คราเมื่อชายหนุ่มเห็นสถานการณ์ที่แปลกพิสดารของหานลี่พลันตะลึงงัน แต่ร่างกลับไม่หยุดยั้ง ไม่ทันได้กระโจนไปเบื้องหน้า มีดสองเล่มที่อยู่เบื้องหน้าก็สับลงมาเป็นกากบาทไขว้
ชั่วขณะนั้นมีดลำแสงสีดำทมิฬสองสายพลันสับไขว้เป็นตัวเลขสิบ (十)
เมื่อมีดลำแสงปรากฎขึ้นม่านหมอกสีดำในบริเวณรอบหมุนวน ทะลักไปอยู่เหนือมีดลำแสง
ชั่วพริบตามีดลำแสงสองสายก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่เบื้องหน้าของหานลี่
หานลี่หางตากระตุก สองมือเริ่มเลือนราง ฉับพลันนั้นพลันมีกระบี่ยาวสีทองสองเล่มปรากฎขึ้น สะบัดข้อมือออก โผเข้าไปหามีดลำแสงอย่างไม่เกรงใจ
เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น ผิวของกระบี่ยาวมีประจุไฟฟ้าสีทองพันรัดอยู่
เสียง “แกรก” ดังขึ้นสองครั้ง เมื่อมีดลำแสงสีดำและลำแสงอัสนีสีทองปะทะกัน ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วสลายหายไป ราวกับถูกข่มเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
“เอ๋” ชายหนุ่มพลันตกตะลึง
มุมปากของหานลี่กลับเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่อัญเชิญมีดลำแสงออกมามีไอมารชั่วร้ายผสมอยู่ไม่น้อย มิเช่นนั้นแม้ว่ากระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาของเขาจะแหลมคม ก็ไม่อาจถูกกำจัดไปอย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน
เช่นนั้นคนผู้นี้จึงลงมือกับตนเองแต่กลับเป็นการรนหาที่ตายเสียแล้ว
ความคิดของหานลี่แล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอให้ชายหนุ่มได้สติจากการตะลึงตะไล ปีกผลึกห้าสีที่แผ่นหลังก็กระพือ ระเบิดรัศมีลำแสงห้าสีออกมาจากร่าง
ลำแสงนี้เจิดจ้าจนแสบตา หมุนคว้างรอบหนึ่ง รัศมีห้าแสงเปล่งแสงกระพริบระยิบระยับ ราวกับว่าดวงตะวันปรากฎออกมาจากร่างของหานลี่ก็ไม่ปาน
“เหวอ”
แม้ว่าชายหนุ่มจะมีร่างเป็นครึ่งปีศาจครึ่งภุต ดวงตาปะทะกับลำแสงที่แก่กล้านี้ ก็ก็อดที่จะหลับตาทั้งสองข้างลงตามจิตสำนึกไม่ได้ ในเวลาเดียวกันก็รับรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วจึงหยุดชะงักร่างกายที่โผเข้ามา ออกแรงตบเท้าพุ่งกลับไปด้านหลังราวกับลูกธนู
จากท่าทีของเขาดูเหมือนจะรวดเร็วกว่าครั้งก่อนสองสามส่วน
ครานี้รัศมีลำแสงห้าสีมีเสียงระเบิดดังออกมา จากนั้นด้านหลังของชายหนุ่มก็มีประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งกระพริบวาบ ร่างของหานลี่ปรากฎขึ้นอย่างแปลกประหลาด
สองแขนเคลื่อนไหว เสียงแหวกอากาศดังมา กระบี่ยาวสองเล่มกลายเป็นลำแสงสีทองสองสายสับลงมา
ชายหนุ่มไม่ได้ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น จิตสัมผัสเชื่องช้าลงไปเล็กน้อย แต่การโจมตีที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ แน่นอนว่าจะไม่รู้ได้อย่างไร
ไม่ทันได้ขบคิดโยนมีดทั้งสองในมือไปทางด้านหลัง กลายเป็นลำสแงสีดำสองสายพุ่งออกไป
จากนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ชั่วพริบตาผิวหนังบนร่างพลันสลายหายไปราวกับขี้เถ้า เผยโครงกระดูกแวววับราวกับหยกขาวออกมา
หลังจากที่ร่างโครงกระดูกสั่นไหว ก็เปล่งลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งออกมา ปกป้องร่างของเขาเอาไว้
หลังจากเสียงฟ้าร้อง “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น กระบี่ยาวสองเล่มก็กลายเป็นลำแสงสีทองถูกมีดทั้งสองต้านทานเอาไว้
หานลี่ไม่แปลกใจกับสิ่งนี้เลยสักนิด!
ปีศาจระดับหลอมสูญตนหนึ่งใช้ร่างเดิมทำให้เป็นอาวุธมีด หากไม่มีอานุภาพกลับจะเป็นเรื่องแปลกเสียกว่า เดิมทีเขาก็ไม่หวังว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มจะสังหารปีศาจตนนี้ได้อยู่แล้ว
ชั่วพริบตารูปปั้นพรามหณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ที่แผ่นหลังก็สับกระบี่สองเล่มออกมา โบกสะบัดแขนทั้งหก ชั่วขณะนั้นเงากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ผลิบานออกมาทั้งสี่ด้านราวกับดอกบัวสีทอง เมื่อขยับอีกครั้งก็โจมตีไปยังม่านลำแสงสีขาวราวกับห่าฝน
ดูเหมือนจะเป็นเงากำปั้นธรรมดาสามัญ ทุกการโจมตีล้วนแฝงไปด้วยพลังเหนือชั้นที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาจากกายเนื้อของหานลี่
การโจมตีราวกับพายุฝนกระหน่ำในครั้งนี้ ล้วนเป็นการโจมตีที่อาศัยพลังดิบเถื่อน
ชั่วพริบตาที่เงากำปั้นโจมตีไปยังม่านลำแสงสีขาว ผิวของมันที่แต่เดิมดูเข้มข้นก็มีลำแสงสีขาวและเงาสีทองตัดสลับกันไปมาและสั่นเทา
คราที่ม่านลำแสงทั้งผืนถูกเงากำปั้นโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ก็ส่งเสียงปริแตกดังออกมา
และทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วลมหายใจเท่านั้น ปีศาจตนนั้นทำได้เพียงเอี้ยวตัวมา แล้วเบิกตาขึ้นเท่านั้น
มันที่เลือดเนื้อตรงผิวหายวับไป ลูกตากลวงโบ๋ เหลือเพียงเปลวเพลิงสีขาวสองกลุ่มกระพริบวาบๆ เท่านั้น
เมื่อเห็นการอาศัยม่านลำแสงปกป้องร่างกายแทบจะไม่อาจรับการโจมตีได้ ทันใดนั้นปีศาจตนนี้ก็ตกใจจนขวัญกระเจิง อ้าปากออกอย่างไม่ต้องขบคิด
ลำแสงสีดำเข้มราวกับน้ำหมึกสองสามสายพุ่งออกมาหาหานลี่ ในเวลาเดียวกันหน้าผากก็ระเบิดเสียงอึกทึกออกมา พ่นไข่มุกกลมสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งออกมา พุ่งไปกลางอากาศ
ส่วนร่างกระดูกสีขาวที่อยู่ที่เดิมของเขากลับเริงระบำ ชั่วครู๋ก็ผนึกโล่กระดูกสีขาวออกมา พุ่งตามไข่มุกกลมไปติดๆ ท่าทางคอยสกัดกั้นอยู่เบื้องหลัง
นับว่าปีศาจตนนี้มีปฏิกิริยายาตอบสนองรวดเร็ว เมื่อเห็นหานลี่มีวรยุทธ์ที่น่าตกใจ ตนเองรู้ว่าสู้ไม่ได้ ก็คิดจะหนีในทันที
มันฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ในหมอกอเวจีทมิฬมาหลายปี จึงรู้สึกว่าหากดึงระยะห่างออกมา ก็สามาระสลัดหานลี่ทิ้งได้อย่างไร้ร่องรอยแล้ว
แต่ครานี้หานลี่มีจิตสังหารผุดขึ้นมาในใจแล้ว ปีศาจกำลังจะหนีไปต่อหน้าต่อตา เหลือไว้เพียงอันตราย
หลังจากแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เบื้องหน้าของเขาก็มีหมอกลำแสงสีเทาสว่างวาบ ลำแสงสีดำสองสามสายหมุนติ้วๆ ท่ามกลางลำแสงสีเทา แล้วหายวับไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
เงากำปั้นสีทองทั่วท้องฟ้าหายวับไป รูปปั้นพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้เปล่งแสงสีทองสว่างจ้า แขนทั้งหกหยุดชะงักไปเล็กน้อย ประจุไฟฟ้าหนาๆ หกสายปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือพร้อมกับเสียงฟ้าผ่า
ผนึกรวมตัวในเวลาเดียวกัน ประจุไฟฟ้าสีทองหกสายกลายเป็นทวนอัสนีสีทองหกด้าม
แขนลางเลือนอีกครั้ง ทวนสีทองทั้งหกกลายเป็นเส้นตรงสายหนึ่งพุ่งออกไป
เมื่อทวนสีทองสว่างวาบหายวับไป ก็ไปอยู่ใกล้กับโล่กระดูก อักขระรอบด้านไหลเวียนไปมา ปลายแหลมของทวนโจมตีไปบนนั้นอย่างรุนแรง
หลังจากเสียง “ปังๆๆ” ดังขึ้น โล่ลูกนั้นสั่นเทาขณะต้านทานทวนสีทองสามเล่มเอาไว้
เมื่อเล่มที่สี่ปักลงมา โล่ลูกนั้นก็ระเบิดออกอย่างไม่อาจต้านทานได้อีก
ทวนสีทองด้านหลังอีกสามเล่มทะลวงเข้ามาติดๆ กัน เล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ โจมตีไปยังไข่มุกเขียวที่อยู่ไม่ไกลนัก
ประจุไฟฟ้ากระพริบวาบ ไข่มุกกลมสีเขียวมรกตกระพริบวาบ เสียง “ปัง” ดังขึ้นแตกออกเป็นชิ้นๆ
เงาลวงตาอสูรขาวหัวโคตนหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในด้วยท่าทีตื่นตระหนก
ประจุไฟฟ้าสีทองกลับหกเล็กลงไปหาตรงกลางในเวลาเดียวกัน กลายเป็นตาข่ายไฟฟ้าที่หนาแน่นผืนหนึ่ง ชั่วครู่ก็ปกคลุมจิตวิญญาณดั้งเดิมของปีศาจเอาไว้
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากสายฟ้า ประจุไฟฟ้าที่ห่อหุ้มเงาอสูรขาวกระพริบวาบๆ ชั่วครู่ก็หายวับไป
มิคาดปีศาจที่เพิ่งพัฒนาระดับขั้นได้ไม่นานผู้นี้จะถูกหานลี่สังหารไปเรียบร้อยแล้ว
เป็นเพราะประการแรกคือปีศาจตนนี้เห็นหานลี่มีพลังยุทธ์แค่ระดับเทพแปลง แต่ทำตัวอวดดี อีกประการหนึ่งคืออิทธิฤทธิ์ของหานลี่แตกต่างจากคราที่ออกมาจากเกาะยักษ์แล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เสียเวลาฝึกฝนอะไรนานนัก แต่คาถาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้งที่ได้มาจากเผ่าวิญญาณสวรรค์ ต่อมาก็ได้เคล็ดวิชาอัญเชิญอัสนีมาจากเหวพสุธา ทำให้อานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ได้กินโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ของวิหคคุนเผิงและนกยูงห้าสีเข้าไป จึงทำให้ลมปราณของเขาถูกกระตุ้น และเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากโดยไม่รู้ตัว
แต่ก่อนที่จะบรรลุระดับเทพแปลง หานลี่ก็สามารถสังหารระดับหลอมสูญได้แล้ว ครานี้จึงไม่มีทางเห็นครึ่งปีศาจครึ่งภูตอยู่ในสายตาแน่
ประกอบกับที่ปีศาจตนนี้ดูเหมือนจะไม่มีสมบัติอะไรอยู่กับตัว แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คู่มือของหานลี่
หานลี่เห็นมองปีศาจที่ถูกสังหารตรงหน้า พิจารณาโครงกระดูกขาวที่ตกลงไปบนพื้นอย่างเย็นชา ดีดนิ้วร่ายคาถา ลูกบอลเพลิงสีแดงสดเม็ดหนึ่งดีดตัวออกไป
เสียง “ปัง” ดังขึ้น โครงกระดูกทั้งหมดของปีศาจลุกไหม้กลางเปลวเพลิง ชั่วครู่ก็หายวับไปอย่างไร้เงา
หานลี่ไม่ได้รั้งรออีก สาวเท้ายาวก้าวออกจากที่เดิม ชั่วครู่ร่างกายก็สลายหายไปท่ามกลางหมอกสีดำ
ครั้งนี้แม้ว่าจะสังหารคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย แต่การต่อสู้อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ เขากลับรู้สึกกลัดกลุ้มมา
แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้ว่าการลงมือครั้งนี้ จะเป็นการสังหารที่พึ่งพาอาศัยของเหล่าอสูรปีศาจระดับกลางที่ซ่อนตัวอยู่ในชีพจรภูเขาเร้นทมิฬ
ทำให้แผนเดิมของอสูรปีศาจเหล่านั้นที่คิดจะอาศัยพลังของครึ่งปีศาจครึ่งภูตตนนั้นทลายตราทาสของเผ่าวิหคสวรรค์ออก และได้รับอิสระ ถูกทำลายไปเป็นปลิดทิ้ง
ทว่าแน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ย่อมไม่เกี่ยวกับหานลี่มากนัก เขายังคงเดินไปยังขอบของม่านหมอกไปพลาง ครุ่นคิดถึงคาถากระบี่ชุดใหม่ไปพลาง
ครึ่งเดือนต่อมา ใกล้กับภูเขารกร้างแห่งหนึ่งตรงขอบของทะเลหมอก หมอกสีดำพลันหมุนวนเป็นเกลียว ลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน
จากนั้นพลันพวยพุ่งบินขึ้นไปบนท้องฟ้า กระพริบวาบสองสามคราก็มาถึงยอดภูเขารกร้าง ลำแสงอ่อนแสงลงแล้วเผยร่างเดิมออกมา
นั่นก็คือผู้ที่เพิ่งเดินออกมาจากทะเลหมอกอเวจีทมิฬอย่างหานลี่!
ในที่สุดเขาก็เดินออกจากทะเลหมอกอเวจีทมิฬ ทันใดนั้นพลันยืนอยู่บนก้องหินยักษ์สีขาวก้อนหนึ่งด้วยความตื่นเต้นดีใจ แหงนหน้าขึ้นผิวปากยาวๆ
เสียงผิวปากพุ่งขึ้นไปสูงลิ่ว ทำให้ท้องฟ้าในบริเวณเปล่งเสี่ยงหึ่งๆ ออกมา เมฆสีขาวที่อยู่สุงขึ้นไปหมุนวนไปมา
ครานี้หานลี่ถึงได้กวาดสายตาไปรอบๆ และรู้ว่าตนเองอยู่ในอาณาเขตของเกาะยักษ์แล้วอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป
กระพริบวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีกลายเป็นจุดสีดำบนท้องฟ้า หลังจากกระพริบวาบๆ ก็หายวับไป
เพราะว่าอยู่ในส่วนลึกของชีพจรภูเขาทมิฬ เบื้องหน้าภูเขายักษ์ที่ถูกม่านหมอกสีขาวปกคลุมแห่งหนึ่ง ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลง ร่างของหานลี่ปรากฎขึ้นตรงตีนเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมองภูเขาลูกนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยังคงเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ออกเดินทางเลยสักนิด
พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายคาถา
ชั่วขณะนั้นไอหมอกสีขาวเบื้องหน้าก็ลอยเป็นเกลียว จากนั้นก็ปรากฎตัวที่ทางเดินสายหนึ่ง
ร่างกายพลิ้วไหว หานลี่ขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีไปอย่างไม่รีบร้อน บินเข้าไปข้างใน
เมื่อเข้าไปในถ้ำพำนัก หานลี่ก็ไปดูที่สวนสมุนไพรเป็นอันดับแรก
เมื่อเขาเห็นทุกอย่างยังคงปลอดภัย พฤกษาวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณที่ปลูกเอาไว้ยังคงอยู่ จึงรู้สึกผ่อนคลายลง
จากนั้นหานลี่ก็ตรงไปยังห้องนอนของตรงเอว เอนกายลงบนเตียงโดยไม่ได้ปริปากใดๆ แล้วหลับอุตุไปในทันที
การหลับครั้งนี้กินเวลาไปสองวันสองคืน!
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะพักผ่อนไปเล็กน้อยที่ถ้ำของชายชราแซ่เจียงแล้ว แต่จะเทียบกับถ้ำพำนักของตนเองได้อย่างไร
ครั้นเมื่อหานลี่เบิกตาขึ้นมาอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
ร่างกายของหานลี่พลิ้วไหว ลุกขึ้นจากเตียง ล้างหน้าบ้วนปากเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องนอนด้วยความกระฉับกระเฉง
เมื่อพักผ่อนเสร็จแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องเข้าไปเรียนรู้สิ่งที่ได้มาจกาการออกไปครั้งนี้ในห้องลับ และกินของเหลววิญญาณคางคกเที่ยงแท้แล้วกักตนอย่างรวดเร็ว จะได้ทำให้พลังยุทธ์ของตนเองเพิ่มขึ้นจนถึงระดับเทพแปลงขั้นปลายที่สมบูรณ์ แล้วเริ่มทะลวงระดับหลอมสูญ
จำต้องหลอมพลังเทวาบริสุทธิ์จากพระสารีริกธาตุของวิหคสวรรค์ ให้หมดจดก่อน จะได้ฝึกฝนคาถาโลหิตของหงส์สวรรค์เที่ยงแท้ เช่นนั้นถึงจะสามารถผสานโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสองชนิดเข้าไปในร่างได้เร็วหน่อย
ส่วนการเรียนรู้คาถากระบี่ชุดใหม่ของเขตกระบี่รวมทั้งการหลอมกระบี่บินทั้งหมดนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจวนตัว เช่นนั้นจึงต้องรีบแก้ไขให้เสร็จสิ้น
เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่ก็เดินตรงไปยังห้องลับ มือหนึ่งก็ตบไปที่ท้ายทอย
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งก็บินออกมาจากเหนือศีรษะ หลังจากกระพริบวาบ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นมนุษย์น้อยสีดำความสูงสองสามชุ่นลอยอยู่กลางอากาศ
นั่นก็คือทารกวิญญาณที่สอง
จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อทั้งสองอีกครั้ง วิญญาณครวญรวมทั้งอสูรเกล็ดมิคาทนเองก็ถูกปล่อยออกมา
หานลี่โบกมือให้ทั้งสามพร้อมรอยยิ้มจางๆ หลังจากโยนขวดเล็กลึกลับให้ทารกวิญญาณที่สองแล้ว ก็จากไปเพียงลำพัง
หลังจากที่ทารกที่สองรับขวดเล็กๆ ไปแล้ว ก็ฉีกยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอยู่กลางอากาศเช่นกัน รอจนร่างของหานลี่หักเลี้ยวหายลับไปแล้ว ถึงได้เปล่งเสียงแหลมๆ ออกคำสั่งกับอสูรอีกสองตัวสองสามประโยค จากนั้นพลันกระพริบวาบ ลอยไปอีกด้านหนึ่งอย่างช้าๆ