“หากคนผู้นี้บรรลุระดับผู้บัญชาการวิญญาณจริงๆ ก็จะมีกำลังช่วยพวกเราคลายผนึกได้มิใช่หรือ!” งูหลามยักษ์สามหัวเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ
“ตามหลักการแล้วก็เป็นเช่นนี้ แต่เหตุใดอีกฝ่ายจะต้องช่วยพวกเราล่ะ?” อสูรน้อยหัววัวแววตาเปล่งประกายรอคอย แต่ก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว และเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นว่า
“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่อยู่ในหมอกอเวจีทมิฬผู้นั้น เขาถึงได้ทิ้งพวกเราไป พวกเราติดต่อเขาไม่ได้มาร้อยกว่าปีแล้ว หากยังไม่ลองดูอีกล่ะก็ วันข้างหน้าพวกเราก็มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว” ”วานรสีทองที่ไม่ได้เอ่ยอะไรตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ด้านข้าง เบะปากเอ่ยขึ้น
“อืม ความหมายของสหายทั้งสองคือ…” อสูรน้อยหัววัวมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนใบหน้า
“หากคนผู้นี้บรรลุระดับขั้นสำเร็จ พวกเราก็ลองมอบสมบัติชิ้นนั้นให้คนผู้นี้ ให้เขาช่วยพวกเราคลายผนึก จากนั้นก็หนีไปให้ไกลเป็นอย่างไร?” วานรยักษ์เอ่ยด้วยเสียงทุ้ม
“ของชิ้นนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาระดับของพวกเราในภายภาคหน้า จะเอาไปให้คนนอกหรือ? หากเขาเก็บไปแล้วเปลี่ยนใจไม่คลายผนึกให้พวกเรา จะไม่แย่ไปใหญ่หรือ” อสูรน้อยหัววัวลังเลเล็กน้อย
“หากแม้แต่ชีวิตก็ยังไม่มี ต่อให้ของจะดีขนาดไหน พวกเราจะเก็บเอาไว้ทำประโยชน์อะไร ส่วนอย่างหลังนั้น คนผู้นี้ไม่ใช่คนเผ่าเดียวกันกับพวกเรา แต่จากการแลกเปลี่ยนสองสามครั้งก่อน ก็นับว่ายุติธรรมอยู่ คงไม่ไม่รักษาสัญญาหรอก ต่อให้เสี่ยงไปหน่อย จากสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้หากไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ ก็อาจจะเสียใจในภายหลังได้ คนผู้นี้คือผู้ที่มาจากภายนอก ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่” งูเหลือมยักษ์สามหัวร้อนรนเล็กน้อย และใช้หางยักษ์สะบัดไปบนพื้นดินด้วยความหงุดหงิดใจ จนกลายเป็นหลุมลึกสองสามฉื่อ
วานรสีทองฟังอยู่ด้านข้าง ก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
“ในเมื่อสหายทั้งสองคิดเช่นนี้ ข้าเองก็จะไม่โต้แย้ง แต่ตอนนี้ดูว่าคนผู้นั้นจะบรรลุระดับได้หรือเปล่าแล้วค่อยว่ากันเถิด หากล้มเหลวล่ะก็ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์” อสูรน้อยหัววัวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ยอมรับเรื่องนี้โดยดุษณี
แน่นอนว่าอสูรที่เหลืออีกสองตัวย่อมเห็นด้วย ทันใดนั้นก็ไม่ได้เอ่ยซักไซ้อะไรอีก ล้วนมองไปยังปรากฎการณ์ที่อยู่ไกลออกไปด้วยความกังวลใจ
ครานี้เมฆวงแหวนสีขาวบนยอดเขาห้าสีพลันขยายออกไปรอบด้านทีละนิดๆ ดูเหมือนค่อยๆ ขยายออกไป แต่ทุกวินาทีล้วนมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้นสองสามลี้
แค่ชั่วครู่เมฆวงแหวนก็ใหญ่จนสามารถปกคลุมภูเขายักษ์ทั้งลูกเอาไว้ได้แล้ว
เมื่อเมฆวงแหวนเปลี่ยนแปลงไป พายุหมุนด้านในก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ไม่อาจต้านทานได้
ม่านลำแสงห้าสีด้านล่างเริ่มถูกพายุหมุนดูดเข้าไปด้วยความเร็วที่น่าพรั่นพรึง ม่านลำแสงที่ปกคลุมภูเขายักษ์ค่อยๆ บางตาลง
และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า หมอกลำแสงห้าสีที่รวมตัวกันไปหาภูเขายักษ์จากรอบด้านก็เริ่มบางตาลง ในที่สุดไอวิญญาณฟ้าดินที่กลายเป็นลำแสงวิญญาณเหล่านี้ก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว และถูกพายุหมุนม้วนกวาดไป ทยอยกันจมหายเข้าไปในวงแหวนเมฆา
วงแหวนยักษ์ตรงตีนเขาดูคล้ายกับชามยักษ์ที่มีแสงห้าสีปรากฎขึ้นที่ก้นชาม
เมื่อม่านลำแสงชั้นสุดท้ายของภูเขายักษ์หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว พายุหมุนพลันหยุดชะงัก กลางวงแหวนเมฆาเงียบสงัด มีเพียงลำแสงห้าสีกระพริบวาบๆ อยู่บางจุดในวงแหวน ราวกับความเงียบสงบก่อนคลื่นลมพายุจะโหมกระหน่ำอย่างไรอย่างนั้น
ฉับพลันนั้นเสียงร้องแหลมสูงราวกับเสียงมังกรคำรามพลันดังออกจากส่วนลึกของภูเขายักษ์ ยอดเขายักษ์มีลำแสงสีทองสว่างวาบ พระพุทธรูปยักษ์สามเศียรหกหัตถ์ปรากฎขึ้น
ร่างของพระพุทธรูปสูงถึงพันจั้ง เรือนร่างเปล่งแสงสีทองเรืองรอง ราวกับของจริงอย่างไรอย่างนั้น เศียรทั้งสามเงยขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้าที่เลือนรางแต่เดิมมีลำแสงสีทองเจิดจ้าสองดวงปรากฎขึ้น พากันเบิกตาสีทองแดงที่ไร้ซึ่งความรู้สึกออกมาคู่หนึ่ง พลางจ้องเขม็งไปยังในวงแหวนเมฆาพร้อมกัน
ฉับพลันนั้นเศียรทั้งสามพลันสั่นเทาพร้อมกัน เสียงกรีดร้องแหลมสูงราวกับผลึกทองคำสามเสียงดังออกมาจากปากอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับทั่วท้องฟ้ามีอสนีฟ้าฟาดอย่างไรอย่างนั้น
เหล่าอสูรธรรมดาที่อยู่ไกลออกไปยังพอว่า เมื่อได้ยินเสียงนี้นอกจากจะตกใจจนขวัญกระเจิงแล้ว ก็ไม่มีท่าทีผิดแผกไป ส่วนอสูรปีศาจระดับกลางและต่ำที่มีพลังปีศาจอยู่ในร่างแล้ว ก็รู้สึกเพียงว่าสองหูอื้ออึง ราวกับอยู่ท่ามกลางคลื่นพายุ จิตสัมผัสว่างเปล่าไปชั่วขณะ ไม่อาจไตร่ตรองสิ่งอื่นใดได้
เสียงกรีดร้องยาวๆ ของพระพุทธรูปยักษ์ดังต่อเนื่องไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชาแล้วถึงได้หยุดลง จากนั้นพระหัตถ์ทั้งหกพลันร่ายอาคม
หลังจากเสียงอึกทึกดัง “ครืนๆ” ดังขึ้น ลำแสงหลากสีรอบด้านพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ภาพลวงตาที่มีขนาดแค่ครึ่งของพระพุทธรูปสี่ภาพพลันปรากฎขึ้น
วิหคยักษ์สีเขียวตัวหนึ่ง นกยูงห้าสีตัวหนึ่ง มังกรวารีสีทองห้ากรงเล็บตัวหนึ่ง รวมทั้งหงส์หลากสียักษ์ตัวหนึ่ง
เมื่อภาพลวงตาวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสี่ปรากฎขึ้น ทุกตนล้วนเปล่งเสียงร้องราวกับเสียงเพรียกของหงส์และมังกรคำรามออกมา จากนั้นบ้างก็สยายปีกออก บ้างก็สะบัดหัวสะบัดหาง บินฉวัดเฉวียนล้อมรอบพระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์เอาไว้
ใบหน้าที่หน้าตาลางเลือนไม่ชัดเจนสองหน้าของพระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์พลันมีสายฟ้าสว่างพร่าง ชั่วครู่ก็ชัดเจนขึ้น คาดไม่ถึงว่าหน้าตาธรรมดาๆ ของหานลี่จะปรากฎขึ้นพร้อมกัน
ดวงตาบนใบหน้าทั้งสองเปล่งลำแสงสีทองสว่างวาบ สีหน้าเคร่งขรึมมาก ไม่รู้เพราะเหตุใดมีเพียงเศียรสุดท้ายที่ยังมีใบหน้าเลืองราง ไม่อาจมองให้กระจ่างได้เลยสักนิด
ใบหน้าหนึ่งเปล่งเสียงตะโกนออกมา เงาลวงตาของวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสี่ที่อยู่รอบด้านพลันหยุดชะงัก จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางตรงไปหาร่างอันใหญ่ยักษ์ของพระพุทธรูป
ผลคือลำแสงสว่างวาบ เงาลวงตาทั้งสี่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ร่างของพระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์สั่นคลอน ทันใดนั้นหัตถ์ทั้งหกพลันโบกสะบัด เรือนร่างที่มีลำแสงสีทองไหลเวียนอยู่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
เดิมทีร่างสูงพันจั้ง ชั่วครู่ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนสูงกว่าภูเขายักษ์ด้านล่างหนึ่งช่วงศีรษะ
ครานี้เงาสีทองบาทเหยียบอยู่บนพื้นดิน เศียรทะลุเมฆ สองหัตถ์ยกขึ้น ราวกับว่าสามารถยื่นแขนเข้าไปในม่านลำแสงในวงแหวนเมฆาได้
และในตอนนั้นเองเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตอันไพเราะก็ดังออกมาจากเศียรเศียรหนึ่งที่เผยเครื่องหน้าออกมา จากนั้นเศียรทั้งหกก็ชี้ไปยังที่ว่างในวงแหวนทรงกลมพร้อมกัน
ชั่วขณะนั้นวงแหวนเมฆาที่เดิมเงียบสงัด ก็มีการเคลื่อนไหว
หมอกลำแสงสว่างวาบ วงแหวนเมฆายักษ์ลดระดับลงมาอย่างเงียบเชียบ ปกคลุมพระพุทธรูปยักษ์ทั้งหมดเอาไว้ และลดระดับจนมาถึงช่วงเอวของพระพุทธรูป แล้วหยุดชะงักลง
แต่เมื่อสิ่งนี้ล้อมรอบพระพุทธรูปอยู่ ก็หมุนโคจรไปมาไม่หยุด
ฉากที่น่าอัศจรรย์พลันปรากฎขึ้น!
ม่านลำแสงทั้งห้าในวงแหวนทรงกลมทะลักเข้าไปในร่างของพระพุทธรูป ทำให้ครานั้นร่างของพระพุทธรูปเปลี่ยนจากสีทองกลายเป็นสีสันงดงามราวกับสีเคลือบเงา
ท่ามกลางกระบวนการนั้น ร่างของพระพุทธรูปก็สั่นคลอนไปมาไม่หยุด ใบหน้าสองหน้าเผยสีหน้าแห่งความเจ็บปวดรวดร้าวออกมา ราวกับว่าทุกครั้งที่หมอกลำแสงห้าสีทะลวงเข้าไปในร่างส่วนหนึ่ง ก็จะทำให้เจ็บปวดยิ่งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
และระดับในการทะลวงเข้าไปของหมอกลำแสงก็น่าตกตะลึงยิ่งนัก!
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ม่านลำแสงทั้งหมดในวงแหวนเมฆาก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้กระทั่งเมฆาวิญญาณสีขาวนวลตรงขอบ เมื่อพระพุทธรูปเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา ก็กลายเป็นลูกบอลลำแสงสีขาวนวลสองสามร้อยลูกและลอยคลอเคลียไปมาอยู่รอบๆ
ครานี้เศียรทั้งสามอ้าปากออกพร้อมกัน พ่นหมอกลำแสงสีทองออกมา คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันสูบลูกบอลลำแสงสีขาวเหล่านี้เข้าไปในท้อง และไม่แยกออกจากกันอีก
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น สีหน้าเจ็บปวดบนใบหน้าของพระพุทธรูปก็ลดลงไปไม่น้อย แต่ก็หดตัวเล็กลงอย่างฉับพลันท่ามกลางสีเคลือบมันวาวที่ไหลโคจรไปมาอยู่บนผิว
ชั่วพริบตาพระพุทธรูปที่ดูเหมือนภูเขายักษ์ก็กลายเป็นเงาร่างคนธรรมดาที่ถูกม่านลำแสงห้าสีห่อหุ้มเอาไว้เป็นชั้นๆ
เงาร่างคนนี้นั่งสมาธิอยู่เหนือภูเขา สองมือร่ายอาคม ลอยอยู่กลางอากาศนิ่งไม่ปริปากใดๆ
พลังแรงกดและปรากฎการณ์บนท้องฟ้าหายวับไปอย่างไม่เหลือร่องรอย ราวกับทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างไรอย่างนั้น
เหล่าอสูรและปีศาจระดับกลางและต่ำที่อยู่ไกลออกไปถึงได้ทยอยกันหายจากความตระหนกตกใจ
เหล่าอสูรธรรมดาปีนขึ้นมาจากบนพื้นดิน หลังจากร้องคร่ำครวญสองสามครั้ง ก็ทยอยกันวิ่งกรูกันเข้าไปที่รังของตนเองอย่างหวาดผวา ไม่กล้ามองไปทางภูเขายักษ์อีกเลยแม้แต่แวบเดียว
อสูรปีศาจระดับต่ำที่เพิ่งพัฒนาระดับขั้นต่างๆ ราวกับได้รับพระราชทานอภัยโทษอย่างไรอย่างนั้น ล้วนขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีหลีกลี้หนีไปไกล
“เป็นอย่างไรบ้าง คนผู้นี้บรรลุระดับสำเร็จหรือไม่?” สถานการณ์ของอสูรน้อยหัววัวและเหล่าอสูรปีศาจระดับกลางสองสามตนยังดีหน่อย แต่วานรสีทองตนนั้นที่เมื่อครู่ทำได้เพียงฝืนยืนให้ตรงเอาไว้ในครานี้กลับเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ไม่รู้สิ การบรรลุระดับผู้บัญชาการวิญญาณของคนผู้นั้นน่าจะยังไม่เสร็จสิ้น ปรากฎการณ์น่าตกใจบนท้องฟ้าเมื่อครู่ เป็นแค่สิ่งที่คนผู้นี้ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆ ไปใช้เท่านั้น อย่ามองว่าครานี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นี่ถึงจะก็ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการทะลวงระดับ” อสูรน้อยหัววัวดูเหมือนจะรู้อะไรมาเล็กน้อย มองไปยังเงาลำแสงห้าสีสายนั้นที่อยู่เหนือภูเขายักษ์ด้วยแววตาแปลกประหลาด ปากก็เอ่ยพึมพำออกมาอย่างเชื่องช้า
งูเหลือมยักษ์สามหัวและวานรปีศาจได้ยินคำนี้ต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และอดไม่ไหวมองไปทางภูเขายักษ์อีกแวบหนึ่ง
“พวกเราไปกันเถิด! การทะลวงจุดคอขวดของคนผู้นี้ไม่มีทางเสร็จสิ้นได้ในเวลาอันสั้น เดาว่าอย่างน้อยก็สองสามวัน มากหน่อยก็สองสามเดือน หากพวกเราอยู่ที่นี่นานนัก อาจจะไปละเมิดข้อห้ามของคนผู้นี้โดยง่าย กลับจะกลายเป็นความโง่เขลา!” อสูรน้อยหัววัวดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา
อสูรที่เหลืออีกสองตนได้ยิน พลันใจหายวาบ และเอ่ยสนับสนุนเช่นกัน
ทันใดนั้นปีศาจทั้งสามก็ม้วนตัวขึ้นไปพร้อมกับพายุปีศาจ แล้วพุ่งตรงไปยังทิศทางตรงข้ามทันที
หลังจากผ่านไปชั่วครู่พายุปีศาจก็หายวับไปจากขอบฟ้า ไม่เห็นร่องรอยใดๆ อีก
เงาร่างคนที่อยู่กลางม่านลำแสงห้าสีเหนือภูเขายักษ์ แค่หลับตาทั้งสองข้างลง ท่าทางเหมือนไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ราวกับไร้ความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น
หนึ่งวัน สองวัน ห้าวัน สิบวัน…
เวลาผ่านไปสองเดือนเต็ม เงาร่างของคนผู้นี้ยังคงลอยอยู่เหนือภูเขา ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
มีเพียงม่านลำแสงห้าสีที่ปกคลุมเงาร่างคนอยู่นั้น ที่เปล่งแสงเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ปีศาจระดับกลางที่แอบมาวนเวียนสองสามครั้งเห็นแล้วอดที่จะร้องชมว่าสุดยอดไม่ได้ ในเวลาเดียวกันพวกมันก็รู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
ทว่าช่วงเวลานี้บางครั้งเหล่าอสูรที่ลืมปรากฎการณ์บนท้องฟ้าก่อนหน้าไปแล้วก็บุกทะลวงเข้ามาในอาณาเขตร้อยลี้ของภูเขายักษ์ แต่กลับมีหมอกสีขาวปรากฎขึ้นแล้วทยอยกันหายวับไป
รอบๆ ภูเขายักษ์ถูกคนวางเขตอาคมขนาดใหญ่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเข้าใจใกล้ใจกลางมากเท่าไหร่ อานุภาพของเขตอาคมก็จะยิ่งลึกลับมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือน ร่างของเงาร่างคนในม่านลำแสงก็สั่นเทา หมอกลำแสงห้าสีที่ผิวหมุนโคจรเป็นระลอกๆ ในที่สุดก็ลืมตาขึ้น
จากนั้นเสียงกรีดร้องยาวๆ ก็หลุดออกมาจากปากของเงาร่างคน!
เสียงกรีดร้องครั้งนี้ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์อะไรแฝงอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงกรีดร้องแห่งความยินดี
เมื่อเสียงกรีดร้องหยุดลงไปชั่วครู่ เงาร่างคนก็หยัดกายลุกขึ้น โบกแขนทั้งสอง ม่านลำแสงห้าสีรอบๆ กลายเป็นดวงลำแสงวิญญาณสลายหายไป
จากนั้นสองมือของเงาร่างคนพลันร่ายอาคม แผ่นหลังมีปีกขนนกคู่หนึ่งปรากฎขึ้น หลังจากเสียงฟ้าฟาดดังขึ้น คนก็หายวับไปจากกลางอากาศ