ไอสีเขียวในบ่อสีเขียวด้านล่างพลันหมุนวน ไอวิญญาณบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งทะลักออกมาภายนอก ในเวลาเดียวกันพื้นดินในบริเวณรอบก็สั่นสะเทือน
อสูรอเวจีอัสนีสองตัวมองสบตากันแวบหนึ่ง แววตาเผยความตกตะลึงระคนเกรี้ยวโกรธออกมา ระเบิดเสียงร้องคำรามที่โหดเ**้ยมออกมาพร้อมกัน จากนั้นประจุไฟฟ้าบนร่างก็หม่นแสงลง ร่างครึ่งหนึ่งหยัดยืนขึ้นด้วยแขนสองข้าง คาดไม่ถึงว่าจะยืนขึ้นราวกับมนุษย์สามัญ
วายุประหลาดสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้นรอบด้าน ล้อมอสูรเ**้ยมสองตัวที่กำลังยืนสองขาเอาไว้เป็นระลอกๆ แล้วปกคลุมร่างของพวกมันเอาไว้
พวกของหญิงงามผมขาวและมู่ชิงเห็นเช่นนั้นพลันใจหายวาบ
จากประสบการณ์ของพวกนาง แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าด้านล่างไม่มีทางเกิดเรื่องดีๆ อะไรขึ้นแน่ อสูรอเวจีอัสนีสองตัวเตรียมสำแดงอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่
ทันใดนั้นปากของหญิงงามก็ผิวปากเบาๆ ชั่วพริบตานั้นเรือนผมสีขาวก็ยาวขึ้น และก้มหน้าลงสะบัดไปทางฝั่งตรงข้าม
ลำแสงสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งแหวกอากาศไป ปกคลุมวายุสีดำเอาไว้
ลำแสงสีขาวเหล่านี้ตรงแน่วดุจเข็ม เปล่งเสียงหวีดร้องแหลมๆ ออกมา อานุภาพน่าเกรงขาม
ส่วนมู่ชิงนั้นกลับใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ร่างกายเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา เงาดอกไม้ขนาดเท่าปากชามลอยอยู่รอบๆ ด้าน มันเลือนลางไปเล็กน้อย กลายเป็นธรรมจักรหลากสี
ตรงขอบของธรรมจักรบางเบาเป็นอย่างมาก หมุนคว้างไปมา ระเบิดออกพุ่งออกไปอย่างเงียบเชียบ
ครานั้นท้องฟ้ามีลำแสงเย็นเยียบ ลำแสงสีขาวทอตัวอยู่เต็มไปหมด ทำให้เขาอดที่จะขนลุกซู่ไม่ได้
อิทธิฤทธิ์ทั้งสองชนิดนี้แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดา!
แต่ฉากที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายพลันปรากฎขึ้น
คาดไม่ถึงว่าอสูรสองตัวในวายุสีดำจะไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ยังคงพุ่งเข้าไปในธรรมจักรและลำแสงสีขาวอย่างหนาแน่น
แต่จากนั้นกลับมีเสียงประหลาดๆ ของทองคำเสียดสีกันดังขึ้น จากนั้นการโจมตีทั้งหมดก็ถูกดีดออกมาจากวายุ
การโจมตีทั้งสองชนิดดูเหมือนว่าจะโจมตีไปยังกำแพงทองแดงที่แข็งแกร่งอย่างไรอย่างนั้น
สตรีทั้งสองพลันตกตะลึง
ในตอนนั้นเอง วายุสีดำพลันพลันหมุนวนแล้วสลายหายไป ปีศาจร่างมนุษย์หน้าตาโหดเ**้ยมสูงสิบจั้งสองตนปรากฎขึ้น
บนหัวของพวกเขามีเขา บนเรือนร่างมีเกล็ดสีขาว นั่นก็คืออสูรอเวจีอัสนีที่แปลงกายมา แต่แค่แขนขาทั้งสี่และร่างกายคล้ายกับมนุษย์มาก!
สิ่งที่ทำให้มู่ชิงและสตรีผู้นี้มีสีหน้าเคร่งขรึมก็คือ เมื่ออสูรทั้งสองปรากฎตัวออกมา สองมือก็ร่ายอาคมทันที เขาอ้าปากออก พ่นของสิ่งหนึ่งออกมา
อันหนึ่งมีลำแสงสีดำพลันเปล่งแสงสว่างวาบ คือธงเล็กๆ สีดำสนิทด้ามหนึ่ง
อีกอันหนึ่งมีลำแสงสีขาวนับหมื่นสาย กลับเป็นจานอาคมที่วิจิตรงดงาม
“แย่แล้ว รีบขวางพวกมันไว้! พวกมันจะกระตุ้นเผ่าแมลงเม่าให้วางเขตอาคม” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตมีปฏิกิริยารวดเร็วที่สุด ตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึง
จากนั้นเขาก็ไม่ได้กระตุ้นหุ่นเชิด สองแขนสะบัดออก กระบี่สั้นยาวสองสามชุ่นคู่หนึ่งบินออกไปพร้อมกับเสียงกรีรด้อง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป กลายเป็นลำแสงสีโลหิตสองสายปักลงไปที่ยุทธภัณฑ์ทั้งสองชิ้น
อสูรอเวจีอัสนีร่างมนุษย์สองตนกลับดูเหมือนว่าจะเตรียมการป้องกันเอาไว้นานแล้ว เอียงศีรษะไปด้านข้างพร้อมกัน เขาเดี่ยวทั้งสองหล่นลงมาอย่างคาดไม่ถึง กลายเป็นลำแสงอัสนีสองสายพุ่งเข้าไปหา
หลังจากเสียง “ปัง” “ปัง” ดังสนั่นขึ้น หลังจากที่เขาเดี่ยวและลำแสงสีโลหิตสัมผัสกันแล้วก็ระเบิดสายฟ้าเจิดจ้าออกมา คาดไม่ถึงว่าจะใช้พลังอัสนีทำให้กระบี่สั้นทั้งสองเล่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ในชั่วพริบตา
อานุภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ ทำให้ผู้คนตกตะลึงจนตาค้าง!
มันก็ไม่แปลก เดิมทีเขาทั้งสองนี้ก็เป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างอสูรทั้งสอง ประกอบกับที่ถูกบวงสรวงมาตั้งไม่รู้กี่หมื่นปี แค่ความแข็งแกร่งของมัน ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามีดกระบี่ระดับศาสตราวิญญาณ หลังจากที่อสูรร้ายแปลงกายกระตุ้นมันอย่างเต็มอัตรา อานุภาพจะยิ่งใหญ่แค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
ทว่าเขาเดี่ยวทั้งสองไม่ใด้โจมตีแค่นี้ หลังจากกระพริบวาบอีกครั้ง ก็หายวับไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมาลำแสงอัสนีสองสายก็กรีดร้องพลางดีดตัวออกมากลางอากาศ มาปรากฎตัวห่างจากผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตไปสองสามจั้ง โจมตีด้วยสายฟ้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าอสูรอเวจีอัสนีสองตัวนี้ดูออกแล้วว่า ในบรรดาทั้งสามคนผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตนั้นเป็นผู้ที่มีกำลังอ่อนแอที่สุด จึงเตรียมจะร่วมมือกันสังหารเขาทิ้งก่อน
ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันตกตะลึง แต่ความเร็วของเขาเดี่ยวทั้งสองกลับรวดเร็วเกินไป ต่อให้คิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงทำได้เพียงเปล่งลำแสงสีโลหิตสว่างวาบขึ้นบนร่างด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว เงาสีโลหิตสองสายพุ่งออกมาจากร่างราวกับเงาที่ทอดลงมา ต้านทานเอาไว้เบื้องหน้า
นั่นก็คือหุ่นเชิดโลหิตที่เขาอัญเชิญออกมา
จากนั้นชุดคลุมยาวสีโลหิตของเขาก็นูนขึ้น ม่านลำแสงสีโลหิตชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นมาบนร่าง
แม้ว่าหุ่นเชิดสีโลหิตทั้งสองตัวจะมีกำลังไม่อ่อนแอ แต่เขาเดี่ยวทั้งสองกลับผนึกรวมตัวกัน กลายเป็นกรวยอัสนีกรวยหนึ่งพร้อมกับเปล่งแสงสว่างวาบ ทะลุผ่านร่างเงาโลหิตสองสายไปราวกับไม้ผุๆ ทะลุไปบนร่างของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิต
ชั่วพริบตาตรงกลางของเงาสีโลหิตสองสายก็สลายหายไปท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง ม่านลำแสงสีโลหิตชั้นนั้นแค่ทำให้กรวยอัสนีหยุดชะงักเล็กน้อย และถูกทะลวงผ่านไปราวกับกระดาษ
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น ทรวงอกของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตปรากฎรูโลหิตขนาดเท่าปากชามขึ้น
แววตาของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่อง แขนทั้งสองตบไปบนร่างแรงๆ ราวกับล้อรถ
คาดไม่ถึงว่าจะแปะยันต์สีโลหิตไปรวดเดียวสิบกว่าแผ่น
สถานการณ์ที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น
บ่อโลหิตกว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่โลหิตที่อยู่ด้านในกลับไม่ไหลออกมา ก้อนโลหิตทั้งหมดเลื้อยไปมาอยู่ตรงขอบ และไปรวมตัวอยู่ตรงกลางอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้หญิงงามและมู่ชิงพลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง ถ้าหากผู้ที่สวมใส่ชุดคลุมสีโลหิตถูกสังหารเพราะประมาทจริงๆ แค่พลังของพวกนางสองคนก็ไม่อาจต้านทานอสูรอเวจีอัสนีสองตัวนี้ได้นานนัก
แต่ครานี้กรวยอัสนีที่อยู่ด้านหลังผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันหมุนวนรอบหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งกลับไป
ครั้งนี้เล็งเป้าไปที่หัวของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิต
แต่ไม่รอให้มู่ชิงและหญิงงามลงมือยับยั้ง ฉับพลันนั้นเงาสีดำพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ฝ่ามือสีม่วงแดงข้างหนึ่งพลันตะครุบลงไปราวกับพัดใบปาล์ม
แม้นว่ามือข้างนี้จะใหญ่เป็นพิเศษ แต่ความเร็วในการเคลื่อนไหวกลับน่าเหลือเชื่อ
เห็นเพียงมือยักษ์เลือนรางไปเล็กน้อย เปล่งแสงสว่างวาบราวกับภาพลวงตา คว้ากรวยอัสนีเล่มนั้นเอาไว้ในมือ และบีบเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมือ
แต่ครู่ต่อมาก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้นท่ามกลางมือยักษ์!
กรวยอัสนีมีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าจะพยายามดิ้นรนราวกับอสรพิษสีเงิน จากนั้นก็พลิ้วกายแยกออกเป็นสองส่วนอีกครั้ง จมหายเข้าไปที่เหนือศีรษะของทั้งสองกลายเป็นเขาเดี่ยวสีเงินสองเขาอีกครั้ง
เขาทั้งสองดูแล้วมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงระยิบระยับ การประมืออย่างรุนแรงเมื่อครู่ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
ทว่านั่นก็เป็นเพราะช่วงเวลาที่เสียไปนั้น อสูรทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามก็กระตุ้นธงเล็กๆ และจานอาคมเบื้องหน้าเสร็จแล้ว มันอ้าปากออกพร้อมกัน พ่นโลหิตบริสุทธิ์สองกลุ่มที่กลายเป็นหมอกโลหิตใส่ยุทธภัณฑ์
ธงด้ามเล็กและจานอาคมเปล่งแสงสว่างวาบ ดูดหมอกโลหิตเข้าไปจนเกือบหมด
จากนั้นอันหนึ่งก็กลายเป็นหมอกสีดำพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า อันหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในส่วนยอดของวิหารแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนจานอาคมก็ตกลงด้านล่าง กลายเป็นไอสีขาวสายหนึ่งจมหายเข้าไปในพื้นดิน
มู่ชิงและหญิงงามพลันรู้สึกตกตะลึง ไม่ทันได้รอให้พวกนางหมายจะลงมือก่อกวนอสูรทั้งสองอีก ฉับพลันความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฎขึ้น!
เห็นเพียงเหนือวิหารที่วิจิตรงดงามมีลำแสงสว่างวาบ ลวดลายสีดำเป็นสายๆ ปรากฎออกมา พวกมันขยับมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วราวกับไส้เดือน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเขตอาคมยักษ์สีดำทะมึน
เขตอาคมนี้เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ใจกลางเป็นสีดำสนิทดูลึกลับ ด้านในมีเสียงภูตผีกรีดร้องออกมา ดูเหมือนว่าจะฉีกเส้นทางของอีกห้วงเวลาหนึ่งออก
และในเวลาเดียวกันพื้นดินด้านล่างก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ อักขระขนาดเท่ากำปั้นทยอยกันทะลักออกมาจากใต้ดิน บ่อสีเขียวที่เดิมที่เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา เมื่ออักขระปรากฎขึ้น ไอหมอกก็หมุนวนตรงกลางมีเขตอาคมลำแสงสีทองขนาดใหญ่ปรากฎขึ้น
เขตอาคมลำสแงนี้ปรากฎขึ้นท่ามกลางม่านหมอก ชั่วครู่ก็ปกคลุมบ่อน้ำทั้งบ่อเอาไว้ และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงสีสองเรืองรอง ทำให้ผู้คนไม่อาจมองสบตาตรงๆ ได้
แม้ว่าจะไม่รู้สถานการณ์ของใต้บ่อน้ำที่ถูกม่านลำแสงปกคลุมเอาไว้ว่าเป็นอย่างไร แต่พื้นดินด้านนอกบ่อกลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ชั่วพริบตาก็สลายหายไป
ท่าทางของมู่ชิงและหญิงงามผมขาวนั้น แน่นอนว่าทั้งตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
แม้ว่าพวกนางจะไม่เชื่อว่าลิ่วจู๋จะถูกกักอยู่ด้านล่างง่ายๆ เช่นนี้ แต่เมื่อเขตอาคมนี้ถูกกระตุ้น คิดจะฉวยเกษียรเทวะมาในระยะเวลาอันสั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้
สิ่งที่ยุ่งยากยิ่งกว่าก็คือ เขตอาคมลำแสงสีดำกลางอากาศขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด ห่อหุ้มพวกที่อยู่ด้านล่างเอาไว้ และขณะที่อสูรทั้งสองกระตุ้นด้วยสีหน้าโหดเ**้ยม ก็ตกลงมาจากส่วนยอดของวิหารอย่างช้าๆ ค่อยๆ ครอบคลุมลงมา
เช่นนั้นพวกนางไม่ยอมถอยออกจากเหนือบ่อน้ำสีเขียว ก็ทำได้เพียงต้องทำใจดีสู้เสือเผชิญหน้ากับเขตอาคมนี้
“สหายมู่พวกเราสองคนร่วมมือกันโจมตี ทำลายเจ้าสิ่งนี้ก่อน พี่ตี้เสวี่ย เจ้าและหุ่นเชิดนั้นช่วยคุ้มครองพวกเราก็แล้วกัน” ในคราที่มู่ชิงลังเลเล็กน้อย ข้างหูก็มีเสียงแหบพร่าของหญิงงามผมขาวดังขึ้นที่ข้างหู
ความคิดของนางแล่นไปมาอย่างรวดเร็ว พลันพยักหน้า ดูเหมือนว่าจะมีเพียงต้องทำเช่นนี้แล้ว!
ในเวลาเดียวกันผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่ยืนอยู่บนร่างของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต ก็ได้ยินการถ่ายทอดเสียงเช่นกัน
ครานี้ตรงรูที่ถึงชีวิตสำหรับคนทั่วไปตรงทรวงอกของเขา ผสานเข้าหากันไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว นอกจากดวงตาทั้งสองที่จืดจางลงสองสามส่วน ท่าทางก็ดูไม่เป็นอะไรมาก
เมื่อได้ยินเสียงถ่ายทอดเสียงของฮูหยินชรา หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตขมวดคิ้ว สายตาก็กวาดไปยังมือยักษ์ของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่คว้ากรวยอัสนีไว้
เห็นเพียงในนิ้วทั้งห้าเป็นสีไหม้เกรียม และมีกลิ่นไหม้โชยออกมา
หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก็พยักหน้าอย่างเชื่องช้า
เท้าข้างหนึ่งแตะไปที่หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตใต้ร่างเล็กน้อย ตัวเองก็ใช้มือหนึ่งลูบไปในแขนเสื้อ โยนกล่องไม้สีทองออกมา
ชี้นิ้วไปทางมันพร้อมกับปากที่ร่าคาถา ชั่วขณะนั้นฝากล่องพลันโบยออกมา ลำแสงหลีกหนีหลากสีเจ็ดสายพุ่งออกมาจากด้านใน
ลำแสงหม่นแสงลง หุ่นเชิดรูปทรงประหลาดๆ เจ็ดตัวพลันปรากฎขึ้น
หุ่นเชิดเหล่านี้บ้างก็มีรูปทรงเป็นปีศาจอสูร บ้างก็แต่งกายเป็นเผ่าวิญญาณเหาะเหิน บ้างก็เป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ แม้กระทั่งมีอสูรรูปทรงแมลงอีกสองตัว สิ่งที่ดูเหมือนไส้เดือนยักษ์ตัวหนึ่ง อีกตัวกลับเป็นมดยักษ์ที่ตัวใหญ่กว่าปกติหลายเท่า
หุ่นเชิดเช็ดตัวล้วนถูกสร้างขึ้นจากทองคำ ผิวของมันมีอักขระเรียงรายอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยตั้งใจหลอมขึ้นอย่างประณีต
หญิงงามผมขาวเห็นฉากนี้ปากก็เปล่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ออกมา ร่างกายหมุนคว้าง ไอสีดำแปดกลุ่มพุ่งออกมาจากเรือนร่าง ด้านในมีเงาร่างมนุษย์สวมชุดเกราะสีดำคนหนึ่งปรากฎขึ้นลางๆ
นั่นก็คือราชันย์ภูตเกราะทมิฬที่ถูกหญิงงามเก็บเข้าไปฟื้นฟูพลังปราณทั้งแปด
หลังจากที่ราชันย์ภูตทั้งแปดปรากฎขึ้น ก็ล้อมหญิงงามผมขาวที่นั่งสมาธิลงโดยไม่ปริปาก ไอทมิฬสีดำบนร่างแผ่ออกมา ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเมฆสีดำขนาดสองสามหมู่ก้อนหนึ่ง
อีกด้านร่างของมู่ชิงพลิ้วไหว ผิวเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกต สองมือร่ายอาคม เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้น
ชั่วพริบตาดอกไม้ต้นหญ้าประหลาดๆ ปรากฎขึ้นรอบด้าน ล้อมสตรีผู้นี้เอาไว้ตรงกลาง
ครานี้อสูรอเวจีอัสนีครึ่งคนครึ่งปีศาจที่อยู่กลางอากาศสองตน กลับไม่สนว่าทั้งสามคนที่อยู่เบื้องล่างจะทำอะไร ทั้งสองแค่เปล่งแสงวิญญาณออกมาแล้วกระตุ้นเขตอาคมอย่างบ้าคลั่ง
ท่าทางมั่นอกมั่นใจในเขตอาคมนี้เป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายจะตัดสินความเป็นตายกันแล้ว หานลี่ที่แอบอยู่ตรงมุมหนึ่งกลับหน้าเปลี่ยนสี สะบัดแขนเสื้อ ไข่มุกกลมสีเขียวสิบกว่าเม็ดตกลงมาอยู่ตรงใจกลางฝ่ามือ จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็หรี่ลงมองไปอีกมุมหนึ่งของวิหาร
ในที่สุดไอสีเขียวและไข่มุกกลมที่ห่อหุ้มเขาอยู่ตรงนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว!