ใต้ตีนเขามีลำแสงสีขาวสว่างวาบที่ประตูใหญ่ของเรือนไม้ ตั้งแต่ที่ฮูหยินและหญิงสาวจากไปแล้ว ประตูเรือนก็ไม่เคยเปิดขึ้นอีกเลยต่อเนื่องสิบกว่าวัน
เวลานี้บนเกาะเมฆาเพลิงมีการเตรียมป้องกันแน่นหนาขึ้นสองสามเท่า
ไม่เพียงมนุษย์อสรพิษเผ่าเพลิงอาทิตย์บนเกาะจะไม่ออกจากเกาะไปล่าสัตว์เก็บสมุนไพรกันอีก ชาวเผ่าแสนกว่าคนยิ่งกรูกันเข้ามาอยู่ในเมืองดิน เขตอาคมขนาดใหญ่สองสามแห่งในเมืองก็ถูกเปิดใช้อย่างไม่เสียดายศิลาวิญญาณ
กำแพงดินที่แต่เดิมดูเหมือนจะรับการโจมตีไม่ไหว ชั่วขณะนั้นพลันถูกม่านลำแสงสีแดงเหลืองเขียวสามสีห่อหุ้มเอาไว้ข้างใน
ในเมืองมีมนุษย์อสรพิษหัวกะทิมากขึ้นถึงสองสามพันคน ทุกคนล้วนมีท่าทีพร้อมพบ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเข้าเวรรอบตัวเมือง ส่วนใจกลางเมืองนั้นปุโรหิตเผ่าเพลิงตะวันทั้งหมดพลันมารวมตัวกัน นั่งสมาธิสะสมพลังอยู่ตรงในวิหารโดยมีฮูหยินและหญิงสาวเป็นผู้นำ
วิหารแห่งนี้ถูกม่านลำแสงห้าสีชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้เช่นกัน ดูคล้ายจะมีความลึกลับอีกอย่าง ส่วนแหล่งกำเนิดพลังที่พ่นลำแสงห้าสีออกมานั้น คือยุทธภัณฑ์รูปทรงกรวยกลมที่อยู่ใจกลางจัตุรัส
ส่วนมนุษย์อสรพิษธรรมดาในเมืองดินนั้นล้วนได้รับคำสั่งจากชนชั้นสูงในเผ่าอยู่ก่อนแล้ว ล้วนไม่ค่อยออกจากบ้าน ส่วนใหญ่จะพักอยู่ในบ้านของตนเองไม่ยอมออกไปไหน
ภายใต้การเตรียมป้องกันเช่นนี้ จึงทำให้เมืองดินมีกลิ่นอายหดหู่ที่น่าตกตะลึงเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว
วันนี้ฮูหยิน หญิงสาวและกลุ่มปุโรหิตที่อยู่ในวิหารพลันนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังอยู่ในวิหาร ฉับพลันนั้นเสียงราบเรียบพลันดังทะลุเขตอาคมเข้ามา ดังก้องไปมาอยู่ภายในวิหาร
“สหายหั่ว ข้าน้อยหลอมยาลูกกลอนสำเร็จและออกมาจากการกักตนแล้ว หวังว่าจะเปิดเขตอาคมให้ผู้แซ่หานเข้าไป”
คำพูดนี้ นั่นก็คือเสียงของหานลี่!
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ในบรรดาปุโรหิตชุดขาวที่เหลือพลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น ฮูหยินกลับเผยสีหน้าปีติยินดีออกมา
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้นางไม่กังวลเลยว่าหานลี่จะละเมิดสัญญาไม่มาหรือไม่ แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องหลอกลวง แต่วิกฤตการณ์ถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์ประชิดเข้ามาแล้ว จึงไม่มีตัวเลือกที่สอง มอบยาวิเศษให้อีกฝ่าย ก็อาจจะช่วยได้อีกแรงหนึ่ง หากไม่ให้ละก็ แม้แต่โอกาสสุดท้ายก็ยังไม่มี
เห็นได้ชัดว่านางตัดสินใจถูกแล้ว หานลี่ไม่ใช่พวกกลับคำดังคาด
ภายใต้อารามดีใจของฮูหยิน มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีจานหยกเปล่งแสงสีแดงแวววาวปรากฏขึ้น มือหนึ่งชี้ไปที่จานเล็กน้อย
ม่านลำแสงห้าสีที่คุ้มครองวิหารอยู่เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นพลันเกิดรอยแยกขึ้นสายหนึ่ง แต่ชั่วอึดใจม่านลำแสงก็เปล่งแสงสว่างวาบผสานกันดังเดิม
และเวลาเพียงชั่วครู่ประตูวิหารพลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ เงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงนั้น และเดินมาทางวิหารด้วยท่าทีไม่รีบร้อน
เงาร่างคนสวมชุดคลุมสีเขียว หน้าตาธรรมดาสามัญ แต่ดวงตาสุกสกาวทั้งสองพลันกลอกไปมา นั่นก็คือหานลี่
สีหน้าของเขาเมื่อเทียบกับสิบวันก่อนแล้ว ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าสรรพคุณของยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดไม่ธรรมดาดังคาด
“ขอบพระคุณท่านที่เข้าช่วยเหลือ ท่านอาวุโสฟื้นฟูพลังยุทธ์ทั้งหมดแล้ว!” ฮูหยินเป็นฝ่ายหยัดกายขึ้นต้อนรับ และเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
แม้นว่าหญิงสาวนามว่าจูเอ๋อร์จะรู้สึกไม่ยินยอมนัก ก็ทำได้เพียงหยักริมฝีปากขึ้นยืนขึ้นเช่นกัน
“แม้นว่ายาลูกกลอนเทวะตะวันเดือนจะไม่ธรรมดา แต่ข้าได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจริงๆ แค่ฟื้นฟูกลับมาได้เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือยาไม่อาจรักษาได้ ทว่าหากศัตรูของเผ่าเจ้ามิได้แข็งแกร่งเกินไป ข้าน้อยก็พอออกแรงได้” หานลี่เอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะน้อยๆ
ฮูหยินได้ยินส่วนแรกว่าหานลี่ฟื้นฟูพลังยุทธ์กลับคืนมาทั้งหมดไม่ได้ พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่เมื่อได้ฟังส่วนหลังว่าหานลี่มั่นอกมั่นใจในตนเองนัก พลันรู้สึกดีใจขึ้นอีกครา
ดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าที่คาดเอาไว้ มิเช่นนั้นจะกล้าพูดจาวางก้ามเช่นนี้ได้อย่างไร
ปุโรหิตในเผ่าเพลิงอาทิตย์ทั้งสองฝั่งของวิหารจำนวนไม่น้อยเคยพบหานลี่มาครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือเพิ่งเคยพบ ‘ท่านหาน’ เป็นครั้งแรก
การมาของหานลี่แน่นอนว่าดึงดูดให้พวกเขาซุบซิบนินทากัน
หานลี่ไม่ได้สนใจสายตาทั้งตื่นเต้นยินดีและฉงนสงสัยต่างๆ ทั้งสองฝั่ง
เขาถูกฮูหยินเชิญมานั่งด้านข้างตน หลังจากเอ่ยอย่างมีมารยาทสองสามประโยคแล้ว ก็หลับตาไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
หลังจากที่สายตาทะมึนทึบของฮูหยินกวาดไปทั้งสองฝั่งแล้ว มนุษย์อสรพิษที่กำลังซุบซิบอยู่เหล่านั้นก็ทยอยกันหุบปากฉับด้วยอารามตกใจในทันที
ทั้งวิหารจมเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
แต่ในครานั้นหานลี่กลับสัมผัสได้ว่าสายตาคู่หนึ่งยังคงจับจ้องตนเองอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นพลันเลิกคิ้วขึ้นลืมตาทั้งสองข้าง ประสานสายตากับดวงตาดำขลับคู่นั้น
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไป๋จูเอ๋อร์ที่นั่งอยู่อีกด้านของฮูหยิน กำลังแอบมองมาด้วยความระมัดระวัง
เมื่อเห็นหานลี่มองมา ชั่วขณะนั้นสายตาของหญิงสาวพลันฉายแววหวาดกลัวขึ้นสองสามส่วน ทันใดนั้นพลันถอนสายตาออกไป
ดูแล้วคราที่นำยาลูกกลอนมาส่งในครั้งแรก ฉากที่วิญญาณครวญเกือบจะดูดจิตสัมผัสนางเข้าไป จะทำให้หญิงสาวเสียขวัญไม่น้อย
หานลี่หยักมุมปากขึ้น ใบหน้าฉายแววขบขันพลันหลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง จากนั้นพลันไตร่ตรองทุกอย่างอยู่เงียบๆ
ยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดเม็ดนั้นถูกเขาใช้วิหคเพลิงกลืนวิญญาณดูดซับพลังเพลิงในยาไปจนเกลี้ยง แล้วถูกเขากลืนลงไปหลอมในร่างได้อย่างง่ายดาย
ฮูหยินไม่ได้พูดถึงสรรพคุณของยาเม็ดนี้เกินไปนัก แม้นว่าจะไม่ได้ทำให้พลังยุทธ์ของเขาฟื้นฟูกลับคืนมาในทันที แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยาลูกกลอนในตัวของเขาเทียบเทียมได้ ไม่ว่าโลหิตบริสุทธิ์หรือจิตสัมผัสที่สูญเสียไป คาดไม่ถึงว่าจะฟื้นฟูกลับมากว่าครึ่งอย่างน่าเหลือเชื่อได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนการฟื้นฟูลมปราณนั้น แม้ว่าจะไม่มียาลูกกลอนคอยช่วยเสริม เวลาที่ผ่านมาก็เพียงพอจะฟื้นฟูจนถึงที่สุดได้
ในเมื่อยาลูกกลอนของอีกฝ่ายมีผลอัศจรรย์ขนาดนี้ แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่มีทางละเมิดสัญญาไม่มาได้ เขาพัฒนาระดับขึ้นมาอยู่ระดับหลอมสุญตาแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ก็ก้าวหน้า แม้ว่าจะประสบกับระดับผสานอินทรีย์ ก็ปกป้องตนเองได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงไม่หวาดกลัวศัตรูของเผ่าเพลิงอาทิตย์
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ คราที่หานลี่มาถึงที่นี่ได้แค่ครึ่งวัน ในที่สุดศัตรูก็ปรากฏตัวขึ้น
เสียง “ตึงๆ” ดังสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากทั้งสี่ทิศแปดด้านของเมืองหิน ราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์จำนวนมากกำลังวิ่งตะบึงตรงเข้ามาที่เมืองดิน
ปุโรหิตเผ่าเพลิงอาทิตย์ที่แต่เดิมนั่งสมาธิอยู่ในวิหาร แทบจะหลุดขึ้นยืนพร้อมกันทันที กว่าครึ่งล้วนเผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
แม้นว่าฮูหยินจะไม่ได้เปิดเผยข่าวของเผ่าตาข่ายทมิฬให้รู้ แต่ศัตรูที่บุกเข้ามาในครั้งนี้แข็งแกร่งขนาดนี้ พวกเขาจึงพอเดาได้สองสามส่วน
แต่ฮูหยินกลับเผยสีหน้าเยือกเย็น แม้นจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้นดิน ก็แค่ขมวดคิ้วมุ่นเท่านั้น
“ลนลานอะไรกัน! เผ่าเราวางแผนป้องกันเอาไว้ดีแล้ว มีเขตอาคมป้องกันสามชั้น แม้นว่าศัตรูจะแข็งแกร่ง ก็เป็นการยากที่จะเข้ามาในเมืองได้ ไปดูก่อนว่าศัตรูคือผู้ใด มามากเท่าไหร่แล้วค่อยว่ากัน!” ฮูหยินเผยท่าทีการเป็นผู้นำเผ่าออกมาแล้ว แล้วออกคำสั่งด้วยเสียงอันดัง
หานลี่พลันเลิกคิ้ว เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น แต่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก
เขาเคยผ่านศึกใหญ่เช่นนี้มาแล้ว เรื่องตรงหน้าจึงไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนสีหน้าได้
และในครานั้นฮูหยินแค่สะบัดแขนเสื้อ ฉับพลันนั้นในมือพลันมีแผ่นป้ายสีแดงปรากฏขึ้น โบกไปทางใจกลางของวิหารเบาๆ
ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายพลันเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ลำแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปใต้พื้นดินของวิหารอย่างไร้ร่องรอย
เสียงอึกทึกดังขึ้น บนพื้นดินมีลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีเขตอาคมสีแดงสดปรากฏออกมา หมุนวนอยู่ตรงใจกลางไปมา
หลังจากที่ฮูหยินแกว่งแผ่นป้ายในมือด้วยความรวดเร็วแล้ว เปลวเพลิงก็ผนึกรวมกันที่ใจกลาง คาดไม่ถึงว่าจะมีลูกบอลผลึกสีแดงเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งปรากฏขึ้น
ผิวของลูกบอลผลึกนี้โปร่งใส หมุนคว้างไปมาอยู่ในเปลวเพลิง
มนุษย์อสรพิษสวมชุดสีขาวทั้งแปดคนเดินออกมาจากทั้งสองฝั่ง นั่งสมาธิลงอีกครั้งตรงขอบของเขตอาคม จากนั้นพลันอ้าปากบริกรรมคาถา อาคมสายแล้วสายเล่าโจมตีไปยังลูกบอลผลึก
ชั่วขณะนั้นเพลิงลำแสงตรงใจกลางเขตอาคมพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นอสรพิษเพลิงตัวบางๆ ขนาดเท่านิ้วมือตัวแล้วตัวเล่า ทยอยกันกระโจนเข้าไปในผลึกลูกบอล
ฉากที่ทำให้ผู้คนตะลึงงันพลันปรากฏขึ้น!
เห็นเพียงผลึกลูกบอลที่แต่เดิมเปล่งแสงสีแดงระยิบระยับพลันมีแสงกะพริบวาบ จากนั้นในลูกบอลเพลิงพลันมีภาพเสมือนจริงปรากฏขึ้น
ทัศนียภาพในภาพวาดเหล่านี้ช่างคุ้นตานัก สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจุดต่างๆ ของเมืองดินโผล่ขึ้นมา
มนุษย์อสรพิษติดอาวุธกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าในรูปภาพทยอยกันกรูไปที่กำแพงเมือง กลุ่มที่ขี่อสูรกิ้งก่ามารวมตัวกันตามประตูเมืองต่างๆ
และตรงกลางของกองกำลังเหล่านี้ มนุษย์อสรพิษที่ตำแหน่งสูงหน่อยพลันออกคำสั่งไม่หยุด ใบหน้าของทุกคนล้วนเผยจิตสังหารออกมา
ชั่วพริบตามนุษย์อสรพิษสองสามพันคนก็มารวมตัวกันเสร็จสิ้น
เมื่อมองจนถึงตรงนี้หานลี่พลันฉายแววประหลาดใจขึ้นมาในแววตา
ประสิทธิภาพของเขตอาคมและผลึกลูกบอลนี้คล้ายคลึงกับไข่มุกหมื่นมังกรของเขา เผ่าเพลิงอาทิตย์เล็กๆ เผ่าหนึ่ง มีของลึกลับระดับนี้ได้ ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง
“เปลี่ยนสถานการณ์ไปที่นอกกำแพงเมือง!” ฮูหยินมีสีหน้าเคร่งขรึม ปากพลันออกคำสั่ง
เสียงพื้นดินสั่นสะเทือนดังขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่ายักษ์เหล่านั้นกำลังอยู่ไม่ไกลจากเมืองดินแล้ว
มนุษย์อสรพิษชุดขาวที่รับหน้าที่กระตุ้นผลึกลูกบอลทั้งแปดนั้น ทยอยกันร่ายคาถา ชั่วขณะนั้นรูปภาพในผลึกลูกบอลพลันรางเลือน ถูกหมอกสีแดงปกคลุม ชั่วครู่ภาพวาดใหม่พลันปรากฏขึ้น
ทิวทัศน์ด้านนอกกำแพงเมืองทั้งสี่ด้านปรากฏขึ้น
เวลานี้เป็นช่วงเวลาพลบค่ำ สีท้องฟ้าจึงเปลี่ยนเป็นสีย่ำค่ำแล้ว เมื่อมองจากไกลๆ ทัศนียภาพบนผลึกลูกบอลจึงดูมืดทะมึน แต่ภายใต้การพิศมองอย่างละเอียดของมนุษย์อสรพิษทั้งหมด ครานั้นกลับไม่อาจพบอะไรได้
แต่มนุษย์อสรพิษในวิหารกลับอดที่จะกั้นลมหายใจเอาไว้ไม่ได้
มีเพียงหานลี่ที่มองทุกอย่างอย่างเย็นชา สีหน้าไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้า
ทุกคนรออยู่นานเท่าใดก็สุดจะรู้ได้ ฉับพลันนั้นพื้นดินที่สั่นสะเทือนพลันหยุดชะงัก เสียงอึกทึกหายวับไปอย่างแปลกพิกล
ไม่นานนักมนุษย์อสรพิษสวมชุดสีขาวกว่าครึ่งพลันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งต่างหน้าเปลี่ยนสี
เห็นเพียงท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดสลัว สัตว์ประหลาดสูงประมาณเจ็ดแปดจั้ง ยาวสิบจั้งเศษ เรือนกายมีเกราะเกล็ดสีดำปกคลุมราวกับวโคยักษ์พลันทะลวงออกมาทีละตัวๆ
ส่วนบนหลังของสัตว์ประหลาดเหล่านั้น โครงยักษ์ขนาดเท่าบ้านอยู่โครงหนึ่ง ด้านในมีเงาร่างมนุษย์สูงใหญ่ไม่เท่ากันยืนเรียงรายอยู่อย่างหนาแน่น ราวกับยืนออกันอยู่เต็มหลังโคยักษ์ทุกตัวอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนรูปร่างของโคยักษ์เหล่านั้นแม้ว่าจะใหญ่โต แต่เวลานี้กลับสาวเท้าอย่างเชื่องช้า คาดไม่ถึงว่าทุกตัวดูราวกับวิญญาณไม่ส่งเสียงใดๆ เลยสักนิด ค่อยๆ สืบฝีเท้าเข้ามาใกล้กำแพงเมืองทีละนิดๆ
“ดูเหมือนจะเป็น ‘อสูรเกราะทมิฬ’ หรือด้านบนนั้นเป็น…” มนุษย์อสรพิษสวมชุดสีขาวคนหนึ่งถลึงตาทั้งสองข้าง เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก
“เผ่าตาข่ายทมิฬ เป็นไปไม่ได้กระมัง! พวกมันน่าจะถูกเผ่าตระกูลวาของพวกเราสังหารไปจนเกลี้ยงตั้งนานแล้ว!” ภายใต้อารมณ์ร้อนใจมนุษย์อสรพิษอีกคนหนึ่งพลันร้องตะโกนอย่างไม่ยอมรับออกมา
“ใช่ ไฉนถึงได้เป็นคนเผ่านี้!”
“ใช่แล้ว พวกมันควรจะสูญพันธุ์ไปสองสามหมื่นปีแล้ว!”
…….
มนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณรอบ พลันทยอยกันร้องสนับสนุนอย่างเสริมความกล้า
แต่เมื่อโคยักษ์เหล่านั้นทะลวงออกมาจากความมืดมิด พลันมองเห็นเงาร่างคนบนหลังโคอย่างชัดเจน ชั่วขณะนั้นมนุษย์อสรพิษปุโรหิตที่แต่เดิมกำลังเอ่ยปากพลันปิดปากฉับ สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง