“ข้าได้หลอมมีดเบญจมังกรเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจตั้งนานแล้ว ต่อให้นำมันออกไจปากที่นี่ ข้าก็สามารถใช้จิตสัมผัสเรียกมันกลับมาได้โดยอัตโนมัติ และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ให้เจ้ายืมสมบัติ การกระตุ้นพลานุภาพอย่างเต็มกำลังก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเป็นแค่จิตที่สิงอยู่ในหุ่นเชิด ข้าจะถ่ายทอดคาถาการใช้จิตสัมผัสควบคุมมีดเบญจมังกรให้เจ้าบทหนึ่งก็แล้วกัน แม้ว่าจะควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้ไม่นานนัก แต่ก็เพียงพอกลับการใช้ต่อกรกับผู้ที่มาจากภายนอก แต่เมื่อใช้คาถานี้ จิตสัมผัสของเจ้าที่สิงอยู่บนหุ่นเชิดจะเสียหายเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งอาจจะกระทบต่อร่างหลักของเจ้า เจ้ายังจะทำเช่นนี้อยู่หรือไม่?” เสียงแหบแห้งเอ่ยออกมารอบหนึ่ง
เมื่อได้ฟังแววตาของหุ่นเชิดพลันฉายลำแสงสีเขียวสว่างวาบ แต่ครู่ต่อมาก็เอ่ยว่า
“หากพวกเราไม่อาจยับยั้งคนที่มาจากภายนอกได้ ต่อให้กลับไปยังเผ่าได้อย่างปลอดภัย ก็จะได้รับโทษหนัก ชนรุ่นหลังจะยินยอมละทิ้งจิตสัมผัสเหล่านี้สู้ดูสักตั้ง”
“เยี่ยม เจ้าคิดเช่นนี้ก็จัดการง่ายแล้ว ฟังให้ดี ข้าจะถ่ายทอดคาถาให้กับเจ้า” เจ้าของน้ำเสียงแหบแห้งหัวเราะหึๆ ออกมา จากนั้นเสียงนั้นก็หายไป
แต่แววตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตกลับเปล่งประกายไม่หยุด เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา ดูเหมือนว่าจะตั้งใจฟังอะไรสักอย่างอยู่
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หุ่นเชิดก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลังจากสักการะถ้ำรอบหนึ่ง ก็เอ่ยขอตัวลา
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบเคล็ดวิชาให้ ชนรุ่นหลังจะขอตัวไปเตรียมตัวอย่างไม่รีรอแล้ว”
“ช้าก่อน ยาลูกกลอนนี้ให้หุ่นเชิดตนอื่นๆ กินซะ ขอแค่ภูตเหล่านี้ฟื้นฟูลมปราณกลับมา ก็จะช่วยเจ้าได้อีกแรงแล้ว ตาเฒ่าเองก็จะไม่เอาเปรียบชนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้า”
เสียงแหบแห้งเอ่ยจบพายุประหลาดกลุ่มหนึ่งก็ม้วนวนพุ่งออกมาจากในถ้ำ เมื่อพายุสลายหายไป เบื้องหน้าหุ่นเชิดกลับมีขวดหยกสีขาวเพิ่มขึ้นมาหนึ่งขวด
หุ่นเชิดเกราะสีโลหิตเห็นสิ่งนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นจึงเก็บขวดหยกลงไป แล้วคารวะพร้อมกับขอตัวกล่าวลา ภูตเหล่านี้ก็เดินตามหุ่นเชิดออกไปด้านนอกอย่างไม่ขัดขืน
…….
ในเวลาเดียวกันลิ่วจู๋เป็นผู้นำพาพวกข้ามผ่านป่าไม้ที่แห้งกรอบ โครงกระดูกฝูงใหญ่บินออกมาจากป่าผืนนั้น
โครงกระดูกเหล่านี้ดูแล้วคือโครงกระดูกของอสูรแมลงที่ตายไปแล้ว ขาหน้าดูใหญ่เป็นพิเศษ ราวกับมีดกระดูกยักษ์สองเล่มอย่างไรอย่างนั้น ร่างกายถูกไอสีเหลืองห่อหุ้มเอาไว้ พุ่งตรงไปหาหุ่นเชิดและทหารภูต
ส่วนลิ่วจู๋และพวกนั้นคิดว่าจะประหยัดลมปราณ แต่หุ่นเชิดและทหารภูตเหล่านั้นพลันใช้การโจมตีต่างๆ ถาโถมเข้าไป
ดาบลำแสงไอกระบี่และพายุทมิฬที่พุ่งลงมาจากเบื้องสูงโจมตีโครงกระดูกทั้งหมดจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น!
ไม่ว่าหุ่นเชิดเหล่านี้จะถูกทำลายด้วยวิธีใด ต่อให้แตกออกเป็นชิ้นๆ จนนับไม่ถ้วน แต่เมื่อตกลงในป่าแห้งแล้ง ก็จะรวมตัวกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม จากนั้นก็กระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างดุดันอีก
ของเหล่านี้ดูเหมือนร่างที่เป็นอมตะไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่ที่อยู่ในกลุ่มก็ไม่ได้ลงมือเช่นกัน แต่มองฉากนี้แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
โชคดีที่ในกลุ่มยังมีหุ่นเชิดและทหารภูตอยู่ มิเช่นนั้นเจ้าสิ่งที่ฆ่าไม่ตายนั้น มิน่าล่ะลิ่วจู๋และพวกจึงเตรียมหุ่นเชิดและทหารภูตมาด้วย
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น คนกลุ่มนี้บินไปได้กว่าครึ่งวันเต็มๆ โดยการคุ้มกันของหุ่นเชิดและทหารภูต ถึงได้บินออกจากป่าอันแห้งแล้งได้
เพิ่งจะบินออกมาจากผืนป่า หลังจากโครงกระดูกอสูรแมลงเหล่านี้ถูกโจมตีจนแหลกละเอียดแล้วตกลงไปบนพื้น กลับทยอยกลายเป็นกลุ่มควันสีเหลือง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
โครงกระดูกตนอื่นเห็นเช่นนั้น ในใจพลันอดที่จะรู้สึกตกใจไม่ได้! ดูแล้วในป่าแห้งแล้งแห่งนั้นคงจะมีอะไรที่พิเศษเป็นแน่
หากไม่ใช่เพราะลิ่วจู๋และพวกรีบเดินทาง เขาก็อยากลงไปตรวจสอบด้านล่างสักหน่อย
กลุ่มคนบอกมาได้ไม่ไกลนัก เบื้องหน้าพลันมีแม่น้ำสีดำปรากฎขึ้น ผิวน้ำดำสนิทราวกับน้ำหมึก และยิ่งไปกว่านั้นยังมีหมกสีเขียวอ่อนปกคลุมออยู่เต็มไปหมด แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร
แต่ลิ่วจู๋ที่อยู่เบื้องหน้ากลับไม่สนใจเลยสักนิด นำกลุ่มเข้าไปในหมอกบางๆ
ไม่นานนัก ในหมอกก็มีเสียงรบราฆ่าฟันดังขึ้นอีกครั้ง……
……
หนึ่งเดือนต่อมาภายใต้สถานการณ์ที่หุ่นเชิดนับร้อยนับพันตัวและทหารภูตหลายร้อยนายบาดเจ็บล้มตายไปจนเกือบหมดเช่นนี้ หลังจากที่กลุ่มของลิ่วจู๋มองเทือกเขาสีเทาเข้มอยู่ลิบๆ แล้ว ในที่สุดก็มาถึงเป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางนี้
เทือกเขากระดูกทมิฬที่มีเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจีซ่อนอยู่!
ครานี้ในกลุ่มนอกจากมูนชิง ลิ่วจู๋และพวกราชันย์ปีศาจสองสามคน ปีศาจระดับสูงก็เหลืออยู่เพียงหร็อมแหร็ม จากอิทธิฤทธิ์ของหานลี่และจิตวิญญาณสีทอง แน่นอนว่าทั้งสองย่อมปลอดภัย
ระหว่างทางหยวนเหยาและเหยียนลี่ประสบกับอันตรายไปสองสามครั้ง แต่ด้วยความใส่ใจดูแลของหานลี่ จึงได้รับบาดเจ็บเพียงน้อยนิดเท่านั้น นับได้ว่าไม่ได้ทิ้งชีวิตเอาไว้บนเส้นทางนั้น
ครานี้กลุ่มคนที่อยู่ห่างจากเทือกเข้าไปมากกว่ารอยลี้พลันหยุดลง ราชันย์ปีศาจสองสามคนรวมตัวกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วปรึกษาอะไรกันสักอย่างอีกครั้ง
หานลี่มองไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป ในใจรู้สึกหนักอึ้ง
ระยะทางครึ่งหลังนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปหน่อย
แต่เดิมคิดว่าจากความอันตรายของแดนแม่น้ำอเวจี ตนเองจะหาวิธีหาโอกาสหนีจากแม่เฒ่าภูตและพวกได้
แต่คิดไม่ถึงว่าแม้ว่าหนทางต่อมาจะพบกับอุปสรรคไม่น้อย แต่ก็ไม่พบอันตรายอะไรที่ดึงเหล่าราชันย์ปีศาจออกไปได้ และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าวานรที่มีสติปัญญาอย่างจิตวิญญาณทองก็ถูกมู่ชิงมอบหน้าที่อะไรสักอย่าง จึงอยู่ข้างกายหานลี่จนแทบจะไม่ยอมออกห่างเลยแม้แต่ก้าวเดียว
สิ่งที่ทำให้หานลี่กลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิมก็คือ เขาพบว่าวานรวิญญาณตนนี้เชี่ยวชาญในเรื่องเนตรวิญญาณ แม้ว่าเขาจะใช้วิธีการอำพรางอะไร ก็ไม่อาจหนีรอดพ้นจากการจับตามองของอีกฝ่ายได้
แน่นอนว่าหากแค่เขาคนเดียวล่ะก็ เขาก็อาจจะอาศัยความสามารถของยันต์ชำระพิสุทธิ์ หนีไปไกล อีกฝ่ายก็ไม่อาจมองกำจัดยันต์ชนิดนี้ได้
ถึงอย่างไรเสียจากพลังยุทธ์ของเขาที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากสำแดงอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว ผลในการอำพรางตัวก็ต้องเหนือกว่าในอดีตอย่างไม่อาจเทียบเคียงได้
แต่ไม่พาสตรีทั้งสองอย่างหยวนเหยาและเหยียนลี่ไปด้วย ก็ไม่อาจกำจัดผนึกของสี่ราชันย์ปีศาจในร่างได้ เช่นนั้นเขาจะหนีไปไกลได้อย่างไร
หานลี่มองไปยังเทือกเขาสีเทาที่อยู่ไกลออกไป ในใจอดที่จะขบคิดอะไรไปมาไม่หยุดไม่ได้
จากที่ลิ่วจู๋และพวกเอ่ย สิ่งที่เรียกว่า ‘เกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี’ น่าจะอยู่ตรงใจกลางของเทือกเขา แม้ว่ามู่ชิงและพวกของลิ่วจู๋จะไม่เคยแพร่งพรายประโยชน์ของเกษียรเทวะนี้ออกมา แต่แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับลิ่วจู๋และพวกที่อยู่ในระดับหลอมร่างขั้นปลายยังยอมเสี่ยงอันตรายเข้ามาที่นี่อย่างไม่เสียดาย ก็รู้ความล้ำค่าของของสิ่งนี้แล้ว
ทว่าในเมื่อแดนแม่น้ำอเวจีคือแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแมลงเม่า รอบๆ สมบัติระดับฟ้าดินนี้จะต้องมีเขตอาคมอย่างหนาแน่น ไม่ใช่สิ่งที่เอามาได้ง่ายๆ ไม่รู้ว่าวางเขตอาคมที่น่ากลัวอะไรไว้ หรือว่ามีอะไรที่แข็งแกร่งคอยปกปักษ์รักษาอยู่
หานลี่พลันมีความรู้สึกระวังภัยปรากฎขึ้น ฉับพลันนั้นพลันมองไปทางราชันย์ปีศาจที่กำลังถ่ายทอดเสียงสนทนากัน
เห็นเพียงลิ่วจู๋และพวกกำลังใช้สายตากวาดมาทางเขา
พวกเขามีสีหน้ที่แตกต่างกันปรากฎขึ้นบนใบหน้า และยิ่งไปกว่านั้นยังแฝงความฉุนเฉียวเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่ากำลังโต้แย้งกันอยู่
มู่ชิงสั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง ส่วนตารวมของลิ่วจู๋กำลังมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ใบหน้ากลับมีสีหน้าเ**้ยมโหดปรากฎขึ้น ส่วนหญิงงามผมขาวนั้นก็มีสีหน้าครุ่นคิดตัดสินใจไม่ได้ แต่ใบหน้าของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองกลับมีลำแสงสีโลหิตปกคลุมอยู่จึงมองสีหน้าของพวกเขาไม่ออก
ราชันย์ปีศาจเหล่านี้ล้วนกำลังถ่ายทอดเสียงปรึกษากันไปพลาง ใช้หางตาเหลือบมามองเขาเป็นบางครั้งคราวไปพลาง
หานลี่พลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
ปีศาจเหล่านี้กำลังพูดถึงเขาอยู่!
แม้ว่าเขาจะไม่รู้เนื้อหาในบทสนทนา แต่การเอ่ยถึงเขาในครานี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่
หานลี่ระงับความรู้สึกไม่ปลอดภัยในใจเอาไว้ ชักสายตากลับไปมองเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้ง สายตาเปล่งประกายไม่หยุด
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ข้างหูของหานลี่พลันมีเสียงเย็นชาของลิ่วจู๋ดังขึ้น
“สหายหาน เจ้ามานี่หน่อยซิ พวกเรามีเรื่องต้องการให้เจ้าไปจัดการ!”
หานลี่เม้มริมฝีปากร่างกายพลิ้วไหว บินเข้าไปอย่างเชื่องช้า
“ไม่ทราบว่าเหล่าอาวุโสมีรับสั่งอะไรหรือขอรับ?” เมื่อหานลี่มาถึงข้างกายของลิ่วจู๋ มู่ชิงและพวก สองมือก็ประสานกันคารวะแล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ
ตารวมคู่นั้นของลิ่วจู๋กวาดมาบนใบหน้าของหานลี่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนมู่ชิงและหญิงงามนั้นมีสีหน้าดูไม่ได้ไปเล็กน้อย
“สหายหานเจ้าลองดูสิ่งนี้สิ!” ฉับพลันนั้นลิ่วจู๋ก็ยกมือหนึ่งขึ้น ในมือมีไข่มุกกลมๆ สีดำเม็ดหนึ่งปรากฎออกมา ให้หานลี่พิเคราะห์ดู
หานลี่เห็นเจ้าสิ่งนี้พลันตกตะลึง รู้สึกว่าคุ้นตาเป้นอย่างมาก จึงอดที่จะอยากเพ่งพินิจอีกสองสามคราไม่ได้
แต่การมองนั้นไม่สำคัญ ผิวของไข่มุกกลมๆ สีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีดำบางๆ สายหนึ่งพุ่งออกมาจากไข่มุก
“แย่แล้ว!” หานลี่ร้องอุทานออกมาในใจ คิดจะหลบหลีก แต่บรรยากาศรอบด้านกลับตึงเปรี้ยะ แข็งราวกับเหล็กกล้าบริสุทธิ์ กักร่างกายของเขาเอาไว้
คาดไม่ถึงว่ามู่ชิง หญิงงามที่อยู่ด้านข้างจะยกมือหนึ่งขึ้นพร้อมกัน สำแดงอาคมใส่เขา
แม้ว่าหานลี่จะมีพลังเทวาอยู่ทั่วร่าง แต่เมื่อระดับหลอมร่างสองคนลงมือก็ทำได้เพียงเปล่งแสงสีทองออกมาจากร่าง ร่างกายพลิ้วไหวเล็กน้อย แล้วไม่อาจกระดิกตัวได้อีก
เส้นไหมสีดำเปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปตรงหว่างคิ้วอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่มีลำแสงสีดำสว่างวาบขึ้นบนใบหน้า ชั่วขณะนั้นดวงตาทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึก สีหน้าดูผ่อนคลาย ไม่มีท่าทีดิ้นรนขัดขืนอีก
“อ๊ะ!” หยวนเหยาและเหยียนลี่ที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นฉากนี้ ชั่วขณะนั้นก็ตกตะลึงจนหน้าถอดสี
ไม่รอให้สตรีทั้งสองเคลื่อนไหวใดๆ เบื้องหน้าพลันมีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนมาปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้าสตรีทั้งสองอย่างแปลกประหลาด
เสียง “แปะๆ” ดังขึ้น ยันต์สีโลหิตสองสายแปะไปบนหัวไหล่ของสตรีทั้งสอง
ชั่วขณะนั้นยันต์โลหิตก็ระเบิดออก กลายเป็นเส้นไหมสีโลหิตสองกระจุกห่อหุ้มสตรีทั้งสองเอาไว้ข้างในในชั่วพริบตา
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งใช้มือหนึ่งร่ายคาถา เส้นไหมสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบละลายหายเข้าไปในร่างของสตรีทั้งสอง
หยวนเหยาและเหยียนลี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายเป็นเหน็บชา ชั่วพริบตาก็สูญเสียการรับความรู้สึกไป สูญเสียการควบคุมร่างกาย แต่จิตสัมผัสกลับยังคงกระจ่างแจ้ง
แววตาของสตรีทั้งสองเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว แต่กลับไม่อาจควบคุมสีหน้าบนใบหน้าได้เลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าแข็งทื่อเป็นอย่างยิ่ง
“ยันต์ควบคุมร่างของข้าสามารถควบคุมร่างกายทั้งหมดของผู้อื่นได้ แม้กระทั่งการโคจรไอวิญญาณในร่างก็ล้วนควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าพวกเจ้าจะยังมีสติสัมปชัญญะ แต่หากข้าไม่คลายยันต์นี้ออก พวกเจ้าก็เหมือนกับคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตอีกคนเอ่ยอย่างราบเรียบ
ทันใดนั้นผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนก็สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีโลหิตสองผืนก็ม้วนหญิงสาวทั้งสองเอาไว้ แล้วพุ่งออกไปไกล
กระพริบวาบสองสามครั้ง พวกเขาก็พาหยวนเหยาและเหยียนลี่มาปรากฎตัวที่เดิม
และในตอนนั้นลิ่วจู๋ก็ร่ายอาคมใส่ไข่มุกสีดำในมือ ปากพลันบริกรรมคาถาในเวลาเดียวกัน
ชั่วครู่ไข่มุกกลมๆ ก็เปล่งเสียงร้องครวญออกมา ฉับพลันนั้นพลันดิ้นสะบัดหลุดออกจากมือ
หลังจากกระพริบวาบ ก็ฝังลงไปบนหว่างคิ้วของหานลี่แน่น ราวกับเป็นดวงตาที่สามอย่างไรอย่างนั้น
ผิวของไข่มุกเม็ดนี้เปล่งแสงสีดำกระพริบวาบไม่หยุด ช่างดูแปลกประหลาดยิ่ง!