยอยู่หน้าเหล่าสิ่งปลูกสร้างที่พังทลายไปกว่าครึ่ง
สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มีขนาดประมาณสองสามลี้ บ้านเรือนทั้งหมดเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด คาดไม่ถึงว่าจะสร้างขึ้นจากน้ำเย็นเยียบทั้งหมด
ทว่าระหว่างสิ่งปลูกสร้างน้ำแข็งเหล่านี้ นอกจากคราบโลหิตและเสื้อผ้าที่ฉีกขาด ทุกแห่งล้วนว่างเปล่า ดูเหมือนว่าทุกคนจะถูกแมลงเม่าตัวนั้นสังหารจนตายอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่พลันขมวดคิ้ว ร่อนลงตรงหน้าวิหารที่ดูเหมือนจะใหญ่ที่สุด
แต่เมื่อสองเท้าของเขาร่อนลงพื้น ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี ชักสายตามองไปยังหอที่ดูธรรมดาๆ อีกหอหนึ่ง
“ผู้ใดหลบอยู่ตรงนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้!” ร่างของหานลี่รางเลือนไปเล็กน้อย คนก็มาปรากฏใกล้กับหอคอย ในเวลาเดียวกันปากก็ตะโกนเอ็ด
“ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย พวกเราคือองครักษ์ที่ใต้เท้าฆราวาสฉลามสีเงินเรียกมา!” เสียงสั่นเทาของหญิงสาวดังออกมาจากหอคอย
จากนั้นประตูใหญ่ของหอคอยที่ปิดสนิทพลันเปิดออก คาดไม่ถึงว่าจะมีบุรุษและหญิงสาววัยเยาว์กลุ่มหนึ่งเดินออกมา คนเหล่านี้ไม่ว่าบุรุษหรือหญิงสาวล้วนหน้าตาสวยสดงดงามเป็นพิเศษ แต่ส่วนใหญ่ล้วนอายุสิบหกสิบเจ็ดปี ผู้นำคือหญิงสาวสวมชุดขาวอายุยี่สิบปีเศษ เมื่อออกมาก็พาบุรุษและหญิงสาวยี่สิบสามสิบคนออกมาคารวะหานลี่
พวกเขาล้วนเผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา!
สายตาของหานลี่กวาดไปยังเรือนร่างของบุรุษและสตรีเหล่านั้น ใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่านไป
คนเหล่านี้มองปราดเดียวก็ดูเหมือนชาวเผ่ามนุษย์ทั่วไป ไม่มีลมปราณบนเรือนร่างเลยสักนิด แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจะพบความแตกต่างในนั้น ผิวของบุรุษและสตรีเหล่านี้ล้วนแวววาวเป็นพิเศษ ในเวลาเดียวกันบนเรือนร่างยังแผ่ไอเย็นเยียบออกมา ทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าบางเบา ราวกับไม่กลัวหิมะและน้ำแข็งบนเกาะอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่พลันขมวดคิ้ว ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากอะไรนั้น ฉับพลันนั้นพลันหันหน้าไปพร้อมกับหน้าที่เปลี่ยนสี
ผลคือหลังจากผ่านไปชั่วครู่ ท้องฟ้าพลันมีลำแสงวิญญาณสว่างวาบ จากนั้นสายรุ้งสองสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งเข้ามา ความเร็วหาที่เปรียบ หลังจากกะพริบสองสามคราก็มาอยู่กลางท้องฟ้าในบริเวณนั้น
หลังจากหม่นแสงลง เผยเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นสองสายออกมา นั่นก็คือชิงเสี่ยวและหญิงสาวกระโปรงดำสองคนนั้น
เมื่อหญิงสาวทั้งสองปรากฏตัว ก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจผสมปนเปกัน
“ท่านอาวุโสหาน ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่ หรือว่าแมลงเม่ายักษ์ตัวนั้นถูกท่าน…” ชิงเสี่ยวเอ่ยถามด้วยความสงสัย ใบหน้ามีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
หญิงสาวกระโปรงดำที่อยู่ด้านข้าง พลางกั้นลมหายใจตั้งใจฟัง
“อืม สัตว์ประหลาดตัวนั้นถูกสังหารแล้ว”
หานลี่หัวเราะน้อยๆ แล้วสะบัดข้อมือ
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากเสียง ปัง ดังขึ้น ซากของแมลงเม่าประหลาดพลันปรากฏบนพื้น