A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1511 อาณาจักรแห่งพฤกษา

เมื่อไข่มุกส่งเสียงปังออกมาเบาๆ ก็เกิดแสงสีเขียวเจิดจ้าแล้วพ่นม่านแสงออกมา

 

 

ภายในม่านแสงมีสิ่งหนึ่งปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ เมื่อแสงวิญญาณดับลง ก็ปรากกร่างที่แท้จริงออกมา

 

 

คิดไม่ถึงว่าจะมีต้นสนมหึมา ตลอดทั้งต้นเป็นสีดำทมึนต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น

 

 

ต้นไม้ต้นนี้มีขนาดมหึมาผิดปกติ แต่รูปลักษณ์ภายนอกดูมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ที่กลางลำต้นราวกับมีเส้นแบ่งเขตไร้รูปร่างเส้นหนึ่งคั่นอยู่ ครึ่งหนึ่งมีใบไม้เขียวชอุ่มขึ้นอย่างหนาแน่น อีกครึ่งหนึ่งแห้งเ**่ยว ไม่มีใบไม้แม้แต่ใบเดียว ราวกับต้นไม้ที่ตายไปแล้วก็มิปาน

 

 

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นร่างจริงที่เป็นพฤกษาวิญญาณของมู่ชิง

 

 

หญิงผู้นี้จ้องมองต้นไม้ต้นนี้ด้วยสีหน้าซับซ้อน พลันดีดนิ้วทั้งสิบอย่างต่อเนื่อง

 

 

คาถาพวยพุ่งออกมาทีละสายอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็พากันจมหายเข้าไปในต้นไม้สีดำ

 

 

ไม้ต้นนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างฉับพลัน ร่วงลงมายังพื้นดินที่อยู่เบื้องล่าง คิดไม่ถึงว่าท่อนล่างจะจมเข้าไปในพื้นดินอย่างมั่นคงไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ทว่ามู่ชิงกลับไม่ยั้งมือเพียงเท่านี้ นางอ้าปากออกแล้วพ่นโลหิตบริสุทธิ์สีเขียวขจีออกมาหยดหนึ่ง

 

 

เมื่อโลหิตบริสุทธิ์นี้ถูกกระตุ้น ก็พวยพุ่งไปยังเบื้องหน้าของต้นไม้สีดำ ก่อนที่จะหายวับเข้าไปในส่วนที่นูนขึ้นเล็กน้อยของลำต้นโดยที่ไม่เหลือร่องรอย

 

 

มู่ชิงบริกรรมคาถาจากปาก

 

 

ครั้นสองมือชูขึ้นพร้อมกัน ลำแสงสีเขียวสองสายก็พวยพุ่งออกมาแล้วหายเข้าไปในไม้สีดำอย่างไม่เห็นร่องรอย

 

 

ทว่าในเวลาต่อมา บริเวณที่โลหิตบริสุทธิ์หายเข้าไปก็เกิดม่านแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาอย่างฉับพลัน ท่ามกลางลำแสงเจิดจ้าพร่ามัว พื้นผิวของลำต้นก็บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่าง ปรากฏเป็นใบหน้าไม้แกะสลักที่ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับมีชีวิต

 

 

ใบหน้านี้บิดเบี้ยวไปมาไม่หยุด ปรากฏสีหน้าของความเจ็บปวดทรมานออกมา คล้ายกับมีชีวิต

 

 

แต่เมื่อลองพิจารณารายละเอียด ก็ปรากฏเป็นใบหน้าของวานรแก่จินหลิง

 

 

“ยังไม่รีบตื่นขึ้นมาอีก!” มู่ชิงเลิกคิ้วสองข้างขึ้น เสียงตะคอกดังมาจากกลางอากาศหนหนึ่ง ตามด้วยคาถาที่ซัดออกมาหนึ่งสาย

 

 

เกิดเสียงดังเปรี๊ยะคราหนึ่ง บริเวณเล็กๆ ของลำต้นมหึมาสีดำค่อยๆ ปริแตกจากตรงกลางทีละชุ่นๆ ทันใดนั้นวานรขนทองตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาจากกลางลำต้น

 

 

“คารวะนายท่าน! นายท่านเรียกข้ามา หรือว่าจะ…” เมื่อวานรสีทองตัวนี้ปรากฏกายออกมาก็คุกเข่าคารวะกับพื้นในทันที

 

 

“ตาเฒ่าจิน ลุกขึ้นเถอะ โชคดีที่ตอนออกเดินทางทีแรกนั้น เจ้านำจิตแยกแปลงกายไว้ในร่างจริงของข้า ตอนนี้จิตวิญญาณดั้งเดิมของตาเฒ่าจินก็ร่วงตายแล้ว ตอนนี้เจ้าก็เหลือแต่วิญญาณทองแล้ว” มู่ชิงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง

 

 

“ที่แท้ก็ร่วงตายแล้วจริงๆ ถึงว่าทำไมข้าถึงไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของร่างจริงได้ แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นับจากวันนี้เป็นต้นไปจินหลิงก็ยังทุ่มเทรับใช้นายท่านต่อไปขอรับ! ทว่าตอนนี้นายท่านเรียกข้าออกมาโดยไม่เสียดายโลหิตบริสุทธิ์ คงจะมีเรื่องอะไรต้องการให้จินหลิงไปทำสินะขอรับ” วานรแก่สีหน้าเปลี่ยน แต่ฉับพลันก็กล่าวด้วยความเคารพนอบน้อม

 

 

“อืม สัญลักษณ์ภายในร่างเจ้าเด็กแซ่หานของข้าถูกทำลายแล้ว ทั้งยังคลาดกับเจ้าเด็กนี่อีก เตรียมร่าย “อาณาจักรแห่งพฤกษา” เพื่อหาตำแหน่งของพวกเขาซะ แต่หากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องใช้พลังของร่างจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องการให้เจ้าช่วยคุ้มครองพฤกษาวิญญาณที่เป็นร่างจริงของข้า ตอนนี้ข้าได้เตรียมเขตอาคมพฤกษาขจีคลุมฟ้าในบริเวณใกล้เคียงไว้แล้ว แม้แต่ตัวตนระดับพวกลิ่วจู๋บุกเข้ามาข้างในก็สามารถกักขังได้ในเวลาอันสั้น เพียงพอที่จะให้เจ้าพาร่างจริงของข้าหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย”

 

 

“อาณาเขตแห่งพฤกษา! เคล็ดวิชานี้สิ้นเปลืองแหล่งพลังเดิมของนายท่านสุดๆ เพียงแค่ใช้ครั้งเดียว ภายในหนึ่งพันปีจะไม่สามารถใช้ได้อีกครั้ง นายท่านจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือขอรับ?” วานรทองเผยสีหน้าตกตะลึง

 

 

“เกรงว่าจะต้องทำเช่นนี้แล้ว ไข่มุกที่เห็นในสุสานมารเมื่อครั้งก่อน คิดไม่ถึงว่าพลังที่อยู่ในนั้นจะเหมือนกับแหล่งพลังของข้าอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่ในด้านความบริสุทธิ์และปริมาณกลับมีมากกว่าร่างจริงของข้าสิบกว่าเท่า เพียงแค่ได้สมบัติชิ้นนี้มา ใช้เวลาหน่อยก็สามารถดูดพลังที่อยู่ในนั้นมาได้ทั้งหมด ข้าไม่เพียงแต่สามารถทะลวงระดับในตอนนี้ได้ทันที การจะขึ้นสู่ระดับที่สูงกว่าก็มีความเป็นไปได้มา ในด้านประสิทธิภาพ สำหรับข้านั้นสมบัติชิ้นนี้สำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่าน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีนั่นเสียอีก” มู่ชิงกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง

 

 

“ในเมื่อนายท่านพูดเช่นนี้ จินหลังจะต้องดูแลร่างจริงของนายท่านเป็นอย่างดีแน่นอนขอรับ” หลังจากที่วานรทองฟังจบ รู้ว่ามู่ชิงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงไม่กล่าวเตือนใดๆ อีก แต่กล่าวด้วยสีหน้าหวาดกลัวแทน

 

 

“อืม ตาเฒ่าจินพูดเช่นนี้ก็ดีแล้ว กายเนื้อเดิมของเจ้าถูกทำลายแล้ว แม้ว่าร่างกายในตอนนี้จะยืมพลังของร่างจริงข้าที่กลายเป็นวานรพฤกษา แต่พลังยุทธ์กลับมีแค่ระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น แค่อ่อนแอลงเล็กน้อย เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้เจ้า” หลังจากที่มู่ชิงลังเลเล็กน้อย จู่ๆ ก็อ้าปากออกแล้วพ่นกระจกสีเขียวสลัวๆ ออกมาบานหนึ่ง

 

 

มีขนาดเพียงฝ่ามือเท่านั้น ที่ด้านหลังกระจกเป็นลายไม้สีเขียวมรกต เมื่อพลิ้วไหวเล็กน้อยกลางอากาศ ม่านแสงหมื่นสายก็พุ่งทยานขึ้นสู่ฟ้า

 

 

ดูแล้วของสิ่งนี้จะต้องเป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ

 

 

“นี่มันกระจกพฤกษานภาของนายท่านไม่ใช่รึ! นับตั้งแต่ที่นายท่านได้สมบัติชิ้นนี้มา ก็หลอมสมบัตินี้มาโดยตลอดจนถึงวันนี้ ผุ้น้อยจะรับไว้ได้อย่างไร! นายท่านต้องการไปที่สุสานมาร จำเป็นต้องใช้สมบัตินี้ป้องกันตัวและหนีจากศัตรู” จินหลิงเห็นกระจกบานนี้ กลับรีบโบกมือถี่ๆ ไม่หยุด

 

 

“หากไม่คุ้มครองร่างจริงไว้ แล้วข้าจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร อีกอย่างใช่ว่าตาเฒ่าจินจะไม่รู้ หลายปีก่อนข้าได้สมบัติวิญญาณมาอีกชิ้นหนึ่ง อานุภาพไม่ด้อยไปกว่ากระจกนี้เลย อีกทั้งในด้านการต้านทานปราณมาณยังมีประโยชน์มากกว่ากระจกบานนี้” มู่ชิงกลับพูดออกมาเช่นนี้

 

 

ได้ยินมู่ชิงกล่าวเช่นนี้ จินหลิงก็ลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ตอบตกลง

 

 

ขณะที่เขายื่นมือไปแตะกระจกทีหนึ่ง ทันใดนั้นของสิ่งนี้ก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งจมหายเข้าไปในร่าง

 

 

“นอกจากกระจอกพฤกษานภาแล้ว กระบี่วิญญาณพฤกษามรกตสองเล่มนี้ก็เหนือกว่าสองเล่มก่อนหน้ามาก เจ้าก็รับไว้ซะ” มู่ชิงคิดครู่หนึ่ง ก็ยื่นมือหนึ่งตะปบไปในอากาศเหนือต้นไม้มหึมา

 

 

กิ่งไม้สองกิ่งสั่นไหวคราหนึ่งแล้วร่วงลงมา คิดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสีเขียวแล้วกลายเป็นกระบี่สีเขียวเปล่งแสงเย็นเยือกสองเล่มร่วงลงมา

 

 

ใบหน้าของจินหลิงเผยความดีใจออกมา คราวนี้กลับไม่มีเจตนาจะบอกปัด พลันกระโดดสุดตัวขึ้นไปแล้วคว้ากระบี่บินสองเล่มลงมา หลังจากมองดูครู่หนึ่ง ก็นำไปพาดไว้บนหลังอย่างคล่องแคล่ว

 

 

หลังจากเตรียมการสิ่งเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย มู่ชิงจึงค่อยผ่อนคลายอิริยาบถ ครั้นกำชับจินหลิงอีกสองสามประโยค ก็สัมผัสกับร่างพฤกษาครึ่งร่างของตนแล้วกลับคืนสู่ร่างเดิม

 

 

ต่อมา รุ้งสีเขียวสายหนึ่งก็พวยพุ่งทะลวงอากาศออกมาจากหุบเขา เพียงแค่พุ่งปราดไม่กี่หนก็ออกจากหุบเขาไปแล้ว

 

 

แต่เมื่อมู่ชิงออกจากที่นี่ไม่นาน จินหลิงก็กระตุ้นอาคมต้องห้ามที่มู่ชิงเตรียมไว้

 

 

อากาศบริเวณรอบด้านของหุบเขาเกิดการบิดเบี้ยวและเลือนราง คิดไม่ถึงว่าจกลายเป็นทิวทัศน์ที่ว่างโหรงเหรงราวกับผิวน้ำที่กระเพื่อม เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็มองไม่เห็นช่องโหว่แม้แต่น้อย

 

 

มู่ชิงเหาะทยานอย่างไม่ลนลาน บริเวณรอบๆ พลันปรากฏเป็นทิวทัศน์แปลกประหลาด

 

 

เห็นเพียงตัวนางในตอนนี้ ภายในรัศมีสิบจั้งล้วนเป็นแสงสีเขียวระยิบระยับ เงาลวงตาหมู่ไม้และมวลบุปผาพลันปรากฏโลดแล่นออกมา พร้อมทั้งแผ่ปราณวิญญาณพฤกษาที่บริสุทธิ์ผิดปกติออกมา

 

 

บนร่างของมู่ชิงเปล่งแสงสีเขียวกระจ่างใส เงาลวงตาต้นไม้มหึมาสีเขียวขจีต้นหนึ่งปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ ที่ด้านหลัง ทำให้นางดูคล้ายกับเทพธิดาแห่งป่าไม้

 

 

ราวกับภายในแสงสีเขียวนั้นกลายเป็นดินแดนเล็กๆ อีกแห่งหนึ่ง

 

 

ภายในเวลาชั่วครู่เดียว มู่ชิงก็กลับมายังบริเวณเนินเขาที่พบร่องรอยของหานลี่ในตอนแรก หลังจากที่ลำแสงหลีกหนีร่อนลงมา ก็ยืนอยู่บนยอดเขา

 

 

สองมือชูขึ้นคราหนึ่ง ทันใดนั้นอาณาเขตที่แสงสีเขียวโดยรอบปกคลุมก็แผ่กว้างขึ้น ภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจ ก็ปกคลุมเนินเขานี้ไว้ภายในทั้งหมด

 

 

เงาลวงตาป่าไม้เหล่านั้น ภายในชั่วพริบตาก็กลายสภาพเป็นวัตถุกายภาพทั้งหมด ก่อนที่จะพากันหยั่งรากลงดิน พลิ้วไหวไปตามสายลม

 

 

คิดไม่ถึงว่าครู่ต่อมาบริเวณใกล้เคียงของเนินเขาจะกลายเป็นดินแดนของต้นไม้ใบหญ้าไปแล้ว

 

 

ในขณะเดียวกัน บริเวณรากของต้นไม้ใหญ่ที่เบื้องหลังของมู่ชิง จู่ๆ รากทั้งหลายก็กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมา

 

 

บ้างก็จมหายเข้าไปในพุ่มไม้อย่างไร้ร่องรอย บ้างก็พุ่งปราดแล้วหายวับเข้าไปในพื้นดิน

 

 

ในตอนนี้ หญิงสาวผู้นี้กำลังหลับตาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าอันงดงามขมวดคิ้วแน่น คล้ายกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง

 

 

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ทันใดนั้นนางก็ลืมตาขึ้นแล้วกล่าวพึมพำ “ที่แท้ก็ยืมพลังศิษย์หญิงสองคนของแม่เฒ่าภูตขจัดสัญลักษณ์ออกไป ดูเหมือนแม้แต่แม่เฒ่าภูตก็ไม่รู้ว่าศิษย์ตัวเองรู้เคล็ดวิชาลับนี้ แต่ในเมื่อรู้ทิศทางหลบหนีของพวกเขาแล้ว ก็ต้องหาพวกเขาสามคนเจอแน่”

 

 

หลังจากที่มู่ชิงพูดพึมพำคนเดียวเสร็จ นางก็ตั้งท่าร่ายคาถาอย่างฉับพลัน ม่านแสงสีเขียวที่กระจายรอบทิศก็หดกลับเข้ามาจากบริเวณใกล้เคียงของเนินเขา ซึ่งบริเวณที่ม่านแสงถอยออกมานั้น ทั้งหมดที่กลายเป็นต้นไม้ใบหญ้าก็พากันสลายหายไป

 

 

ขณะที่ทุกสิ่งในบริเวณใกล้เคียงของเนินเขากลับสู่สภาพเดิมนั้น หญิงผู้นี้ก็เหาะทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า คิดไม่ถึงว่าจะไล่ตามไปทางที่หานลี่จากไปในตอนแรก

 

 

 

 

หานลี่ย่อมไม่รู้ว่ามู่ชิงกับพวกลิ่วจู๋ต่างก็พุ่งเป้ามาที่เขาในเวลาเดียวกัน แต่เพื่อที่จะป้องกันเหตุไม่ขาดฝัน หลังจากที่เขาพาหญิงสาวทั้งสองออกจากเนินเขาแล้ว ระหว่างทางได้เปลี่ยนทิศทางที่มุ่งหน้าไปไม่หยุด

 

 

สำหรับเขานั้น แม้ว่าจะยังมีร่องรอยหรือช่องโหว่อะไรหลงเหลืออยู่ ก็ไม่พอที่จะทำให้เป็นกังวลแล้ว

 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะประมาทในอิทธิฤทธิ์ของราชาปีศาจเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ในตอนนี้ หานลี่กำลังพาหญิงสาวทั้งสองเหาะทยานอยู่กลางอากาศเหนือดินแดนที่เต็มไปด้วยทรายสีเหลืองทั้งผืน ขณะที่กำลังเหาะอยู่ ก็พูดอะไรบางอย่างกับพวกหยวนเหยา

 

 

“อะไรนะ พี่หานคิดจะหาจุดเชื่อมต่อมิติเพื่อกลับแดนวิญญาณรึ!” เสียงอุทานดังมาจากปากของเหยียนลี่ ดูเหมือนจะตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

 

“ไม่ผิด จากการที่ข้าค้นคว้าเรื่องศาสตร์ของช่องว่างมิติของแดนมนุษย์กับแดนวิญญาณ ได้พบมานานแล้วว่า ไม่ว่าช่องว่างมิติจะเล็กหรือใหญ่ ช่องว่างมิติใดๆ ก็ล้วนแต่มีจุดเชื่อมต่ออยู่ และยิ่งช่องว่างมิติมีขนาดเล็ก จุดเชื่อมต่อของมิตินั้นก็จะยังพบได้ง่าย สำหรับสิ่งที่เรียกว่ารอยแยกมิติ ที่จริงแล้วเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงชนิดหนึ่งของจุดเชื่อมต่อมิติเท่านั้น เพียงแค่พวกเราสามารถตามหาจุดเชื่อมต่อมิติของแม่น้ำอเวจีจนเจอได้ หากลองเสี่ยงดูสักหน่อย ก็น่าจะมีโอกาสได้กลับไปยังแดนมนุษย์สูงมาก” น้ำเสียงสงบนิ่งผิดปกติของหานลี่ส่งมาจากกลางอากาศอย่างช้าๆ

 

 

“แต่พี่หาน แม้ว่าจุดเชื่อมต่อมิติจะไม่มาก แต่ข้ากับศิษย์น้องเคยได้ยินเรื่องความอันตรายของมัน ในนั้นไม่เพียงแต่เกิดมรสุมมิติอยู่บ่อยๆ บริเวณทางออกของจุดเชื่อมต่อก็ยิ่งไม่สามารถควบคุมได้ ความอันตรายออกจะมากเกินไปหน่อยกระมัง” หยวนเหยาเองก็กล่าวด้วยความลังเลเช่นกัน

 

 

“ความเสี่ยงย่อมมีอยู่บ้าง แต่หากมีข้าคอยนำทาง อย่างน้อยก็มั่นใจได้เจ็ดแปดส่วนว่าจะสามารถผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ถึงอย่างไรแม่น้ำอเวจีก็เป็นแค่แดนมิติบริวารของแดนวิญญาณที่ใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ดินแดนที่แท้จริง นอกเสียจากว่าสหายทั้งสองไม่คิดจะออกไป อยากจะอาศัยอยู่ที่แม่น้ำอเวจีแห่งนี้เป็นเวลายาวนานจริงๆ” หานลี่ขมวดคิ้วกล่าว

 

 

“ที่จริงแล้วพวกเราซ่อนตัวอยู่ที่ก่อนสักระยะหนึ่ง รอให้คนพวกนั้นออกไปแล้ว ฝึกฝนอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวก็ไม่เสียหาย ปราณทมิฬในที่แห่งนี้ก็อุดมสมบูรณ์สุดๆ มีประโยชน์กับการฝึกฝนของพวกข้าเป็นอย่างมาก” เหยียนลี่กะพริบตางามๆ ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี พลันยิ้มหวานแล้วกล่าว

 

 

“เรื่องนี้เกรงว่าจะทำไม่ได้! หรือว่าแม่นางเหยียนจะลืมคนของเผ่าแมงเม่าไปแล้ว ใครจะรู้ว่ากำลังเสริมของหุ่นเชิดพวกนั้นจะทะลวงดินแดนมาที่นี่เมื่อใด แม้แต่พวกมู่ชิง แม่เฒ่าภูตก็ยังหวาดกลัวเผ่าแมงเม่านี้สุดๆ เห็นได้ว่าเผ่านี้น่ากลัวมาก และในเมื่อแม่น้ำอเวจีแห่งนี้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่านี้ พวกเข้าจะต้องรู้จักที่แห่งนี้ดีกว่าพวกเรามาก ต่อให้ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับแค่ไหนก็ยังไม่ปลอดภัย และยังมีอีกเรื่องหนึ่ง สหายทั้งสองไม่คิดจะกลับเผ่ามนุษย์แล้วหาทางคืนร่างมนุษย์แล้วหรือ?” หานลี่หรี่ตาลง พลันพูดวิเคราะห์อย่างช้าๆ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset