แม้ว่าหานลี่ในยามนี้จะไม่อาจมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของอสูรมิคาทนได้ กลับรู้ว่าจะทำอย่างไรให้เขาในยามนี้รู้สึกถึงสิ่งที่คุกคามได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา
น่าเสียดายยามนี้ไม่มีเวลาจะศึกษาอย่างละเอียด และทำได้เพียงรอให้ออกจากแดนกว้างเย็น ค่อยตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของอสูรตัวนี้ให้ละเอียด
หานลี่ขบคิดในใจ ใช้จิตสัมผัสเชื่อมโยงกับอสูรมิคาทน หลังจากที่ออกคำสั่งตักเตือน ก็นั่งขัดสมาธิ สองตาพลันปิดลงแล้วเริ่มนั่งสมาธิ
พลังปราณที่ฟื้นฟูในครั้งที่แล้วไม่มากนัก ประกอบกับพบกับการต่อสู้กับชาวเผ่าแมลงมีเขา พลังปราณในร่างจึงเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่
ดังนั้นหานลี่อยู่ในโพรงใต้ต้นไม้เป็นเวลาเจ็ดวัน ถึงจะฟื้นฟูพลังปราณมาได้เก้าส่วน
ตามความคิดเดิมของเขา แน่นอนว่าย่อมคิดจะฟื้นฟูพลังปราณทั้งหมด แล้วค่อยออกจากที่นี่
แต่ยามเที่ยงวันที่แปด ฉับพลันนั้นข้างหูพลันมีเสียงคำรามต่ำๆ ของอสูรมิคาทนดังขึ้น
หานลี่มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม ได้สติตื่นขึ้นมาจากการฝึกฝน และเบิกตาขึ้นอีกครั้ง
ไอวิญญาณที่สับสนวุ่นวายปรากฏขึ้นรางๆ ในบริเวณใกล้เคียง และมีเสียงระเบิดดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
ราวกับว่ามีผู้ใดกำลังต่อสู้กันกลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่พลันใจเต้น แผ่จิตสัมผัสออกมาโดยไม่พูดอันใด แล้วกวาดสายตาไปด้านนอกโพรงต้นไม้
ผลคืออดที่จะมีสีหน้าแปลกประหลาดใจไม่ได้
เห็นเพียงกลางอากาศเหนือป่าลับ มีสงครามไล่สังหารระหว่างอสูรโหดเหี้ยม
อสูรประหลาดขนาดใหญ่สองตัวก็กำลังต่อสู้กันอยู่กลางอากาศเหนือขึ้นไปสองสามพันจั้ง แล้วไล่ล่ากันไปมาไม่หยุด
ตัวหน้ามีขนาดแค่สองสามจั้ง แต่เรือนกายเป็นสีทองเรืองรอง แววตาดำสนิท คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรลับระดับราชาที่เคยถูกพวกเดียวกันไล่ล่าซึ่งหานลี่เคยพบในป่าลับ
แต่ในยามนี้อสูรลับระดับราชาตัวนี้มีท่าทีจนตรอก ไม่เพียงขนบนร่างจะมีจุดไหม้เกรียมไม่น้อย ด้านหลังหางที่เคยยาว ก็หายไปกว่าครึ่ง
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ อสูรตัวนี้ก็ยังคงมีท่าทีโหดเหี้ยมไม่ลดลงเลยสักนิด กลายเป็นเงาสีทองสายหนึ่งพุ่งหนีไปพลาง พ่นพายุใบมีดสีทองออกมาเป็นสายๆ ไม่หยุดไปพลาง
เมื่อพายุใบมีดสีทองออกห่างจากปากของอสูรลับสีทอง ก็มีขนาดสองสามฉื่อ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป มาอยู่กลางอากาศห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง แล้วสับลงมาอย่างรุนแรง
อสูรประหลาดอีกตัวด้านหลังกลับทำเป็นมองไม่เห็นพายุใบมีดสีทอง ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ ดีดการโจมตีเหล่านี้ออกไป
ความแข็งแกร่งของอิทธิฤทธิ์ป้องกันช่างน่าตกตะลึงจริงๆ!
ส่วนอสูรประหลาดตัวนี้มีความยาวถึงสิบจั้ง เป็นอสูรประหลาดลึกลับ หัวเป็นสุกรตัวเป็นมังกรวารี
หัวเป็นสีขาวหิมะ ร่างกายเปล่งแสงสีฟ้า กลิ่นอายแข็งแกร่งกว่าอสูรลับสีทองหลายส่วน
มิน่าล่ะอสูรลับระดับราชาถึงไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ แค่บินหนีไปพลาง ต่อสู้กันไปพลาง
หานลี่เก็บอสูรมิคาทน ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลั้นลมหายใจ
สมาธิของอสูรสองตัวจดจ่ออยู่กับร่างของศัตรูที่แข็งแกร่งตรงหน้า ไม่ได้สนใจหานลี่ที่อยู่ด้านล่างเลยสักนิด
ชั่วครู่ทั้งสองตนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังพลันแฉลบผ่านไปเหนือป่าลับ จมหายเข้าไปในขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่พลันขมวดคิ้ว ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลงแล้วกลับเป็นเหมือนเดิม
“อสูรลับระดับราชาตัวนี้หนีมาที่นี่ได้อย่างไร!”
แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกตกตะลึง
ทว่าเขาในยามนี้เผชิญหน้ากับอสูรสองตัวกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวนัก แน่นอนว่าก็ไม่มีทางหาเรื่องยุ่งยากให้ตนเองอย่างเปล่าประโยชน์ ถึงได้หลบซ่อนอยู่ในนี้ไม่ออกมา
แม้ว่าอสูรลับระดับราชาจะปรากฏตัวอย่างกะทันหัน แต่เป็นเพราะไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง หานลี่จึงไม่ได้ขบคิดอันใด
หลังจากผ่านความวุ่นวายไป เขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ
ถึงอย่างไรเสียยามที่อสูรทั้งสองผ่านป่าลึกไปแล้วทิ้งกลิ่นอายที่แข็งแกร่งเอาไว้ จะดึงดูดอสูรโหดเหี้ยมตนอื่นๆ ในบริเวณนี้ได้
โชคดีที่ทิศทางที่อสูรทั้งสองไล่ตามกันไป คนละทางกับทางที่เขาจะไป จึงไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก
หลังจากที่เขาถอนอาคมที่ประตูแล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งบินออกมาจากโพรงต้นไม้ แล้วออกเดินทางต่อ
ระหว่างที่กลายเป็นลำแสงหลีกหนี มือก็กุมศิลาวิญญาณระดับสุดยอดเอาไว้ ดูดซับไอวิญญาณบริสุทธิ์จากมันไม่หยุด
เชื่อว่าแม้เขาจะไม่ได้นั่งสมาธิ หลังจากนี้ไม่นาน ก็จะชดเชยพลังปราณในร่างได้จนหมด
หานลี่เดินทางทั้งวันทั้งคืน การเดินทางครั้งนี้กินเวลาหนึ่งเดือนเต็ม
ระหว่างทางนอกจากพบกับอสูรโหดเหี้ยมระดับต่ำที่ตาไร้แววแล้ว ก็ไม่ได้พบกับความยุ่งยากอันใดหรือพบกับกลุ่มคนชนต่างเผ่าอื่นๆ
แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
วันนี้หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนี มองเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาอยู่ไกลๆ
ผิวน้ำเป็นสีฟ้าราวกับมหาสมุทร กลางอากาศที่กว้างไกลเป็นหมื่นลี้มีเมฆสีดำ เป็นภาพที่งดงามมาก
หานลี่มองเห็นทะเลสาบ มุมปากพลันหยักรอยยิ้มออกมา ในเวลาเดียวกันก็แผ่จิตสัมผัสออกไปกวาดบนผิวของทะเลสาบอย่างระมัดระวัง
หากแผนที่ชี้ไม่ผิดล่ะก็ การเดินทางครั้งนี้จะถึงเป้าหมายแล้ว
ชั่วครู่เขาก็ดึงจิตสัมผัสกลับมา
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น สายรุ้งสีเขียวทะยานไปเหนือผิวน้ำ และพุ่งไปยังส่วนลึก
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี ความมหึมาของทะเลสาบนี้เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ จากความเร็วที่น่ากลัวของเขาประกอบกับระยะเวลายาวนานขนาดนี้ รอบด้านก็เป็นทัศนียภาพที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะการเดินทางครั้งนี้ แผนที่ที่พามาไม่เคยผิดพลาดเลยสักนิด เขาก็คิดว่าเข้ามาในมหาสมุทรนิรนามแล้ว
สิ่งที่ทำให้หานลี่ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจก็คือ ตั้งแต่ที่เข้ามาในเกาะทะเลสาบนี้ นอกจากมัจฉาธรรมดาๆ ที่อยู่ก้นบ่อ คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นอสูรอื่นๆ ที่หาได้ยาก
บางครั้งก็มีสองสามตัว และทั้งหมดล้วนเป็นอสูรทะเลสาบระดับต่ำที่เชี่ยวชาญการอำพรางกาย ล้วนหลบซ่อนอยู่ก้นทะเลสาบไม่เคลื่อนไหว
หากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสของเขาเหนือกว่าคนธรรมดา ก็คงไม่อาจพบร่องรอยของพวกมันได้ง่ายๆ
แววตาของหานลี่เปล่งประกาย ในใจเกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมา ในเวลาเดียวกันความคิดก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์เช่นนี้เขาไม่ใช่ไม่คุ้นเคย ทะเลสาบนี้น่าจะเป็นที่มั่นของอสูรที่ร้ายกาจแปดเก้าส่วน ถึงได้มีอสูรระดับต่ำอื่นๆ ตกใจจนเตลิดหนีไป
แม้ตอนแรกเผ่าศิลารังไหมจะกำชับเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ที่นี่ปลอดภัยมาก และไม่มีอสูรโหดเหี้ยมที่แข็งแกร่งอันใด
แต่สิ่งที่พูดมันเป็นเรื่องตั้งแต่ที่แดนกว้างเย็นเปิดครั้งที่แล้ว ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ ที่นี่อาจจะถูกอสูรโหดเหี้ยมที่แข็งแกร่งอันใดยึดครองก็ไม่แปลก
เขาขบคิดเช่นนั้น แล้วอดที่จะรู้สึกลังเลขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้
เพื่อวัตถุดิบหลอมอาวุธของเผ่าศิลารังไหม จะคุ้มค่ากับการเสี่ยงอันตรายหรือไม่ ดูเหมือนว่าจะต้องคิดทบทวนอีกครั้ง
ถึงอย่างไรเสียแม้ว่าเขาจะไม่ได้หนีไป ต้วนเทียนเริ่นก็เคยบอกเอาไว้ว่าจะช่วยเรื่องเขตอาคมส่งตัวขนาดใหญ่
จากตำแหน่งของเขาในเผ่าศิลารังไหม น่าจะไม่มีทางโกหก แต่เขากลัวว่าจะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น
และยิ่งไปกว่านั้นเขาใช้เวลานานเพื่อวิ่งมาที่นี่ แล้วจะหันหลังจากไปทันที แน่นอนว่าย่อมไม่ยินยอม
หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ ความเร็วเริ่มลดลงเป็นอย่างมากอย่างไม่รู้ตัว
ในยามนั้นเองที่มองเห็นจุดสีดำอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบ ยิ่งเข้าไปใกล้เรื่อยๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเกาะกลางทะเลสาบขนาดยักษ์
หานลี่เห็นเช่นนั้น แววตาพลันหรี่ลง หยุดลำแสงหลีกหนีลงเสียเลย แล้วมองออกไปยังจุดที่ไกลออกไป
เกาะนี้ดูเหมือนจะมีความกว้างพันกว่าลี้ และยิ่งไปกว่านั้นด้านบนยังมียอดเขาสูงหนึ่งยอดและเตี้ยหนึ่งยอดเรียงติดกันอยู่
ยอดเขาที่สูงหน่อยมีความสูงประมาณหมื่นจั้ง ผิวเป็นสีเทาขมุกขมัว กว่าครึ่งของยอดเขาไม่มีต้นหญ้าเลยสักนิด ยอดเขาที่เตี้ยน้อยมีความสูงสามถึงสี่พันจั้ง แต่เป็นสีเขียวมรกต มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น
“ดูแล้วคงเป็นที่นั่น!” หานลี่เอ่ยพึมพำ สายตาตกไปที่ยอดเขาสีเทาลูกนั้นอย่างรวดเร็ว จ้องเขม็งไม่ยอมเลื่อนสายตาไปไหน
ภายนอกของเกาะแห่งนี้เหมือนกับในบันทึกบนแผนที่อย่างไรอย่างนั้น วัตถุดิบล้ำค่าที่เผ่าศิลารังไหมเอ่ยถึง ก็คือแร่ศิลาที่มีเฉพาะในยอดเขาสูง
แร่ศิลานี้มีแค่ในแดนกว้างเย็น และยิ่งไปกว่านั้นยังสำคัญต่อเผ่านี้เป็นอย่างมาก
ยามที่หานลี่มองอย่างใจลอยนั้น ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี สะบัดแขนเสื้อลงไปด้านล่างทันที
กระบี่เล่มเล็กสีเขียวเล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นด้านล่างของผิวน้ำที่ดูเงียบสงบราวกับกระจกพลันมีเสียง “ปัง” ดังขึ้น เสาน้ำต้นหนึ่งพ่นออกมา ตรงมาหาหานลี่
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เสาน้ำถูกกระบี่เล่มเล็กที่กลายเป็นลำแสงกระบี่แบ่งออกเป็นสองส่วน
“แควก” เสียงประหลาดดังขึ้น มัจฉาประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ในเสาน้ำ ถูกกระบี่ลำแสงสับออกเป็นสองส่วนเช่นกัน โลหิตสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระจายไปทั่วผิวน้ำ
หานลี่ก้มหน้าลงมอง แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ แล้วมองเห็นร่างของมัจฉาประหลาดอย่างชัดเจน
มัจฉาตัวนี้มีความยาวแค่สองสามฉื่อ แต่ตัวมันเป็นสีเขียวมรกต แผ่นหลังมีปีกงอกออกมา และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาอย่างละเอียด คาดไม่ถึงว่าจะหัวจะดูคล้ายกับอสรพิษ ส่วนท้องดูเหมือนจะมีกรงเล็บบางๆ ที่ไม่อาจมองเห็นได้งอกออกมา
หานลี่หางตากระตุก คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกว่าเหมือนเคยได้ยินชื่อของมัจฉาประหลาดชนิดนี้มาจากที่ไหนมาก่อน ทว่ายามนั้นกลับไม่อาจนึกออก
แต่ครู่ต่อมาฉากที่ทำให้เขาตกใจจนสะดุ้งโหยงก็ปรากฏขึ้น
เมื่อซากของมัจฉาประหลาดตัวนั้นจมลงสู่ทะเลสาบ ในระยะสองสามลี้ก็มีเสียงหวีดร้องดังขึ้น
เสาน้ำพ่นออกมาจากทะเลสาบพร้อมกันมองปราดเดียวก็หนาแน่นไปหมด ไม่รู้ว่ามีกี่เสากันแน่
หลังจากที่เสาน้ำกระจายตัวออก มัจฉาประหลาดขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และใช้สายตาที่ไร้ความรู้สึกจ้องเขม็งมายังหานลี่
รูปร่างของมัจฉาประหลาดเหล่านี้และมัจฉาประหลาดที่ตายไปเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว แต่ผิวกลับเปล่งแสงห้าสีสัน และยิ่งไปกว่านั้นลำแสงวิญญาณอันสวยงามที่แผ่ออกมา ก็เผยความลึกลับออกมา
“มัจฉาสายรุ้งเหิน”
หานลี่มองเห็นฉากนี้กลับร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ในที่สุดก็นึกประวัติความเป็นมาของมัจฉาประหลาดเหล่านี้ออก
ตอนนั้นที่เขาอยู่ในเผ่าเทียนเผิง ได้อ่านประวัติของมัจฉาชนิดมาจากในตำราโบราณเล่มหนึ่ง
อย่ามองว่าชื่อของมัจฉาประหลาดชนิดนี้ดูเหมือนน่าฟัง แต่ในอดีตชนเผ่าต่างที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรล้วนเอ่ยชื่อของมัจฉาชนิดนี้ด้วยความรู้สึกทั้งรักและเกลียด
รักก็คือแก่นดวงจิตของอสูรประหลาดชนิดนี้เป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงยาโบราณที่หายากอย่าง ‘ยาลูกกลอนเจ็ดสี’
แต่ยาลูกกลอนเจ็ดสีก็ใช้เลี้ยงดูแมลงวิญญาณโบราณโดยเฉพาะ
ว่ากันว่าหากแมลงวิญญาณกินเจ้าสิ่งนี้เข้าไปบ่อยๆ ไม่เพียงจะเพิ่มการเจริญเติบโตได้ แม้ว่าหลังจากที่โตเต็มวัยแล้ว ก็อาจจะบรรลุระดับขั้นได้อีกครั้ง ในอดีตเป็นสิ่งที่หายากเป็นอย่างมาก
สิ่งที่เกลียดก็คืออสูรประหลาดชนิดนี้ตัวมันไม่เพียงจะมีพิษประหลาด พิษที่พ่นออกมาแทบจะไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ขอแค่พบตัวหนึ่ง อย่างน้อยก็น่าจะมีสองสามพันตัว หรือสองสามหมื่นตัว
ผู้ที่อยู่ลำพังหากพบกับฝูงอสูรนี้ นอกจากจะมีอิทธิฤทธิ์วิเศษ แปดเก้าส่วนก็ต้องเพลี่ยงพล้ำไป
ทว่าอสูรประหลาดชนิดนี้หายสาบสูญไปตั้งแต่อดีตแล้ว และอยู่แค่เพียงในบันทึกในตำราของเผ่าต่างๆ
หานลี่คิดไม่ถึงเลยว่า ยามนี้ที่อยู่ในแดนกว้างเย็นจะพบกับมัจฉาประหลาดชนิดนี้
เขาในยามนี้พลันเข้าใจชัดแจ้งขึ้นมา เหตุใดถึงไม่เห็นร่องรอยของอสูรระดับสูงในทะเลสาบ กว่าครึ่งคงถูกพิษของมัจฉาสายรุ้งเหินเหล่านี้กินไปจนหมด แล้วตกใจจนหนีเตลิดไปแล้ว