“สมุนไพรเหล่านี้ แบ่งกันตามที่ตกลงไว้ก็แล้วกัน” ต้วนเทียนเริ่นมองกล่องหยกกลางอากาศ พลางเอ่ยอย่างไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ได้อีก
“ช้าก่อนสหาย! แม้ว่าพวกเราจะตกลงกันว่าจะแบ่งสมุนไพรอย่างยุติธรรม แต่ศิลาวิญญาณและของเหลวผลึกจันทราที่ข้าจ่ายไปตอนหลัง ข้าต้องได้สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้มากกว่าหนึ่งส่วน” แม้ว่าไฉ่หลิวอิงจะตื่นเต้นดีใจเช่นกัน แต่ยามนี้กลับเอ่ยพร้อมกับสั่นศีรษะ
“มากกว่าหนึ่งส่วน? เซียนคิดจะกลับคำหรือ? ศิลาวิญญาณ ข้าและสหายต้วนจะชดใช้ให้ ส่วนของเหลวผลึกจันทรา แม้ว่าจะเป็นยาลูกกลอนผสานอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์ แต่จะเทียบกับสมุนไพรวิญญาณแดนเซียนหนึ่งส่วนได้อย่างไร มากสุดก็ให้สมุนไพรเจ้าเพิ่มได้แค่ห้าหกต้นเท่านั้น” เชียนจีจื่อมีสีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยอย่างเย็นชา
“ได้ ห้าต้นก็ห้าต้น” คาดไม่ถึงว่าไฉ่หลิวอิงจะเห็นด้วย ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม
เชียนจีจื่ออดที่จะตกตะลึงไม่ได้ แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดขึ้นมาได้ ใบหน้ากลับเผยสีหน้ากลัดกลุ้มออกมา แต่หลังจากแค่นเสียงหึออกมา ก็ไม่ได้กลับคำแก้คำพูดอันใด
ต้วนเทียนเริ่นที่อยู่ด้านข้างเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เอาสองมือกอดอกพลางเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
ทั้งสามคนเริ่มแบ่งสมุนไพรวิญญาณอายุสองสามร้อยปีออกมาจากกล่องหยก หลังจากถกเรื่องมูลค่าของมันแล้ว สุดท้ายก็แบ่งสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นจนเกลี้ยง
“หึๆ มีสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ ผู้แซ่ต้วนติดอยู่ที่จุดคอขวดมาหลายปี คิดดูแล้วคงจะทะลวงได้ไม่มีปัญหา” ต้วนเทียนเริ่นเก็บกล่องหยกของตนทั้งหมดเข้าไป แล้วเอ่ยอย่างพึงพอใจ
“ทว่าในตัวเจ้าเด็กนั้น จะต้องมีสมุนไพรวิญญาณส่วนหนึ่งที่ไม่ได้นำออกมาแน่ สหายทั้งสอง ไม่สนใจหรือ?” เชียนจีจื่อแววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยขึ้น
ต้วนเทียนเริ่นและไฉ่หลิวอิงย่อมเข้าใจเจตนาของเชียนจีจื่อ แต่หลังจากที่ทั้งสองคนมองสบตากันแวบหนึ่ง กลับเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
“หากแค่เขาคนเดียว พวกเราสามคนร่วมมือกันย่อมไม่มีปัญหา แต่อย่าลืมคำสั่งของท่านอาวุโสเวิง ท่านให้พวกเราเปิดผนึกเขตอาคมส่งตัวให้เจ้าเด็กนั้นใช้ หากมองจากจุดนี้เขาคงมีความสัมพันธ์กับท่านอาวุโสเวิง และยิ่งไปกว่านั้นกฎของสวนสมุนไพร ก็ได้ยินศิษย์กล่าวไว้แล้ว นับดูแล้วคงเอาสมุนไพรออกมาเกือบหมดแล้ว ต่อให้เหลือเอาไว้ ก็คงไม่มากนัก หากจะยั่วโทสะของท่านอาวุโสเวิงเพียงเพราะของที่เหลืออยู่น้อยนิดเพียงนี้ ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์ของเจ้าเด็กนี้ก็ไม่น้อยเลย และยังรู้จักวางตัวเพียงนี้ ไม่จำเป็นต้องทำอันใดให้ยุ่งยากหรอก” ต้วนเทียนเริ่นมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส แล้วถึงได้สั่นศีรษะขณะเอ่ย
“น้องหญิงรู้สึกว่าพี่ต้วนพูดมีเหตุผล แม้ว่าพวกเราจะอยู่ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์แต่ก็ไม่มีทางล่วงเกินท่านอาวุโสเวิงแน่” ไฉ่หลิวอิงเองก็เอ่ยอย่างเห็นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“สหายทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ก็คิดว่าที่ตาเฒ่าพูดก่อนหน้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน ก็จริงข้าน้อยละโมบเกินไปหน่อย” เชียนจีจื่อหัวเราะฮ่าๆ แล้วข้ามเรื่องนี้ไป
เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่น แน่นอนว่าเขาย่อมล้มเลิกความคิดนี้
……
ยามนี้หานลี่อยู่บนถนนทางลงภูเขาแล้ว แขนเสื้อพลิ้วไสว สีหน้าราบเรียบ
ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ว่าในใจเขากลับกำลังขบคิดวนเวียนไปมา ขบคิดถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบจากการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่ง
ดูจากสีหน้า สมุนไพรวิญญาณจากแดนเซียนจำนวนมากถูกอีกฝ่ายใช้วัตถุดิบและยาลูกกลอนแลกไป แน่นอนว่าย่อมเสียเปรียบเป็นอย่างมาก แต่ความจริงแล้ว เขารู้ดีว่าไม่ได้เสียเปรียบอันใด แม้กระทั่งได้เปรียบเป็นอย่างมาก
สาเหตุที่กล่าวเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นเพราะสมุนไพรวิญญาณที่เขาหยิบออกมาตอนแรก เขาจงใจเหลือเอาไว้ใช้หนึ่งต้น ขอแค่เขากลับไปใช้เวลามากน้อย ก็สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตจำนวนมากโดยมีขวดเล็กลึกลับคอยช่วยเหลือได้แล้ว
หากเป็นเช่นนั้น ความเสียหายของเขาก็แค่ต้องใช้เวลาในการดึงกลับมาเท่านั้น
ส่วนผลตาข่ายแดงและหญ้ากร่อนพิษ เป็นเพราะใช้วิธีการกระตุ้นการเจริญเติบโตอาจจะไม่ได้ผล เขาจึงเอาออกมาแค่สองสามต้น และเหลือสมุนไพรชนิดเดียวกันเอาไว้จำนวนมาก
ส่วนสมุนไพรวิญญาณและดอกบัวสีเงินลึกลับเจ็ดแปดชนิดที่มีอยู่ต้นเดียว ย่อมไม่ได้นำออกมา
เช่นนั้นหานลี่ก็เท่ากับไม่ได้สูญเสียสมุนไพรวิญญาณใดๆ แต่ได้ประโยชน์จากเชียนจีจื่อและพวกมากมายแทน
แน่นอนว่าเขาย่อมอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากลงจากยอดเขาลูกนั้น หานลี่ก็ไปยังยอดเขาอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน ตามหาสถานที่ซึ่งดูเหมือนโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อพักชั่วคราว
สามวันต่อมาเขาไม่ได้รออยู่ที่พัก กลับวิ่งไปที่ร้านค้าวัตถุดิบต่างๆ ในเมืองมังกร และเริ่มซื้อวัตถุดิบจำนวนมาก
วัตถุดิบเหล่านี้กลับไม่ได้ล้ำค่ามาแต่ล้วนเป็นสิ่งที่มีแค่ในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี
ในเมื่อเขาคิดจะกลับไปยังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน แน่นอนว่าย่อมต้องซื้อไปมากหน่อย เผื่อวันข้างหน้าจำเป็นต้องใช้
ส่วนเช้าตรู่วันที่สี่หานลี่ก็ออกจากที่พัก บินออกไปจากเมืองมังกร
ยอดเขามังกรวารีสีเขียวเป็นยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองมังกรไปทางทิศตะวันตกร้อยกว่าลี้
ท่ามกลางชีพจรภูเขายักษ์ ยอดเขาแห่งนี้ไม่ใหญ่และไม่เล็ก ไม่นับว่าสะดุดตาอันใด หากไม่ใช่เพราะบนภูเขามีต้นไม้สีเขียวขจีอยู่เต็มไปหมด และยิ่งไปกว่านั้นยอดเขายังมีรูปทรงประหลาด ราวกับมังกรวารีกำลังบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เกรงว่าก็คงมีไม่กี่คนที่สังเกตเห็นยอดเขาแห่งนี้
หานลี่ที่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวมาถึงเหนือยอดเขา ลำแสงก็หม่นแสงลงพลางเผยร่างออกมา และกวาดตามองไปรอบด้านสองแวบ
จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขาในยามนี้ แน่นอนว่าย่อมกวาดไปทั่วทั้งหุบเขารอบหนึ่งได้ในพริบตา
บนภูเขานั้นว่างเปล่า เซี่ยงจื่อหลี่ที่นัดกันไว้ยังมาไม่ถึง
แววตาของหานลี่เปล่งประกายพลางพิจารณาไปกลางอากาศ ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นธงอาคมสิบกว่าสายพลันบินออกมา หลังจากพุ่งลงไปที่บนยอดเขา ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเขาถึงได้ร่อนลงมา ปรากฏตัวบนยอดเขา
จากนั้นก็หาก้อนหินสะอาดๆ มาก้อนหนึ่ง นั่งสมาธิหลับตาทั้งสองข้างลง
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านไปสองสามชั่วยาม
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นพลันลืมตาขึ้น มองไปทางเมืองมังกร
เห็นเพียงไกลออกไปมีลำแสงวิญญาณสว่างวาบที่ขอบฟ้า สายรุ้งสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็มาอยู่เหนือยอดเขา หมุนวนรอบหนึ่งแล้วร่อนลงมา
“ศิษย์น้องหาน ศิษย์พี่มีธุระจึงมาช้าเสียหน่อย ทำให้ศิษย์น้องต้องรอนานแล้ว” หลังจากลำแสงหม่นแสงลง ชายชราสวมชุดคลุมสีเหลืองก็ปรากฏตัวใกล้ๆ กับหานลี่ แล้วประสานมือคารวะหานลี่ด้วยท่าทีถ่อมตน
นั่นก็คือเซี่ยงจื่อหลี่
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ยามนี้ศิษย์พี่ก็พูดมาตรงๆ เถิด” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ พลางเอ่ยอย่างราบเรียบเช่นกัน
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ทว่าก่อนหน้านั้นต้องให้ศิษย์น้องดูของสิ่งนี้ก่อน” เซี่ยงจื่อหลี่ยื่นมือออกมาจากแขนเสื้อกว้างๆ ถือกล่องหยกเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับเอาไว้ แล้วส่งให้ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่จะมอบให้ข้าหรือ? สิ่งใด คาดไม่ถึงว่าจะลึกลับเพียงนี้!” หานลี่มองกล่องหยกแวบหนึ่ง จิตสัมผัสสัมผัสกับกล่องหยก กลับถูกดีดออกมา จึงเอ่ยถามด้วยหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
ในกล่องหยกดูเหมือนจะถูกคนลงอาคมประหลาดเอาไว้!
“หึๆ ศิษย์น้องหานแค่เปิดออก ก็รู้แล้ว” เซี่ยงจื่อหลี่ยิ้มขณะเอ่ย ใบหน้าเผยสีหน้าลึกลับออกมา
หานลี่ได้ฟังก็พยักหน้า
ยกมือขึ้นรับกล่องหยกสีเขียว หลังจากชั่งน้ำหนักในมือเล็กน้อยก็รู้สึกว่าเบาหวิวราวกับไม่มีสิ่งใดอยู่
หลังจากมองไปทางเซี่ยงจื่อหลี่แวบหนึ่งแววตาของหานลี่ก็ฉายแววประหลาดใจ ฉับพลันนั้นก็โยนกล่องหยกขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ พ่นกระบี่ลำแสงสีเขียวความยาวประมาณสองสามจั้งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมาที่กล่องอย่างแรง
“เอ๋”
เซี่ยงจื่อหลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่แน่นอนว่าย่อมไม่ทันได้ป้องกันอันใด
ได้ยินเพียงเสียง “ฉับ” ดังขึ้น กล่องหยกถูกกระบี่ลำแสงสีเขียวสับออก แล้วมีสิ่งหนึ่งร่อนลงมา
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้าง แน่นอนว่าย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นยันต์สีทองเรืองรองแผ่นหนึ่ง ผิวของมันมีลวดลายสีเงินลึกลับอยู่เต็มไปหมด ในเวลาเดียวกันอักขระยันต์สีทองเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นรางๆ รอบยันต์แผ่นนั้น เผยความลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา
“ยันต์วิญญาณยักษ์แผ่นนี้เป็นสิ่งที่ตาเฒ่าได้มาด้วยความบังเอิญในแดนมนุษย์ แต่ต้องอยู่ระดับเทพแปลงขึ้นไปถึงจะใช้ได้ ยามที่ตาเฒ่าข้ามผ่านห้วงเวลาก็มียันต์แผ่นนี้คอยปกป้องถึงได้มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ทว่ายามนี้ข้าตกมาอยู่ในระดับหลอมรวม เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ขอมอบให้ศิษย์น้องหานเอาไปใช้ก็แล้วกัน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนข้าหวังว่าเมื่อศิษย์น้องหานกลับไปที่เผ่ามนุษย์แล้วจะช่วยเหลือข้าเรื่องหนึ่ง ทว่าวางใจนี่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ศิษย์น้องหานทำได้อย่างแน่นอน!” เซี่ยงจื่อหลี่ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ พูดเรื่องที่หานลี่ลงมือฟันกล่องหยกไม่หยุด กลับอธิบายอย่างง่ายๆ ด้วยน้ำเสียงจริงใจ
หานลี่ได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้วไม่ได้เอ่ยปากอันใด กลับใช้มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพลันคลี่ตัวครอบคลุมอากาศเอาไว้
เสียง “สวบ” ดังขึ้น!
ยันต์สีทองแผ่นนั้นพุ่งลงมาถูกดูดเข้ามาในมือ
สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจาก “ยันต์วิญญาณยักษ์” หานลี่พลันใจเต้น เสียงแหวกอากาศ “ฟิ้ว” ดังขึ้น จากนั้นพลันพุ่งออกจากหว่างคิ้ว เส้นไหมผลึกสีแวววาวสองสามเส้นเปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปในยันต์วิเศษ
“ผลึกหลอมจิตสัมผัส”
เซี่ยงจื่อหลี่เห็นฉากนี้ก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้งอีกครั้ง แววตาฉายแววตกตะลึง
แต่ครู่ต่อมาความแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น!
“ยันต์วิญญาณยักษ์” ที่แต่เดิมเต็มไปด้วยพลังวิญญาณเปล่งเสียงออกมาเบาๆ เปลี่ยนจากสีทองกลายเป็นสีดำสนิท ในเวลาเดียวกันไอสีเทาก็ปรากฏขึ้น เส้นไหมบางๆ สีเทาขาวพุ่งออกมาจากยันต์วิเศษ
ความเร็วของมันแค่กะพริบวาบก็มาอยู่ตรงหน้าหานลี่
แต่หานลี่ดูเหมือนจะคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว ใบหน้าไร้ซึ่งแววตื่นตระหนก กลับเปล่งแสงสว่างวาบ ม่านลำแสงสีทองหนาๆ ชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนเรือนร่างราวกับไร้เทียมทานอย่างไรอย่างนั้น
ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น!
จากพลังยุทธ์ของหานลี่ในเวลานี้ เคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้กลายเป็นลำแสงวิญญาณห่อหุ้มร่าง นอกจากสมบัติระดับสุดยอดแล้วสมบัติอาคมธรรมดาก็ไม่อาจทำอันใดได้
แต่สถานการณ์ที่แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น!
คาดไม่ถึงว่าเส้นไหมลำแสงสีเทาขาวจะทำเหมือนมองไม่เห็นลำแสงสีทองมันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ทะลวงผ่านลำแสงสีทองจมหายเข้าไปในร่าง
หานลี่รู้สึกเพียงว่าความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาตั้งแต่ที่เส้นไหมลำแสงสีเทาขาวจมหายเข้าไป แค่ชั่วอึดใจแขนขาทั้งสี่และร่างกายก็เป็นเหน็บชาไม่อาจขยับกายได้เลยสักกระผีกริ้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน เซี่ยงจื่อหลี่ที่ยืนอยู่ห่างออกไปสองสามจั้งเห็นเส้นไหมลำแสงสีเทาขาวจมหายเข้าไปในร่างของหานลี่ ใบหน้าก็เผยแววโหดเหี้ยมออกมา สองมือพลันร่ายอาคมร่างกายระเบิดออก
เศษชิ้นเนื้อปลิวว่อน เงาโลหิตขมุกขมัวสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่เดิม
จากนั้นลำแสงสีโลหิตพลันเปล่งแสงเจิดจ้า เงาโลหิตกลายเป็นสายรุ้งโลหิตผสานร่างกันแล้วกระโจนมา
เมื่อเข้าประชิดหานลี่กลิ่นอายโลหิตก็โชยเข้ามา