“เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ผู้แซ่หานจะล้อเล่นกับทั้งสองคนได้อย่างไร” หานลี่แสดงสีหน้าจริงจัง
“หากมีวิธีที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายจริงๆ ย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว ถ้าไม่รังเกียจพี่หานโปรดบอกมาตามตรงเกิด” เหยียนลี่พูดด้วยความดีอกดีใจยกใหญ่
“ที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราเป็นกังวลเลย สหายทั้งสองแค่นำปัญหาบอกกับอาวุโสเจียงตามตรงก็ได้แล้ว สหายทั้งสองคงจะลืมไปแล้วว่านั่นคือตัวตนระดับมหาเมธีที่ลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึง เรื่องที่ยากสุดๆ สำหรับพวกเรา บางทีต้องเสียเวลาหลายปีจึงจะสามารถทำสำเร็จ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีนั้น อาจจะง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเท่านั้น แม้ว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนร่างภูตของทั้งสองได้ แต่วิธีการคงสภาพไม่ให้กลายเป็นภูตต่อย่อมมีแน่นอน สหายทั้งสองไม่ลองไปถามดูก่อน ค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย” หานลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
ฟังหานลี่พูดคำนี้จบ หยวนเหยากับเหยียนลี่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
“ขอบคุณสหายหานที่เตือน! ข้าสองคนมัวหลงทางอยู่ เรื่องง่ายเช่นนี้กลับคิดไม่ถึง” เหยียนลี่กล่าวด้วยใบหน้าตื่นเต้นดีใจ
หยวนเหยาคิดแล้วคิดอีกก็พยักหน้าเช่นกัน
“พูดตามจริง เทียบกับเรื่องนี้แล้ว การที่แม่นางหยวนกราบไหว้เป็นศิษย์ของอาวุโสเจียง ทำให้ข้ามีความกังวลอย่างอื่น” หานลี่ลังเลครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาเช่นนี้
“พี่หานหมายความว่า…” เหยียนลี่ถามด้วยความตกตะลึง
ดวงตาอันงดงามของหยวนเหยาจ้องมองหานลี่อย่างไม่กะพริบตาในทันที
หานลี่หัวเราะหึๆ คราหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรในทันที เพียงแค่พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ของสีดำเปรอะชิ้นหนึ่งก็ปรากฏในฝ่ามือ
ภายในชั่วพริบตาก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนมีขนาดจั้งกว่า
ที่แท้ก็คือยอดเขาจิตสัมผัสแม่เหล็กนั่นเอง
ข้อมือของเขาสั่นเพียงครั้งเดียว ภูเขาขนาดเล็กก็กลายเป็นลำแสงสีดำทมึนพุ่งทยานขึ้นสู่เพดานของเรือนหิน หมุนโคจรเหนือศีรษะทั้งสามคนรอบหนึ่ง ฉับพลันก็ปล่อยม่านแสงสีเทาออกมาทีละชั้น ปกคลุมทั้งสามคนไว้ภายใน
望着在外烟响成的灰色光罩,二女有些意外,倒也没有谁马上追问什么。
ขณะที่มองดูภายนอกที่กลายเป็นม่านแสงสีเทา หญิงสาวทั้งสองก็รู้สึกคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรในทันที
ตอนนี้หานลี่จึงค่อยกล่าวด้วยท่าทีเยือกเย็น “นี่ก็คือแสงเทวะดูดปราณที่ข้าฝึกฝน แม้ว่าจะไม่มีค่าอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธี แต่หากมีจิตสัมผัสแทรกซึมเข้าไปในนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คำพูดที่จะพูดกับสหายทั้งสองต่อจากนี้ อาจจะไม่เป็นการเคารพอาวุโสเจียงเท่าไหร่ แต่ผู้แซ่หานเป็นผู้น้อยมาก่อนสุภาพบุรุษ ควรจะเตือนสหายทั้งสองสักหน่อย สหายเหยียนมุ่งมั่นอยากให้แม่นางหยวนกราบไหว้เป็นศิษย์ของอาวุโสเจียง แต่เคยคิดมาก่อนหรือไม่ หากแท้จริงแล้วอาวุโสผู้นี้ไม่ได้คิดจะยืมพลังของแม่นางหยวนเพื่อต้านทานทัณฑ์อัสนีอะไรนั่น แต่มีวัตถุประสงค์อื่น หรือวิธีการต้านทานทัณฑ์อัสนีมีผลร้ายอย่างหนักต่อร่างกายของแม่นางหยวนจนกระทั่งถึงชีวิต พวกเจ้าจะจัดการอย่างไร?”
หญิงสาวทั้งสองหันมาสบตากันทีหนึ่ง ไม่ได้เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา เหยียนลี่กลับยิ้มฝืนๆ แล้วกล่าวขึ้น “พี่หานพูดเกินไปแล้ว ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีของอาวุโสเจียง จะหลอกลวงพวกเราได้อย่างไร”
หานลี่ได้ยินคำนี้หางคิ้วก็กระตุกคราหนึ่ง หลังจากจ้องมองหญิงสาวทั้งสองครู่หนึ่ง จึงค่อยยิ้มอ่อนแล้วพยักหน้า “ดูเหมือนผู้แซ่หานจะกังวลมากไป ในเมื่อสหายทั้งสองคำนึงถึงปัญหานี้แล้ว ข้าน้อยก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่สุดท้ายก็อยากจะเตือนแม่นางหยวนสักคำ ในเมื่ออาวุโสเจียงใช้การคุยแบบหารือ คิดจะรับเจ้าเป็นเสร็จ แสดงว่าจะต้องมีเรื่องกังวลต่างๆ ของตัวเองแน่นอน เกรงว่าไม่เหมาะที่จะใช้วิธีการบังคับอะไร ตราบใดที่แม้นางหยวนรู้จักบันยะบันยัง แม้ว่าจะเจอความยุ่งยากอะไร คิดว่าคนดีฟ้าดินย่อมคุ้มครอง”
“ขอบคุณสำหรับคำมงคลของพี่หาน!” หยวนเหยาหัวเราะเจื่อนคราหนึ่ง พลันพูดขอบคุณ
หานลี่มุมปากกระดกยกขึ้น พลันเหวี่ยงแขนไปในอากาศคราหนึ่ง
ยอดเขาจิตสัมผัสแม่เล็กก็หายไปในอากาศอย่างฉับพลัน รวมถึงม่านแสงสีเทาที่อยู่รอบๆ ก็หายไปเช่นกัน
จากนั้นหานลี่กับหญิงสาวทั้งสองก็หารือกันเรื่องอื่น เนื่องจากชายชราแซ่เจียงอาศัยอยู่ที่นี่ จึงทำการวิเคราะห์และคาดเดาบางอย่าง
ต่อมา หยวนเหยาก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่ เสนอความเห็นว่าจะเป็นฝ่ายไปหาชายชราด้วยตัวเอง โดยจะปรึกษาก่อนว่ามีวิธีที่แก้ไขปัญหาเรื่องกายภูตของพวกนางหรือไม่
หานลี่กับเหยียนลี่ย่อมไม่มีทางห้ามปรามอยู่แล้ว ฉับพลันทั้งสองคนก็ตามออกจากเรือนหินไปเป็นเพื่อน
หลังจากที่หยวนเหยาส่งเสียงเรียกสามครั้ง เงาสีขาวก็พุ่งปราดออกมา ภูตเงาตนนั้นปรากฏตัวออกมาราวกับไม่ได้ออกหากจากที่นี่มาโดยตลอด
เมื่อได้ยินว่าทั้งสามคนต้องการจะพบชายชราแซ่เจียง ภูตตนนี้ก็พยักหน้าอย่างเรียบเฉย พลันหมุนกายเหาะนำทางพวกเขาสามคน
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วประเดี๋ยวเดียว ภายในห้องโถงใหญ่ที่เคยต้อนรับทั้งสามคน พวกหานลี่ก็มาพบชายชราอีกครั้ง
ชายชราแซ่เจียงยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เมื่อวันนั้น เมื่อเห็นทั้งสามคนก็ยิ้มจางๆ คราหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แปลกใจแม้แต่น้อย “เป็นอย่างไรรึ แม่นางหยวนคิดดีแล้ว ยินดีที่จะไหว้ผู้แซ่เจียงเป็นอาจารย์แล้วรึ?”
“อาวุโสยินดีให้ความสนใจ ชนรุ่นหลังรู้สึกซาบซึ้งอย่างหาสุดมิได้ ย่อมยินดีที่จะฝึกฝนวิชาอยู่ข้างกายอาวุโสอย่างแน่นอน แต่ชนรุ่นหลังมีเรื่องลำบากใจอยู่เรื่องหนึ่ง เกรงว่าไม่สามารถเป็นศิษย์ของอาวุโสตอนนี้ได้เจ้าค่ะ” หยวนเหยาทำความเคารพก่อนทีหนึ่ง หลังจากที่พิจารณาสำนวนการพูดเสร็จแล้ว จึงค่อยพูดอย่างระมัดระวัง
“เรื่องลำบากใจ! เหอะๆ คือเรื่องอะไร หากไม่รังเกียจโปรดบอกผู้เฒ่ามาเถิด” ชายชราแซ่เจียงได้ยินว่าหยวนเหยายินดีที่จะไหว้เป็นอาจารย์ ดวงตาก็เปล่งประกาย แล้วถามด้วยความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
หยวนเหยาไม่ได้ยกตนเหนือผู้อื่น นำเรื่องที่ตนอยากจะกลับคืนร่างมนุษย์ค่อยๆ พูดออกมาทีละอย่างด้วยจิตใจเยือกเย็น
“ฮ่าๆ ข้าก็คิดว่าเป็นเรื่องอะไร ที่แท้ก็คิดจะคืนร่างมนุษย์อีกครั้งนี่เอง เรื่องเล็กแค่นี้ เพียงแค่ข้าหลอมยาหลายชนิดให้เจ้า สิ้นเปลืองพลังยุทธ์อีกหน่อยเพื่อขจัดพลังทมิฬในร่างของเจ้าออก การจะฟื้นคืนร่างเดิมก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น เดิมทีก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ของเผ่าอายุยืนของเจ้าอยู่แล้ว!” ชายชราแซ่เจียงฟังจบ คาดไม่ถึงว่าจะหัวเราะออกมาดังลั่น
เรื่องนี้พอพูดจากปากคนเขา ก็ราวกับเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเรื่องหนึ่ง
“หากเป็นเช่นนี้ การไหว้อาวุโสเป็นอาจารย์ก็ถือเป็นเรื่องที่ได้มาอย่างยากยิ่งแล้ว! หยวนเอ๋อร์คารวะอาจารย์เจ้าค่ะ!” ภายใต้ความตื่นตะลึงระคนดีใจอย่างหนักของหยวนเหยา นางก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ทำความเคารพอีกครั้งแล้วกล่าว
“ดี! ดี! ศิษย์โปรดวางใจ ระยะเวลาไม่กี่ปีนี้ผู้เฒ่ายังรอได้ เมื่อไหร่ที่เจ้าคืนสู่ร่างมนุษย์ทั้งหมดแล้ว เมื่อนั้นก็ค่อยฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ของเผ่าอายุยืน” ภายใต้ความดีใจของชายชรา เขาสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง พลังไร้ลักษณ์กลุ่มหนึ่งก็โถมทะลักเข้าใส่ร่างของหยวนเหยา แล้วพยุงร่างของนางขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“อาจารย์ตกลงเรื่องการคืนร่างมนุษย์แล้ว เดิมทีศิษย์ไม่ควรจะขอเรื่องอะไรอีก แต่เหยาเอ๋อร์กับศิษย์พี่เหยียนลี่มีชีวิตประคับประคองด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก มีมิตรภาพฉันท์พี่น้อง อาวุโสสามารถรับพี่เหยียนเป็นศิษย์แล้วเปลี่ยนร่างภูตคืนได้หรือไม่เจ้าคะ!” หลังจากที่หยวนเหยาลุกขึ้นมา จู่ๆ สองตาก็แดงก่ำ พลันพูดเช่นนี้กับชายชราแซ่เจียง
“ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ก็ถือว่าเป็นการทำลายกฎแล้ว สหายเ**ยนพูดอะไรก็ไม่สามารถรับเป็นศิษย์ได้ แต่ผู้เฒ่าเห็นแก่หน้าของเจ้า สามารถรับปากเรื่องช่วยฟื้นคืนร่างมนุษย์ให้นางได้” ชายชราแซ่เจียงแสดงสีหน้าลำบากใจ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จึงค่อยถอนหายใจแล้วตอบกลับ
หยวนเหยายังคิดจะอ้าปากขอร้องอะไรต่อ เหยียนลี่ที่อยู่ข้างๆ ก็ชิงก้าวเท้าขึ้นมาข้างหน้าแล้วแสดงความเคารพชายชราหนึ่งที แล้วหันมาส่ายหน้าให้หยวนเหยา “อาวุโสยอมสิ้นเปลืองยาและพลังยุทธ์เพื่อช่วยข้าคืนร่างมนุษย์ เหยียนลี่รู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้ จะคาดหวังให้กราบไหว้เป็นศิษย์ของอาวุโสเจียงได้อย่างไร! ศิษย์น้องอย่าทำให้อาวุโสเจียงลำบากใจสิ!”
คำพูดนี้เหยียนลี่พูดด้วยความรู้สึกจริงของนาง หยวนเหยากลับมีสีหน้าหม่นหมองลง ในที่สุดก็ยอมเชื่อฟังไม่ได้เอ่ยปากพูดต่อ
นางเองก็รู้ดี ด้วยสถานะของชายชราแซ่เจียง เมื่อทำการตัดสินใจแล้วย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย สามารถรับปากครึ่งหนึ่ง ก็นับว่าให้ความสนใจกับนางจริงๆ จะขอร้องอะไรมากไปกว่านี้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมจริงๆ
คราวนี้ที่หานลี่มาเป็นเพื่อนกับหญิงสาวทั้งสอง กลับยืนเงียบอยู่ข้างๆ ไม่พูดจามาโดยตลอด แต่สายตากลับสังเกตอารมณ์ของชายชราเป็นพิเศษ คิดจะอ่านใจของเขา
แต่ยังไม่ทันได้พบความปกติอะไร! เรื่องนี้ก็ทำให้เขาแอบรู้สึกโล่งใจ
ดูเหมือนชายชราแซ่เจียงผู้นี้อาจจะอยากรับเป็นศิษย์จริงๆ ก็ได้!
“สหายหาน ข้ามีคำพูดบางอย่างอยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว เจ้ายินดีรับฟังสักหน่อยหรือไม่” ที่ข้างหูของหานลี่มีเสียงของชายชราดังเข้ามา ทำให้หานลี่รู้สึกตกตะลึงอย่างฉับพลัน
“อาวุโสมีสิ่งใดจะกำชับ โปรดพูดมาได้เลยขอรับ ชนรุ่นหลังน้อมรับฟังอย่างแน่นอน” หานลี่ถ่ายทอดเสียงกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน
หยวนเหยากับเหยียนลี่ที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าหานลี่กับชายชราขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่ไม่มีเสียงสนทนาดังออกมา ย่อมรู้ว่าสองคนนี้กำลังใช้เคล็ดวิชาถ่ายทอดเสียงเจรจากันอยู่ พวกนางจึงหันมามองตากันทีหนึ่ง แล้วรอเงียบๆ ไม่ส่งเสียงอยู่ตรงนั้นอย่างรู้สถานการณ์
“ที่จริงแล้วหากผู้เฒ่าไม่พบว่าสหายหญิงของเจ้ามีกายแห่งสวรรค์ทมิฬ เดิมทีก็คิดจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ให้เจ้ารับการปริสิทธิประสาทวิชาจากข้า แต่ตอนนี้ในด้านหนึ่งข้าก็รับเหยาเอ๋อร์เป็นศิษย์แล้ว อีกด้านหนึ่งยังต้องเตรียมรับมือเรื่องทัณฑ์สวรรค์ ย่อมไม่สามารถแบ่งใจมารับเจ้าเป็นศิษย์ได้! เรื่องนี้น่าเสียใจจริงๆ! เดิมทีข้าสนใจเส้นทางคู่บำเพ็ญเพียรของเจ้ามาก” ชายชราถ่ายทอดเสียงอย่างช้าๆ สุดท้ายก็พูดออกมาด้วยความรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
“แสดงว่าชนรุ่นหลังมีวาสนาไม่พอ ไม่มีโอกาสได้เป็นศิษย์ของอาวุโส” หานลี่ได้ยินคำนี้ก็รู้สึกเกินคาดเป็นอย่างมากจริงๆ หลังจากผ่านไปนานสองนาน จึงค่อยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม
“แต่ว่า เจ้าได้เคล็ดวิชากระบี่ของชิงหยวนจื่อที่แดนมนุษย์มาแล้ว ทั้งยังใช้ไผ่อัสนีทองหลอมกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาออกมาเจ็ดสิบสองเล่ม คิดดูแล้วเจ้าก็พอที่จะนับได้ว่าเป็นศิษย์ของข้าครึ่งหนึ่ง เอาแบบนี้ก็แล้วกัน หากเจ้ายังสนใจเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมฉับใหม่และวิธีการหลอมกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาใหม่ ข้าสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ถ่ายทอดให้เจ้าได้ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่ศิษย์ของข้าอย่างแท้จริง หากต้องการคำร่ายนี้ จำเป็นต้องนำสิ่งของบางอย่างมาแลกเปลี่ยน เจ้าลองพิจารณาดูดีๆ ก็แล้วกัน” ชายชรากล่าวน้ำเสียงขรึม
“เคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมฉบับใหม่?” หานลี่ได้ยินแล้วรู้สึกตกตะลึงในใจ
“ไม่ผิด ที่จริงแล้วเคล็ดวิชากระบี่ที่ชิงหยวนจื่อทิ้งไว้ในแดนมนุษย์สำเร็จเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น หลังจากเข้าสู่แดนวิญญาณแล้วได้คิดค้นครึ่งหลังขึ้นมาโดยเฉพาะ สามารถต่อเนื่องไปถึงระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ภายหลังเนื่องจากหลอมรวมกายเนื้อและจิตวิญญาณบริสุทธ์กับเผ่าอายุยืน ข้าจึงเปลี่ยนมาฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ของเผ่าอายุยืนแทน แต่เมื่อเคล็ดวิชากระบี่นี่ฝึกฝนเสร็จ เจ้าจะต้องใช้ไผ่อัสนีทองหลอมกระบี่บินขึ้นมาใหม่ หลังจากขจัดส่วนผสมที่ปะปนออกแล้ว เขตอาคมกระบี่ที่วางไว้พอที่จะสามารถต่อกรกับตัวตนระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายได้เลยทีเดียว ทั้งยังไม่ตกเป็นเบี้ยล่างด้วย” ชายชรายิ้มกล่าว
“แต่ชนรุ่นหลังเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงกระจอกๆ คนหนึ่ง จะมีของอะไรที่เข้าตาอาวุโสได้” หานลี่รู้สึกตกตะลึงอย่างหนัก แต่ยังคงประคองสติแล้วเอ่ยถาม
“ของอย่างอื่นเจ้าอาจจะไม่มี แต่ไผ่อัสนีทอง วัตถุชนิดนี้เจ้ายังมีเศษที่เหลือของมันอยู่บ้างสินะ” ชายชราหลี่ตาสองข้างลงเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เค้นคำพูดออกมาทีละคำ
“ไผ่อัสนีทองคำ! อาวุโสอยากได้ของสิ่งนี้หรือขอรับ?” หานลี่ตะลึงงัน เรื่องนี้เกิดความคาดหมายเขามาก
“ไม่ผิด หากเจ้ายังสามารถหลอมกระบี่บินสามเล่มด้วยไผ่อัสนีทองได้ ข้าก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่ใหม่ให้แก่เจ้า หากเจ้ามีวัตถุดิบมากกว่าสามเล่มขึ้นไป ข้ายังจะช่วยเจ้าหลอมกระบี่บินทั้งเจ็ดสิบสองเล่มด้วยตัวเอง” ชายชราหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าว