“สหายเจี่ยนเข้าใจผิดหรือเปล่า สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬที่หลอมขึ้นใหม่นั้นไม่ได้อยู่ในอาณาเขตเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเรา หากเป็นเช่นนั้น ไม่อาจใช้เคล็ดวิชาบวงสรวงโลหิตเรียกสมบัติชิ้นนี้ได้ก็เป็นเรื่องปกติ” น้ำเสียงราบเรียบของสตรีผู้หนึ่งดังออกมาจากแท่นบวงสรวง
ผู้พูดกลับเป็นหญิงงามวัยกลางคนสวมชุดคลุมศีรษะสีขาว ปีกขนนกห้าสีที่แผ่นหลังเปล่งแสงสว่างวาบ คำพูดเมื่อครู่เห็นได้ชัดว่ารู้สึกดีใจบนความทุกข์ของคนอื่น
“ฮูหยินปู้! เขตอาคมอัญเชิญเมื่อครู่ข้าและพี่เจี่ยนเป็นผู้ควบคุม จากพลังการบวงสรวงโลหิตมันทำให้สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของกระบี่ตัดวิญญาณสวรรค์ทมิฬ แต่ตอนที่ส่งกลับมาดูเหมือนว่าจะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่าง คาดไม่ถึงว่าจะหายไประหว่างทาง หรือว่ากระบี่เล่มนี้เบิกเนตรแล้วสามารถตัดห้วงมิติได้ด้วยตนเอง” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น
บนศีรษะของคนผู้นี้มีเขาสีขาวเปล่งแสงระยิบระยับเขาหนึ่ง นั่นก็คือชายหนุ่มเขาเดี่ยวจากเผ่าหนอนมีเขาที่หานลี่เคยพบบนเกาะยักษ์เมื่อครึ่งปีก่อน
ส่วนผู้ที่เอ่ยคนแรก แน่นอนว่าย่อมเป็นมนุษย์ตาปลาของเผ่าราชันย์มหาสมุทรผู้นั้น
แต่แค่ในครานี้ใบหน้าของมนุษย์ตาปลามีสีหน้าโกรธจนเสียสติอยู่หลายส่วน
“เป็นสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬจริงหรือไม่ แน่นอนว่ามีเพียงสหายทั้งสองที่ควบคุมเขตอาคมเท่านั้นที่รู้ พวกเราแค่ได้รับคำสั่งให้ร่วมมือกับสหายทั้งสอง” ชายชราสวมชุดคลุมสีดำ แต่แผ่นหลังมีปีกสีเทาสองคู่เอ่ยอย่างราบเรียบ
เขาใช้มือหนึ่งค้ำไม้เท้าหัวมังกรอันหนึ่งเอาไว้ ไม่ปกปิดเจตนาเยาะเย้ยในคำพูดเลยสักนิด
ส่วนเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่มีปีกบนแผ่นหลังเช่นกันที่เหลือ แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่สายตาที่มองมายังชายหนุ่มเขาเดี่ยวและมนุษย์ตาปลาก็เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร
ชายหนุ่มเขาเดี่ยวกลับไม่ได้ตอบกลับอะไรอีก และมองสบตากับมนุษย์ตาปลาแวบหนึ่ง ริมฝีปากของทั้งสองขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดเสียงคุยกันอย่างลับๆ
เมื่อเห็นท่าทีกำเริบเสิบสานไม่กลัวเกรงเช่นนี้ของทั้งสอง เผ่าวิญญาณเหาะเหินในที่นั้น ต่างก็มีสีหน้าดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม
“ในเมื่อล้มเหลวเป็นครั้งที่สองแล้ว พวกเราก็รีบบวงสรวงโลหิตอีกครั้งในทันทีเถิด ตอนนี้ไอโลหิตยังไม่จางหายไป น่าจะทำได้อีกรอบ ขอแค่สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬยังอยู่ในอาณาเขตของเผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกเรา ก็น่าจะตอบสนองการเรียกหา” ดูเหมือนว่าชนต่างเผ่าทั้งสองตนจะปรึกษากันเสร็จแล้ว ชายหนุ่มเขาเดี่ยวจึงหันหน้าไปเอ่ยกับชายหนุ่ม ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ลองอีกครั้ง สหายทั้งสองคิดว่าลมปราณของพวกเราฝึกฝนมาอย่างเปล่าประโยชน์หรือ การบวงสรวงโลหิตเมื่อครู่นั้นทำให้ลมปราณของพวกเราหายไปเกือบครึ่งแล้ว หากลองอีกครั้ง ปราณแท้ของพวกเราจะเสียหายแล้ว” ชายหนุ่มชุดดำแตะไปที่ไม้เท้า เสียง ปัง ดังขึ้น ทำให้แท่นบรวงสรวงทั้งหมดสั่นคลอนถึงสองครา แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“แน่นอนว่าผู้แซ่หมิ่นย่อมรู้ว่าการกระทำนี้ทำให้ลำบากใจ แต่ต่อให้ลำบากใจแค่ไหนก็ดีกว่าที่สองเผ่าของเราจะถูกทำลายลงในครึ่งปี และสังหารอสูรยักษ์ป่าเถื่อนนับร้อยนับพันตัวกระมัง หากพลาดโอกาสที่จะได้รับสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬไปด้วยเหตุนี้ เสียเวลาเพราะเรื่องนี้ไปจริงๆ เหล่าสหายรับผิดชอบไม่ไหวหรอกกระมัง” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวหรี่ตาทั้งสองข้างลง แต่กลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
เมื่อได้ยินคำนี้ ใบหน้าของชายชราชุดดำพลันมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นรางๆ ร่างกายพลิ้วไหวก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ดูเหมือนว่าหมายจะตำหนิอะไรสักอย่าง
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงกระแอมไอเบาๆ ก็ดังออกมาจากด้านข้างของฝูงชน ทันใดนั้นเสียงแหบพร่าก็ดังขึ้น
“น้องเหยา รอดูท่าทีก่อนเถิด สหายหมิ่นเป็นตัวแทนของเผ่าหนอนมีเขา จะไม่สนใจได้อย่างไร” ผู้พูดคือเงาร่างคนหลังค่อม ถูกม่านหมอกสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ จนมองไม่เห็นใบหน้าเลยสักนิด
“พี่ซยงพูดถูก ผู้แซ่เหยาใจร้อนเกินไป” ชายชราชุดดำได้ยินคำนี้ พลันหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะถอยกลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิม แล้วตอบกลับอย่างนอบน้อม
“พี่ซยงมีอะไรจะกล่าวเช่นกันหรือ” เมื่อชายหนุ่มเขาเดี่ยวเห็นคนผู้นี้ชัดเจน ก็มีสีหน้าฉงนขึ้นเช่นกัน แต่ทันใดนั้นก็ฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น
“มีเรื่องจะกล่าวนิดหน่อยจริงๆ สหายให้พวกเราสูญเสียพลังปราณไปแล้วยังจะให้ช่วยเจ้ากระตุ้นการบวงสรวงโลหิตอีกครั้งนั้นไม่ยาก แต่หากครั้งนี้ไม่สำเร็จจะทำอย่างไร” เงาร่างชายหลังค่อมหัวเราะหึๆ ออกมา ใช้น้ำเสียงเย็นชาขณะเอ่ยถาม
“หากสองครั้งแล้วยังไม่อาจเรียกสำเร็จได้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตแห่งนี้แล้ว เราสองคนจะกลับในทันที เงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า ก็จะไม่เสียใจเลย” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
ในเวลาเดียวกันกับที่ชนต่างเผ่าเอ่ยนั้น มนุษย์ตาปลาที่อยู่ด้านข้างก็เงียบกริบไม่ปริปาก ดูเหมือนว่าจะยอมรับคำกล่าวนี้โดยดุษณี
“เยี่ยม! มีคำรับปากของสหายก็พอแล้ว พวกเราจะช่วยอีกครั้งหนึ่ง พวกเจ้าอย่าใช้อารมณ์เลย จะต้องลงมือกันอีกครั้ง” เงาร่างชายหลังค่อมใช้น้ำเสียงออกคำสั่งอยู่ครึ่งหนึ่ง ขณะเอ่ยกับคนอื่นๆ
จะว่าไปแล้วก็แปลก! เผ่าระดับสูงของเผ่าวิญญาณเหาะเหินอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี้ ต่างก็ไม่มีท่าทีไม่พอใจเลยสักนิด ทยอยกันพยักหน้าอย่างเงียบเชียบ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ผิวของทะเลสาบโลหิตก็เริ่มมีระลอกคลื่นเกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันไอสีดำเป็นกลุ่มๆ ก็ทยอยกันก่อตัวขึ้นที่ผิวของทะเลสาบ ในเวลาเดียวกันทะเลหมอกสีโลหิตก็เริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนแท่นบรวงสรวงตรงใจกลางของทะเลสาบโลหิตนั้น พลันถูกหมอกโลหิตปกคลุมเอาไว้ ด้านในมีเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้น
……
หลังจากความเจ็บปวดราวกับจะฉีกศีรษะออกเป็นสองส่วนส่งมา ในที่สุดหานลี่ก็ได้สติฟื้นขึ้นมาอย่างเงียบๆ
เขารู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามืดดำ ทันใดนั้นก็พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น กลับรู้สึกว่าหนังตาหนักอึ้งดุจภูเขาไท่ซาน ไม่อาจเบิกตาขึ้นได้เลยสักนิด
ครานี้หานลี่ตกตะลึงไปไม่น้อย แล้วรู้สึกว่าตัวเองดูเหมือนว่าจะนอนแผ่หราอยู่ ครานี้จึงหมายจะลุกขึ้นนั่งให้ตรง แต่ไม่อาจกระดิกนิ้วได้เลยแม้สักกระผีก
หานลี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ฝืนระงับความเจ็บปวดเอาไว้ นึกถึงความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ จึงรีบร้อนตรวจสอบจุดต่างๆ ในร่างกายของตนเอง
ผลคือทำให้เขาอดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมาไม่ได้
ครานี้เขาไม่เพียงจะสูญเสียโลหิตบริสุทธิ์ไปกว่าครึ่ง ลมปราณในร่างยังว่างเปล่า สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ สาเหตุที่ปวดหัวมากก็เพราะจิตสัมผัสได้รับบาดเจ็บ จนเหลือเพียงสองในสิบส่วนเท่านั้น
และสาเหตุที่ทุกอย่างเกิดขึ้นนี้ กลับเป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่นานเขาโบกสะบัดกระบี่ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ตนเองโบกสะบัดสมบัติกระบี่ที่สร้างขึ้นจากผลสวรรค์ทมิฬแล้ว หัวใจของหานลี่ก็สั่นคลอนไปมา ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าโชคดีจังอยู่ในใจ!
พอโบกกระบี่เล่มนั้นออกไป ก็แทบจะทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ไม่เพียงจะตัดการส่งตัวออก ทำได้กระทั่งกรีดผ่ามิติ แต่มูลค่าของการออกกระบี่เล่มนี้มันล้ำค่าเกินไป ไม่เพียงลมปราณจะถูกสูบไปจนเกลี้ยง แม้แต่พลังจิตสัมผัสก็ถูกกระบี่เล่มนี้สูบเข้าไปเช่นกัน นี่จึงทำให้เขาช่องว่างมิติที่ฉีกขาดดูดเข้ามาในเวลาเดียวกัน จึงสลบไสลไม่ได้สติ
ทว่าตอนนี้ย้อนนึกไปแล้ว การตวัดกระบี่จากผลสวรรค์ทมิฬออกไปนั้น กระตุ้นพลังอานุภาพได้เพียงผิวเผิน อานุภาพของกระบี่เล่มนี้ก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับพลังปราณ จิตสัมผัสที่ถูกสูบเข้าไป เกี่ยวข้องแม้กระทั่งกับโลหิตบริสุทธิ์ที่ไหลออกไปก่อนหน้านี้
หานลี่ขบคิดคาดคะเนอยู่ในใจ
แต่เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ร่างกายของตนเองกำลังแย่ ความร้อนรนในใจของหานลี่ก็น้อยลงไปเป็นอย่างมาก ไม่ว่าโลหิตบริสุทธิ์หรือว่าลมปราณและจิตสัมผัส ล้วนไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่ถึงแก่ชีวิต ขอแค่กินยาลูกกลอนเข้าไป รักษาอาการบาดเจ็บสักสองสามปี ก็ฟื้นฟูได้ดังเก่าแล้ว
ส่วนรอบข้างดูเหมือนจะเงียบสงัด อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะกล่าวได้ว่ารอดพ้นจากอันตรายแล้ว
แม้ว่าสองตาของเขาจะไม่อาจเปิดขึ้นได้ จิตสัมผัสก็ไม่อาจแผ่ออกไปนอกร่างได้ แต่จากความชื้นในอากาศและกลิ่นเค็มจางๆ ที่พัดมาตามสายลมแล้ว ก็ยังคงทำให้ตัดสินได้ว่าตนเองอยู่ในชายหาดใดสักแห่ง ส่วนความอ่อนนุ่มใต้ร่างนั้น กลับดูเหมือนว่าจะเป็นทุ่งหญ้า
หรือว่าไม่ได้ถูกส่งตัวมาไกลนัก!
ในใจพลันรู้สึกฉงน ภายใต้ความคิดที่เคลื่อนคล้อยไปมาของหานลี่ พลันมีความรู้สึกกังวลใจผุดขึ้นมา แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ของร่างกายหรือว่าลมปราณก็ทำให้เขาไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้เลยสักนิด จึงทำได้เพียงนอนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ เปลือกตาของหานลี่ขยับ ฝืนปรือตาขึ้นเป็นเส้นบางๆ สายหนึ่ง
ชั่วขณะนั้นท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนผืนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นสู่สายตา
ไม่เห็นเมฆโลหิตประหลาดนั่น หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็วางใจได้แล้ว
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หานลี่จึงสามารถขยับคอได้ และสามารถหันมองซ้ายขวาได้ว่าตนเองอยู่ที่ใด
ราวกับอยู่ในหุบเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง สามด้านเป็นเนินเขาเตี้ยๆ ด้านหนึ่งเป็นทางออกแคบๆ ทั้งหุบเขามีพื้นที่ไม่ถึงพันจั้งเศษเท่านั้น ส่วนที่เขาตกลงมาน่าจะเป็นตรงใจกลางของหุบเขา
หานลี่เผยรอยยิ้มออกมาในแววตา มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย แต่ครานี้กลับทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องกัดฟันแน่น เวลานี้เขาถึงได้พบว่ากล้ามเนื้อทั่วสรรพางค์กายเริ่มปวดเมื่อยเป็นอย่างมาก
นี่คือความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหลังจากที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์
ดูแล้วการกระตุ้นผลสวรรค์ทมิฬ สิ่งที่ถูกสูบไปนอกจากลมปราณและจิตสัมผัสแล้ว ดูเหมือนว่าอะไรสักอย่างในร่างกายจะถูกดูดไปจนเกลี้ยงเช่นกัน มิเช่นนั้นจากความแข็งแกร่งในกายเนื้อของเขา คงไม่เหมือนกับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เมื่อขบคิดในใจแล้ว หานลี่ก็ยังคงนอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งวัน หานลี่สามารถขยับนิ้วบางนิ้วบนแขนข้างหนึ่งได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะฟื้นกำลังวังชากลับมานิดหน่อยแล้ว
ชั่วขณะนั้นใบหน้าของหานลี่พลันเผยสีหน้ายินดีออกมา แต่ยังไม่ทันให้รอยยิ้มของเขาเผยออกมาก็แข็งค้างไป
เพราะในเวลานี้นอกหุบเขามีเสียง ตึงๆ จากสิ่งของหนักอึ้งตกลงกระทบพื้นดังขึ้น ร่างกายรู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์กำลังเดินมุ่งเข้ามาที่หุบเขาขนาดย่อมนี้
หานลี่เหลือบตามองด้านข้าง ชั่วขณะนั้นพลันจ้องไปยังทางเข้าหุบเขาเขม็ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเป็นพิเศษ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์สูงสิบจั้งเศษตนหนึ่งพลันบุกเข้ามาในหุบเขา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นปูยักษ์ที่รอบกายเต็มไปด้วยหนามแหลมๆ
ดวงตาของปูตัวนี้เปล่งแสงสีเขียววิบวับ เปลือกแข็งหุ้มกายแผ่ลำแสงสีเขียวเข้มออกมา ราวกับว่าสวมเกราะสงครามสีเขียวชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน ส่วนหนามแหลมๆ บนเกาะสงครามนั้น แน่นอนว่าย่อมทำให้ทุกคนสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง อดที่จะสั่นสะท้านเพราะความหวาดผวาไม่ได้
ในคราแรกเห็นได้ชัดว่าปูยักษ์ไม่ได้สนใจการมีอยู่ของหานลี่ เอียงคอไปด้านข้างแล้ววิ่งไปทางเนินเขาอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ก็ไปถึงจุดหนึ่งของกำแพงภูเขา จากนั้นก้ามยักษ์ทั้งสองก็คีบก้นอหินสีเขียวเทาที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาหนึ่งก้อน โยนเข้าไปในปากอันใหญ่โตของมัน
ปากเปล่งเสียงเคี้ยว กร้วมๆ ออกมา ทำให้ผู้คนพากันขนลุกซู่
เห็นปูยักษ์ไม่ได้ทำอะไรตน หานลี่พลันผ่อนคลายลง สีหน้าเคร่งเครียดคลายลงไปหลายส่วน
หลังจากที่ปูยักษ์กลืนก้อนหินสิบกว่าก้อนลงไปแล้ว ฉับพลันนั้นดวงตาพลันเปล่งแสงสีเขียว หันกายมาในฉับพลัน คาดไม่ถึงว่าจะเผชิญหน้ากับหานลี่
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง ประสานสายตาเข้ากับปูยักษ์
คาดไม่ถึงว่าปากของปูยักษ์จะเปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ดัง ซือๆ ออกมา จากนั้นพลันโบกสะบัดก้ามยักษ์ทั้งสอง พุ่งตรงเข้ามาหาหานลี่อย่างดุดัน
หานลี่มีสีหน้าเคร่งเครียดไร้ที่เปรียบ แววตาฉายแววเย็นชาสว่างวาบ จ้องเขม็งไปยังปูยักษ์ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก คาดไม่ถึงว่าจะไม่เผยท่าทีหวาดกลัวลนลานออกมาเท่าใดนัก!