ลิ่วจู่มองสถานการณ์ของหานลี่ในครานี้แล้วกลับเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ไข่มุกดวงตาอสูรร้ายเม็ดนี้ เป็นสมบัติที่ข้าได้มาในวันวาน น่าเสียดายที่สมบัติชิ้นนี้และเคล็ดวิชาของข้าขัดแย้งกันเป็นอย่างมาก ไม่อาจหลอมเข้าไปในร่างได้ จึงทำได้เพียงหลอมมันเป็นสมบัติวิเศษดูดวิญญาณชิ้นหนึ่งเท่านั้น” ลิ่วจู๋เอ่ยอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“พี่ลิ่วจู๋! เจ้าเด็กนี้มีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่กลับมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าอัศจรรย์ เจ้าคิดว่าจะควบคุมเขาได้จริงๆ หรือ? ข้าและสหายมู่ยอมตัดใจจากสมบัติในสุสานมาร แต่ไม่หวังว่าจะเกิดความผิดพลาดอะไรอีก” หญิงงามผมขาวมองไปยังหานลี่แล้วเอ่ยปากถาม ใบหน้าแฝงความแค้นใจเอาไว้
“สหายหลันโปรดวางใจ อสูรร้ายอยู่ในระดับไหน เทียบได้กับจิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างมังกรเที่ยงแท้ ใช้เนตรทำลายล้างของมันหลอมเป็นสมบัติดูดวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงระดับเทพแปลงคนหนึ่ง แม้แต่เจ้าหรือข้าหากถูกไข่มุกเม็ดนี้ติดอยู่บนร่างสะกดวิญญาณเอาไว้ ก็ทำได้เพียงยอมถูกจับโดยละม่อมแล้ว หากสหายไม่เชื่อถือ ก็ลองทดสอบอานุภาพของไข่มุดเม็กนี้ดูได้” ลิ่วจู๋เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจมาก
“สหายกล่าวเช่นนี้ ข้าสองคนจะไม่เชื่อได้อย่างไร แต่แค่ข้ายังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพื่อสมบัติในสุสานมาร ข้าและพี่หญิงหลันได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ตอนนี้กลับไม่มีประโยชน์” มู่ชิงกลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“สิ่งทีเรียกว่าสุสานมาร ก็เป็นแค่มารปีศาจภายนอกทะลุมิติเข้ามาในแดนแม่น้ำอเวจีโดยบังเอิญและถูกอาวุโสของเผ่าแมลงเม่าในตอนนั้นร่วมมือกันสังหาร และฝังเอาไว้ที่นี่เท่านั้น มารที่มาจากภายนอกเหล่านั้นมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อก็จริง ส่วนสมบัติที่เจ้าพูดถึงน่าจะเป็นซากศพของพวกมันที่ถูกชโลมด้วยไอทมิฬอยู่หลายปี ส่วนที่พิเศษบางส่วนจึงมีจิตวิญญาณโดยอัตโนมัติ แม้ว่าสมบัติเหล่านี้จะมีประโยชน์ไม่น้อย แต่จะเทียบกับเกษียรเทวะได้อย่างไร อย่าลืมล่ะ ขอแค่กินน้ำเทวาเข้าไปแล้วเอาที่เหลือมาทาให้ทั่วร่าง ก็ทำให้ร่างกายกลายเป็นร่างกายสิทธิ์ วันข้างหน้าพลังในการควบคุมพลังวิญญาณฟ้าดินก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า เช่นนั้นการกลายเป็นเซียนสำหรับพวกเราก็ไม่ใช่เรื่องที่เพ้อฝันแล้ว หากโชคดีล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสขึ้นไปยังแดนเทพเซียน” ลิ่วจู๋เอ่ยขณะที่ตารวมเปล่งประกายระยิบระยับ
“เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องให้พี่พูด น้องหญิงก็รู้ดี แต่สมบัติชิ้นนึงในสุสานมาร ก็สำคัญกับข้ามาก มิเช่นนั้นข้าจะเสียเวลาดึงสหายหานมาเป็นพวกทำไมกัน” มู่ชิงยังคงมีท่าทีจนปัญญา
“ไม่ว่าสมบัตินั้นจะมีความสำคัญกับสหายมู่อย่างไร ตอนนี้หากพวกเราอยากได้สมบัติก่อนที่ทัพเสริมของเผ่าแมลงเม่าจะมาล่ะก็ มีเพียงต้องใช้วิธีที่พิเศษ ถึงจะทลายเขตอาคมได้อย่างรวดเร็ว และดึงดูดอสูรอเวจีอัสนีได้ หรือว่าสหายมู่อยากได้สมบัติในสุสานมารจนยอมละทิ้งเกษียรเทวะแล้ว” ลิ่วจู๋มองไปยังมู่ชิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เกษียรเทวะ แน่นอนว่าข้าไม่ยอมทิ้งแน่! ทั้งสองอย่างนี้คงต้องยอมทิ้งอันหนึ่งแล้ว” มู่ชิงพลันตัดสินใจ
“ถูกต้อง อีกอย่างข้าให้เจ้าเด็กแซ่หานล่ออสูรอเวจีอัสนีออกมา เขาก็อาจจะไม่ตายก็ได้ หากไม่ถึงชีวิต สหายมู่ก็ยังคงมีโอกาสไปล่าสมบัติที่สุสานมาร” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งเอ่ยปากพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมา
“หึ อสูรอเวจีอัสนีโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน หากเขาหนีรอดจากปากของอสูรตนนี้ได้ ก็นับว่าโชคหล่นทับแล้ว ทว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ย เมื่อครู่พวกเราคุยกันแค่ว่าจะร่ายอาคมใส่เจ้าเด็กน้อยหาน เหตุใดเจ้าถึงได้ไปร่ายอาคมใส่ลูกน้องของสหายหลันอย่างแม่หญิงทั้งสองด้วย” มู่ชิงแค่นเสียงหึ แววตากวาดไปยังข้างกายของคนผู้ที่สวมชุดสีโลหิต หยวนเหยาและเหยียนลี่ที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก
“น้องหญิงมู่ ไม่ต้องตกใจ ข้าถ่ายทอดเสียงไปบอกสหายตี้เสวี่ยให้จับเด็กสองคนนั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรเสียเด็กพวกนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว หากปล่อยให้เจ้าเด็กสองคนนี้วิ่งเล่นไปมา เกรงว่าจะมีปัญหาไม่น้อย ไอทมิฬที่บริสุทธิ์บนตัวของพวกนาง มีส่วนช่วยในการหลอมเกษียรเทวะกับแม่เฒ่าพอดี” หญิงงามผมขาวเอ่ยอย่างไม่แยแส
มู่ชิงได้ยินคำนี้ ก็ปิดปากฉับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“ในเมื่อจับได้แล้ว จากนี้ก็ทำตามแผนเถิด พวกเราร่วมมือกันทลายเขตอาคมก่อน แล้วควบคุมเจ้าเด็กแซ่หานให้ปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมา ล่ออสูรอเวจีอัสนีออกจากบ่อเทวะ เช่นนั้นพวกเราก็เอาเกษียรเทวะไปได้อย่างราบรื่นแล้ว” ลิ่วจู๋เอ่ย
“อสูรอเวจีอัสนีเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจะสามารถล่ออสูรตัวนี้ได้จริงๆ หรือ? อย่าขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวอีกกำมือ*ล่ะ!” หญิงามผมขาวกลับเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
“อสูรอเวจีอัสนีชอบกินอัสนีไฟฟ้ามากที่สุด อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเป็นหนึ่งในห้าอัสนีเทวา อสูรตนนี้จะยอมพลาดง่ายๆ ได้อย่างไร!” ลิ่วจู่กลับเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“พี่ลิ่วจู๋เอ่ยเช่นนี้ ตาเฒ่าก็วางใจแล้ว” หญิงงามพลันพยักหน้า รู้สึกอุ่นใจเล็กน้อย
“สหายตี้เสวี่ย กำแพงเชื่อมฟ้าด่านสุดท้ายต้องพึ่งหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตของเจ้าในการทำลายแล้ว” ลิ่วจู๋หันกายกลับไปเอ่ยกับผู้ที่สวมชุดคลุมโลหิตทั้งสองคน
“สาเหตุที่ข้าสองคนหลอมหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตนี้ ก็เพื่อการนี้!” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา
ลิ่วจู๋เห็นเช่นนั้น ก็พยักหน้า
ทันใดนั้นทุกคนก็ปรึกษารายละเอียดกันอีกครึ่งชั่วยาม หลังจากมั่นใจว่าทุกจุดไม่มีปัญหาแล้ว ก็พาจิตวิญญาณสีทองและปีศาจระดับสูงที่เหลือบินตรงไปยังเทือกเขาสีเทา
หานลี่และพวกสตรีอย่างหยวนเหยา ไม่ต้องให้พวกเขาลงมือใดๆ อีก ก็บินตามไปโดยอัตโนมัติ
ระยะทางร้อยลี้เศษสำหรับราชันย์ปีศาจเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา
หลังจากที่ลิ่วจู๋และพวกเข้าไปในเทือกเขา ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ล้วนมองไปทางซ้ายทีขวาทีไม่หยุด ทุกคนล้วนมีท่าทีระแวดระวัง
แต่ระหว่างทางกลับราบรื่นอย่างน่าประหลาด!
ไม่ต้องพูดถึงภูตที่ร้ายกาจอะไรเลย แม้แต่จิตวิญญาณทมิฬสักตนกลุ่มของพวกเขาก็ยังไม่พบ
ผลคือหนึ่งชั่วยามต่อมาทุกคนก็ข้ามผ่านกว่าครึ่งของเทือกเขาสีเทาไม่ได้ เบื้องหน้ามีแสงสว่างเจิดจ้า แอ่งกระทะขนาดยักษ์ปรากฎขึ้น
มองออกไปปราดเดียวแอ่งกระทะนี้มีความกว้างถึงยี่สิบสามสิบจั้ง รอบๆ ล้วนถูกเนินเขาสีเทาที่ทอดตัวยาวล้อมเอาไว้ และตรงใจกลางแอ่งกระทะกลับถูกม่านลำแสงสีดำชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ ม่านลำแสงนี้เป็นสีดำสนิท ทำให้ผู้คนไม่อาจมองทะลุผ่านเข้าไปเห็นสถานการณ์ด้านในได้เลยสักนิด
ลิ่วจู๋และพวกหยุดมองม่านลำแสงนี้ พิจารณาทุกอย่างรอบๆ
“โชคดีที่ครั้งที่แล้วคราที่พวกเรามา ได้สังหารภูตที่อยู่รอบนอกไปพอสมควรแล้ว มิเช่นนั้นตอนนี้หากมาที่นี่อีกล่ะก็ คงต้องเปลืองแรงอีกรอบหนึ่ง” มู่ชิงเอ่ยพึมพำออกมา
“แต่ครั้งที่แล้วพวกเราคิดไม่ถึงว่าในเขตอาคมจะมีอสูรอเวจีอัสนีตนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ ทำให้สหายจู่ต้องเพลี้ยงพล้ำไปโดยไม่ทันระวังตัว อสูรอเวจีอัสนีโตเต็มวัยตนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต่อกรได้จริงๆ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น
” เริ่มลงมือเถิด ทลายม่านลำสแงทมิฬนี้สักครึ่งหนึ่งก่อน แล้วล่ออสูรอัสนีตัวนั้นออกมา จากนั้นก็รอดูประสิทธิภาพของเขตอาคมลวงตาใบเทียนฮัวของสหายมู่ชิงแล้ว” ลิ่วจู๋เอ่ยกับมู่ชิงอย่างเคร่งเครียด
“ขอแค่ไม่ลงมือก่อน ในขณะที่ข้าควบคุมเขตอาคมใบเทียนฮัวด้วยตนเอง อสูรอเวจีอัสนีก็ไม่มีทางพบพวกเราแน่ แต่เขตอาคมนี้ต้องเสียพลังลมปราณและจิตสัมผัสไปจำนวนมาก ข้าไม่อาจยื้อไว้ได้นานนัก จะต้องให้เจ้าเด็กนั้นรีบล่ออสูรตนนี้ออกไปถึงจะสำเร็จ ทางที่ดีที่สุดยิ่งล่อออกไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” มู่ชิงเอ่ยด้วยความเคร่งขรึม
“จุดนี้ข้าย่อมทราบดี ข้าจะนำสมบัติเหาะเหินวิเศษที่เก็บสะสมเอาไว้ออกมาให้เขาใช้ สหายตี้เสวี่ยอีกเดี๋ยวเจ้าไปปลุกเสกยันต์เฉพาะสักสองสามแผ่น สหายหลันธงเฉียนคุนของเจ้าเอาให้เขาพกไป” ลิ่วจู่เอ่ยอย่างมีแผนการ
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ธงเฉียนคุน’ ชั่วขณะนั้นใบหน้าของหญิงงามผมขาวก็เผยสีหน้าไม่ยินยอมออกมา
“จะต้องเอาธงเฉียนคุนให้เจ้าเด็กนั่นจริงๆ หรือ แม้ว่ามันจะไม่ใช่สมบัติสะท้านฟ้า แต่ก็มีพลังป้องกันที่มหัศจรรย์มาก แม้กระทั่งแข็งแกร่งกว่าสมบัติสะท้านฟ้าบางประเภทหลายเท่า หากเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันอะไรเข้า…” หญิงงามพลันครุ่นคิดไปเล็กน้อย
“สหายน่าจะรู้ดี มีเพียงต้องทำให้เจ้าเด็กแซ่หานยื้อเวลาอสูรอเวจีอัสนีเอาไว้ให้นานที่สุด พวกเราถึงจะยิ่งปลอดภัย หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว เจ้าค่อยเอาธงกลับมาก็ได้แล้ว ในบรรดาพวกเราสามคนมีเพียงสมบัติชิ้นนี้ของเจ้า ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ลมปราณและคาถา ก็ทำให้เขาสามารถใช้ป้องกันตัวเองได้แล้ว” ลิ่วจู๋ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ก็ได้ ถือว่าให้เจ้าเด็กนั่นได้เปรียบก็แล้วกัน!” ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายหญิงงามผมขาวก็รวบมือทั้งสองด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมา จากนั้นธงเล็กๆ สีเงินขาวด้ามหนึ่งก็ปรากฎขึ้น
บนธงมีลำแสงเปล่งแสงระยิบระยับ ตัวอักษรกระพริบอยู่ลางๆ แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา
หญิงงามเอ่ยก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ยื่นนิ้วเรียวขาวนวลนิ้วหนึ่งชี้ไปทางธงด้ามเล็กสีเงิน
เสียง “สวบ” ดังขึ้น ธงด้ามเล็กกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งเข้าไปหาหานลี่
ลิ่วจู๋กระตุกมุมปากขึ้น แต่ไม่เห็นว่าเขามีเคลื่อนไหวใดๆ ดวงตาตรงหว่างคิ้วของหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบ สะบัดแขนเสื้ออย่างทื่อๆ พ่นหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งออกมา กวาดลำแสงสีเงินเข้าไปด้านใจ เก็บเข้าไปในแขนเสื้อ
จากนั้นเขาก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ตั้งแต้ต้นจนจบล้วนมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้จริงๆ
แต่ด้านหลังของเขาพลันมีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งปรากฎขึ้นอย่างแปลกประหลาด ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น
เสียง “พรึ่บๆ” อย่างอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตแปะยันต์วิเศษสิบกว่าใบลงไปบนร่างของหานลี่รวดเดียวภายในพริบตา
ชั่วขณะนั้นบนร่างของหานลี่พลันมีลำแสงโลหิตแฝงอยู่ กลิ่นอายแข็งแกร่งขึ้นกว่าครึ่ง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของมู่ชิงก็บินขึ้นไป หาที่ซ่อนตัวแห่งหนึ่ง แล้วร่อนลงไป
ดอกไม้สีทองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป สองเท้าของสตรีผู้นี้เหยียบอยู่บนพื้นดิน
รองเท้าของมู่ชิงมีไฟลุกไหม้อย่างไม่มีเหตุผล ท่ามกลางเปลวเพลิงสีขาวประหลาดๆ กลุ่มนั้น เท้าเปลือยอันเรียวเล็กและขาวนวลก็ปรากฎออกมา
หลังจากที่แขนเสื้อทั้งสองปลิวสะบัด ชั่วขณะนั้นลำแสงผืนใหญ่ก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นก็ทยอยกันจมหายเข้าไปกลางอากาศบริเวณรอบอย่างไร้ร่องรอย ทันใดนั้นเขตอาคมลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้น แต่เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบอย่างรุนแรงสองสามครั้งก็หายไปอย่างไร้เงา
ฉากที่ยากจะเชื่อพลันปรากฎขึ้น!
ท่ามกลางเสียงบริกรรมคาถาที่ไพเราะของมู่ชิง สองเท้าของสตรีผู้นี้พลันเปลี่ยนจากสีขาวเป็นเขียว กลายเป็นต้นไม้หนาๆ และไล่ขึ้นมายังส่วนขาอย่างรวดเร็ว
แทบจะในพริบตาตั้งแต่เอวลงมาของมู่ชิงก็กลายเป็นต้นไม้ หลังจากที่รากเลื้อยไปมาแล้ว ก็ปักลงลึกไปในใต้ดินสิบจั้งเศษ
ทันใดนั้นพื้นที่รอบด้านที่แต่เดิมโล่งเตียน ก็มีพืชพรรณดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนงอกออกมาบนพื้นดิน และชั่วพริบตาก็ผลิดอกออกผล ทำให้อาณาเขตร้อยจั้งเศษกลายเป็นทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้ เป็นสีเขียวขจี
เขตอาคมสีดำเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นบนพื้นดินอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าหมู่มวลดอกไม้ที่อยู่ในเขตอาคมลำแสงเหล่านี้ จะไม่งอกออกไปพ้นบริเวณเขตอาคมเลยสักต้น
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงระยิบระยับ ไม่ว่าต้นไม้ต้นหญ้าหรือดอกไม้ล้วนมีมู่ชิงเป็นใจกลาง แล้วพากันลางเลือนหายไป
*ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวอีกกำมือ หมายถึง คิดหาผลประโยชน์จากผู้อื่นจนเข้าเนื้อตัวเอง