เกาะกลางมหาสมุทรมีขนาดประมาณสองสามร้อยลี้ แม้ว่าสตรีอสรพิษสองสามคนจะเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว แต่ถ้าหากต้องเดินไปตรงใจกลางเกาะ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาชั่วครู่
แต่ภายใต้การนำทางของเหยียนอู่ หลังจากที่คนกลุ่มนี้เดินเข้ามาในเกาะได้สองสามลี้ เบื้องหน้าพลันมีสิ่งปลูกสร้างหยาบๆ ที่ดูคล้ายคลึงกับเพิงน้ำชาแห่งหนึ่ง ด้านในมีบุรุษและสตรีอสรพิษอยู่สองสามตน กำลังดูแลอสูรที่ดูคล้ายกับกิ้งก่าอยู่สิบกว่าตัว ในส่วนท้ายของเพิงมีแม้กระทั่งรถลากสีดำสนิทอยู่คันหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าใช้ผ้าคลุมสีดำอะไรสักอย่างคลุมเอาไว้
เมื่อเหล่ามนุษย์อสรพิษเหล่านี้เห็นสตรีโฉมสะคราญเดินทางมา ก็มีคนสองคนวิ่งออกมาทักทายด้วยความนอบน้อมทันที
แต่เหยียนอู่กลับออกคำสั่งอย่างราบเรียบแค่สองสามประโยค แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่รถลากสีดำคันนั้น
มนุษย์อสรพิษสองตนนั้นเผยสีหน้าตื่นตกใจออกมา และอดไม่ไหวมองมาทางหานลี่ปราดหนึ่ง ปากก็เอ่ยตอบรับอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาจึงกลับเข้าไปในเพิงในทันที นำอสูรกิ้งก่าสองตัวผูกเชือกเข้ากับรถลากสีดำคันนั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังไปลากอีกสามตัวมา
ดังนั้นหานลี่จึงถูกสตรีอสรพิษเหล่านั้นยกขึ้นไปในรถลากสีดำอย่างระมัดระวัง จากนั้นสตรีอสรพิษสองคนพลันนั่งอยู่ด้านหน้า ที่เหลืออีกสามคนนั่งอยู่บนตัวของอสูรกิ้งก่าแต่ละตัว
เป็นเพราะกายท่อนล่างของสตรีอสรพิษเหล่านี้ไม่มีขา ดังนั้นบนแผ่นหลังของอสูรกิ้งก่าเหล่านี้จึงมีอานรูปทรงประหลาดติดอยู่ ทำให้พวกนางนำหางงูใส่ลงไปในนั้นได้อย่างพอดิบพอดี
คนกลุ่มนี้จึงออกเดินทางอีกครั้งในทันใด
อสูรกิ้งก่าเหล่านี้ดูเหมือนจะงุ่มง่ามอยู่เล็กน้อย เวลาวิ่งก็โคลงเคลงไปมาเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเท้าทั้งสี่เคลื่อนไหว ก็สามารถวิ่งไต่ในระยะยี่สิบจั้งเศษได้ในพริบตา ความเร็วกลับไม่เชื่องช้าเลยสักนิด!
ดังนั้นความเร็วของคนกลุ่มนี้จึงเพิ่มขึ้นสองสามเท่าในทันที
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม พวกนางพลันมาถึงหน้าเมืองดินแห่งหนึ่ง
เป็นเมืองดินของจริงเสียงจริง!
ขนาดไม่ใหญ่นัก มีขนาดเพียงสิบลี้เศษเท่านั้น กำแพงเมืองเป็นสีเทาขมุกขมัว ล้วนก่อขึ้นจากดินเหนียวสีเหลืองอ่อน และเมื่อมองลอดผ่านกำแพงเมืองเข้าไปด้านใน ในเมืองล้วนเป็นบ้านดินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน แม้กระทั่งมองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นจากหินศิลา
หานลี่มองเห็นทุกอย่างผ่านทางหน้าต่าง ในใจพลันรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่กลับไม่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเลยสักนิด กลับมองไปยังมนุษย์อสรพิษสิบกว่าคนที่ยืนรักษาการณ์อยู่ตรงประตูเมือง
เหล่าผู้รักษาการณ์เหล่านี้ล้วนมีบุรุษน้อยกว่าสตรีเช่นกัน แต่บนเรือนร่างของทุกคนล้วนสวมใส่หมวกและเกราะที่ใช้วัตถุดิบอะไรสักอย่างหลอมขึ้นชั้นหนึ่งเช่นกัน ในมือถือขวานยาวเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ แผ่นหลังสะพายอาวุธที่ใช้พุ่งหรือขว้างอย่างสามง่ามสั้นสีเงิน และหลาวอะไรเทือกนั้น ท่าทางพร้อมรบ และเมื่อมองจากไกลๆ ใกล้กับกำแพงดินยังมีมนุษย์อสรพิษติดอาวุธยืนอยู่รางๆ จำนวนมาก
ดูเหมือนจะเตรียมการป้องอย่างแน่นหนาเป็นพิเศษ!
เหยียนอู่มาถึงหน้าประตูเมือง พลางสั่งให้กิ้งก่าใต้ร่างหยุดเคลื่อนไหว จากนั้นพลันกระโจนกระโดดลงไป
ส่วนในบรรดามนุษย์อสรพิษผู้รักษาการณ์เหล่านั้นก็มีสตรีอสรพิษท่าทางองอาจสง่างามเดินออกมาคนหนึ่ง นางร้องเรียกปุโรหิตหญิงด้วยรอยยิ้มบางๆ
ปุโรหิตหญิงเห็นอีกฝ่ายเองก็ตื่นเต้นดีใจ จึงเข้าไปพูดคุยอะไรด้วยท่าทีดีใจเช่นกัน แต่ไม่นานนักก็ชี้มาที่รถด้านหลัง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
สตรีอสรพิษผู้รักษาการณ์พลันหุบยิ้มลงเช่นกัน พยักหน้า จากนั้นพลันโบกมือไปด้านหลัง ชั่วขณะนั้นผู้รักษาการณ์ด้านหลังพลันเปิดทางเป็นเส้นทางสายหนึ่งทันที
ดังนั้นสตรีอสรพิษผู้งดงามจึงกระโดดขึ้นไปบนอสูรกิ้งก่าอีกครั้ง พารถลากสีดำเข้าไปในเมืองดิน
หานลี่นั่งอยู่ในรถ พิจารณาทุกอย่างในเมืองดินไปมาไม่หยุด
แม้ว่าเมืองดินจะไม่ใหญ่โตนัก แต่ถนนหลักในเมืองกลับกว้างใหญ่เป็นพิเศษ และยิ่งไปกว่านั้นยังปูด้วยก้อนหินสีขาวซีด แตกต่างกับบ้านเรือนสีเหลืองที่อยู่ในบริเวณรอบ เผยความสะดุดตาออกมาอย่างเห็นได้ชัด
สองฝั่งถนนมีมนุษย์อสรพิษสัญจรไปมาอยู่จำนวนมาก
บุรุษทุกตนล้วนมีท่าทีกำยำล่ำสัน สตรีล้วนมีท่าทีอรชรอ้อนแอ้น และยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังพกอาวุธประเภทมีคมเอาไว้ แม้แต่มนุษย์อสรพิษเด็กที่มีความสูงแค่สองสามฉื่อ ยังถือสามง่ามและหลาวเอาไว้เช่นกัน ทว่าขนาดก็เล็กกว่าเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นดูแล้วยังสร้างขึ้นจากไม้ธรรมดาเท่านั้น
เมื่อมองจนมาถึงเวลานี้ หานลี่พลันอดที่จะครุ่นคิดขึ้นมาไม่ได้!
ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเคยได้ยินชนต่างเผ่า ‘ตระกูลวา’ นี้เป็นครั้งแรก แต่เห็นได้ชัดว่ามนุษย์เผ่านี้เป็นผู้มีกลิ่นอายความเป็นทหารกันทุกคน แต่ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรในเผ่านี้มีจำนวนมากหรือไม่ หากสัดส่วนการกำเนิดของผู้บำเพ็ญเพียรน่าตกตะลึงละก็ ประกอบกับประชากรธรรมดาในชนเผ่าก็แข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าเผ่านี้น่าจะมีกำลังไม่น้อยถึงจะถูก แต่ชนต่างเผ่าที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
หานลี่พลันสังเกตได้ว่าสตรีอสรพิษของเผ่าเพลิงอาทิตย์นี้มีจำนวนมากกว่าบุรุษมาก
จากการตรวจสอบมาระหว่างทางแล้ว จำนวนของสตรีอสรพิษที่ปรากฏตัวบนถนนมีมากกว่าบุรุษอสรพิษถึงสองเท่า
และยิ่งไปกว่านั้นจากสีบนผิวกายท่อนล่างของอสรพิษเหล่านี้ล้วนไม่ค่อยเหมือนกันนัก
ในบรรดาเหล่านั้นมีสีเขียวอ่อนและสีเหลืองอ่อนมากที่สุด แต่ตำแหน่งดูเหมือนว่าจะต่ำต้อยที่สุด ส่วนสีขาวและสีดำนั้นมีอยู่น้อยหน่อย ส่วนใหญ่ล้วนถูกมนุษย์อสรพิษคนอื่นๆ รุมล้อม ดูเหมือนว่าจะต้องเป็นที่มีตำแหน่งในเผ่าเป็นแน่
ส่วนมนุษย์อสรพิษสีอื่นๆ หานลี่ก็พอเห็นบ้าง
หานลี่วิเคราะห์ทุกอย่างที่มองเห็นอยู่ในรถอย่างเงียบๆ แต่ไม่นานนักรถก็ถูกควบคุมไปถึงหน้าจัตุรัสที่ปูด้วยหินเรียบ ตรงปลายจัตุรัสมีวิหารที่สร้างขึ้นจากไม้และดินเหนียวผสมกันตั้งอยู่ ผิวของมันถูกประดับไว้ด้วยเปลือกหอยที่ทาสีเอาไว้หลากหลาย
ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนไม่สามารถดึงดูดความสนใจของหานลี่ได้ สายตาของเขาตกอยู่ที่สิ่งแปลกประหลาดตรงใจกลางของจัตุรัส
นั่นคือสิ่งที่ดูเหมือนกรวยกลมๆ ซึ่งทำขึ้นจากทองสัมฤทธิ์ สูงประมาณสิบจั้งเศษ ด้านบนเรียวแหลมด้านล่างกว้างใหญ่ ผิวของมันมีลวดลายประหลาดเรียงรายอยู่ ลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งแผ่ออกมาเรืองๆ
และรอบด้านของเจ้าสิ่งนี้ก็มีบุรุษและสตรีอสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวยืนอยู่เจ็ดแปดคน ในมือต่างมีลำแสงสีขาวเปล่งแสงระยิบระยับ
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง มองเห็นคนเหล่านั้นบรรจุอะไรสักอย่างเข้าไปในสิ่งประหลาดสิ่งนั้น แม้ว่าจะมีขนาดแค่เท่ากำปั้น แต่มีสีสันสดใส ราวกับว่าไม่ใช่ศิลาวิญญาณ
และบุรุษสตรีที่สวมชุดคลุมสีขาวเหล่านั้นก็เหมือนกับสตรีอสรพิษผู้งดงามที่นำทางเขาอย่างไรอย่างนั้น เรือนกายไม่มีพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่ แต่พลังยุทธ์ยังสู้สตรีอสรพิษผู้งดงามไม่ได้
ทว่าเมื่อผู้สวมชุดคลุมสีขาวเหล่านี้เหยียนอู่และขบวนรถปรากฏตัว ก็มีคนสองคนเดินออกมาในทันที
และในครานั้นหานลี่พลันถูกคนอื่นๆ ยกลงมาอีกครั้ง และถูกวางลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่หามาจากที่ใดก็สุดจะรู้ได้อย่างระมัดระวัง
หานลี่มองคนเบื้องหน้าสนทนากันสองสามประโยค แม้ว่าจะฟังไม่ออก แต่เห็นได้ชัดว่ามนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวทั้งสองเคารพนับถือสตรีอสรพิษผู้งดงามเป็นอย่างมาก
และในตอนนั้นเองพลันมีมนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวเช่นกันเดินออกมาจากวิหารตรงข้ามจัตุรัสโดยแบ่งออกเป็นสองแถว
แถวหนึ่งเป็นสตรี แถวหนึ่งเป็นบุรุษ เดินเข้ามาทางหานลี่อย่างแช่มช้า
เมื่อเห็นฉากนี้สตรีอสรพิษผู้งดงามและมนุษย์อสรพิษในจัตุรัสคนอื่นๆ ที่กำลังพูดคุยกันพลันหน้าเปลี่ยนสี แบ่งออกเป็นสองฝั่งทันที สีหน้าเคารพนบน้อม
หลังจากที่มนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวสองแถวยืนเป็นสองฝั่งแล้ว ด้านในพลันมีผู้สวมชุดคลุมสีแดงคนหนึ่งเดินออกมา
หานลี่เห็นคนผู้นี้ ใบหน้าพลันฉายแววประหลาดใจ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฮูหยินร่างกายผ่ายผอม หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง กายท่อนล่างมีเท้าสองข้างเหมือนกับเผ่ามนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ใช่ร่างของอสรพิษ
สิ่งที่ทำให้หานลี่ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นก็คือ เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณระดับก่อกำเนิดที่กำลังไหลโคจรอยู่ในร่างของนาง
นี่มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปหน่อยแล้ว
ต้องเข้าใจว่าแม้ว่ามนุษย์สอรพิษสวมชุดคลุมสีขาวในจัตุรัสจะมีพลังวิญญาณไหลโคจรอยู่ แต่ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดก็เป็นแค่บุรุษมนุษย์อสรพิษระดับสร้างปราณคนหนึ่งเท่านั้น คนที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในระดับฝึกปราณเหมือนกับสตรีหน้าตางดงาม
ภายใต้สถานการณ์ที่มีสิ่งมีชีวิตระดับสูงคนหนึ่งโผล่พรวดพราดออกมาเช่นนี้ ความแตกต่างของทั้งสองมันจะมากไปหน่อยแล้วกระมัง
หลังจากที่ฮูหยินผู้นั้นกวาดสายตามาบนเรือนร่างของหานลี่แล้ว ก็เผยสีหน้าตะลึงงันออกมาเช่นกัน แต่ครู่ต่อมาก็เยือกเย็นลง แล้วเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ชนรุ่นหลังหั่วเย่ว์ คารวะท่านอาวุโสหาน!” เมื่อฮูหยินมาอยู่ตรงหน้าหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะทำความเคารพ ปากพลันเอ่ยภาษาชาววิญญาณเหาะเหินออกมาอย่างคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ
“เจ้าคือมหาปุโรหิตของเผ่าเพลิงอาทิตย์?” หานลี่แววตาเปล่งประกาย ปากพลันเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะแก่การพูดคุย ท่านอาวุโสตามข้าเข้ามาพูดคุยในวิหารเป็นอย่างไร?” ฮูหยินเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“ได้ ข้ามีเรื่องมากมายอยากถามเจ้าอยู่พอดี” หานลี่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่ต้องขบคิด
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบเกียรตินี้ให้เจ้าค่ะ! พวกเจ้ายังไม่เชิญท่านอาวุโสเข้าวิหารอีก” ฮูหยินพลันดีอกดีใจ หันหน้าไปออกคำสั่งกับสตรีอสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวเหล่านั้นที่อยู่ด้านข้าง
ชั่วขณะนั้นสตรีอสรพิษแถวหนึ่งพลันเกิดเสียงดังโวยวายขึ้น ทันใดนั้นก็มีสองคนเดินออกมาอย่างรีบร้อน ยกหานลี่ขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง จากนั้นพลันเดินตรงไปที่วิหาร
ทันใดนั้นฮูหยินพลันโบกมือ คนที่เหลือที่ยืนอยู่ทั้งสองฟากฝั่งพลันเดินตามมาติดๆ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็มาอยู่ในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายในวิหาร ด้านในนอกจากหานลี่และฮูหยินผู้นั้นซึ่งกำลังนั่งอยู่แล้ว มนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีต่างก็ยืนประสานมือเข้าหากันอยู่ทั้งสองฝั่ง
“ท่านอาวุโสเคลื่อนไหวไม่สะดวกเช่นนี้ ร่างกายคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมเจ้าคะ ชนรุ่นหลังมียาลูกกลอนไอโลหิตที่ปรุงขึ้นกับมืออยู่ สามารถชดเชยพลังปราณได้ ท่านอาวุโสกินยาลูกกลอนสักหน่อยเป็นอย่างไร?” หลังจากที่ฮูหยินนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พลันเอ่ยถามด้วยสีหน้านอบน้อม
“ไม่ต้อง ข้าแค่เกิดปัญหาในการฝึกฝนนิดหน่อย อีกเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว” หานลี่เหลือบตามองฮูหยินแวบหนึ่ง มุมปากเอยสีหน้าอมยิ้มออกมา
“แหะๆ เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้รับข้อความมากจากอู่เอ๋อร์ว่า ท่านอาวุโสมีเรื่องอยากสอบถามชนรุ่นหลังสักหน่อย ไม่ทราบว่าท่านมีข้อสงสัยอันใดหรือ ชนรุ่นหลังจะบอกอย่างไม่ปิดบังแน่นอนเจ้าค่ะ” ฮูหยินหัวเราะแห้งๆ ออกมา ฉับพลันนั้นพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพูดคุย
“อ้อ ข้าอยากรู้ว่าที่นี่คือน่านน้ำใด ในละแวกนี้มีสหายร่วมวิถีที่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรบ้าง” หลังจากหานลี่ขบคิดเล็กน้อยพลันเอ่ยออกมา
เมื่อได้ยินหานลี่ซักถามเช่นนี้ ฮูหยินที่มีสีหน้าสบายใจพลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ปากพลันตอบกลับอย่างสัตย์จริงว่า
“ที่นี่คือหมู่เกาะปะการังเพลิง ละแวกนี้ไม่มีสหายที่ร้ายกาจอะไร มากสุดก็มีพลังยุทธ์เท่าชนรุ่นหลังเท่านั้น”
“หมู่เกาะปะการังเพลิง? เจ้ามีแผนที่น่านน้ำในละแวกนี้หรือไม่?” หานลี่ได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคย พลันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยปากถาม
“มีแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทว่าแผนที่ของชนรุ่นหลังล้วนใช้ตัวอักษรของเผ่าตระกูลวาสลักเอาไว้ ท่านอาวุโสศึกษาภาษาของเผ่าเราก่อน จากนั้นค่อยดูก็เข้าใจแผนที่แล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินกะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อืม เช่นนั้นก็ได้” หานลี่ขมวดคิ้วมุ่น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้พยักหน้า จากจิตสัมผัสที่หลงเหลืออยู่ในหัวของเขา แม้นว่าจะไม่อาจแผ่ออกไปนอกกายได้ แต่การอ่านคัมภีร์อะไรเทือกนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ปัญหาอะไร
ฮูหยินได้ยินคำนี้ พลันเผยรอยยิ้มใจดีสู้เสือออกมา ทันใดนั้นมือหนึ่งพลันควานหาในเรือนร่าง ลำแสงวิญญาณสว่างวาบ ควักแผ่นหินเปล่งแสงสีดำสนิทออกมาจากที่ใดก็สุดจะรู้ได้ โยนมาทางหานลี่
หานลี่ที่ได้พักผ่อนมายาวนานขนาดนี้ แม้ว่าร่างกายจะฟื้นฟูพลังปราณมานิดหน่อยแล้ว แต่มือเท้าก็ยังคงอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง
สายตากวาดไปบนแผ่นหิน หลังจากมั่นใจว่าคล้ายกับพวกคัมภีร์แล้ว เขาแค่อ้าปากออก ชั่วขณะนั้นพลันพ่นหมอกนสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา ม้วนคัมภีร์นั้นเอาไว้แล้วสูบเข้ามาที่หน้าผาก จากนั้นพลันหลับตาลงศึกษาสิ่งที่อยู่ในนั้น
แต่ในครานั้นเอง เสียง ปัง พลันดังขึ้น แผ่นหินระเบิดออกทันที หมอกสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกสลายออก ชั่วครู่ก็ปกคลุมหานลี่เอาไว้