คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก บนหัวมีหนวดยาวๆ งอกออกมา มีขาดุจใบมีดหกข้าง
ตัวประหลาดตัวนี้มีขนาดไม่เล็กไปกว่าหุ่นเชิดสีแดงโลหิตเท่าใดนัก บนร่างกายมีขนแข็งๆ ดุจหนวดเหล็กกล้าอยู่เต็มไปหมด ดวงตาทั้งสองเรียวบางเป็นอย่างยิ่ง เปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ปีกสีดำที่แผ่นหลังสี่ปีกกำลังกะพรืออยู่
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงประหลาดขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
แมลงตัวนี้และหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตอยู่ใกล้กับเงาแมลงขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถต้านทานเสียงแหลมสูงนั้นได้อย่างปลอดภัย และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงกระพริบวาบประหลาดๆ ราวกับภูตผี เสาลำแสงสีแดงเป็นสายๆ ดูเหมือนจะทะลุผ่านร่างของทั้งสองไป แต่ความจริงแล้วกลับเป็นแค่การโจมตีไปยังเงาลวงตาที่ยังเหลืออยู่ของทั้งสองเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันที่หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตตัวนั้นกำลังหลบหลีกนั้น ในมือพลันมีขวานยักษ์ด้ามหนึ่งปรากฎขึ้น ขวานรูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นสายๆ สับลงมาไม่หยุด
ส่วนการโจมตีจากแมลงยักษ์สีดำยิ่งอัศจรรย์มากกว่า ในเวลาเดียวกันที่ขาทั้งหกเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีดำที่ดูเหมือนกรวยแหลมเป็นสายๆ ก็ระเบิดตัวออกแล้วพุ่งออกมาเต็มไปหมด
การโจมตีกว่าครึ่งของทั้งสองถูกเสาลำแสงสีแดงกวาดไปจนหมด มีส่วนน้อยที่ผ่านตาข่ายยักษ์ไป แต่เมื่อสัมผัสกับเงาแมลงที่อยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ก็ถูกพลังไร้รูปร่างชั้นหนึ่งต้านทานเอาไว้ แล้วทยอยกันระเบิดตัวออก
“นี่คืออะไร หรือว่าคือระดับแมลงเม่าสวรรค์!” เมื่อหญิงงามมองเห็นเงาแมลงอย่างชัดเจน ก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
“เทียบกับเรื่องนี้ ข้าสนใจร่างเดิมของสหายลิ่วจู๋มากกว่า” มู่ชิงกลับแววตาหดเล็กลงขณะเอ่ยพึมพำ
“สหายมู่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาถกกันเรื่องนี้ ระดับแมลงเม่าสวรรค์เป้นสิ่งมีชีวิตที่เป็นรองแค่ระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในเผ่าแมลงเม่าเท่านั้น หากมาปรากฎตัวที่นี่จริง พวกเราก็ไม่อาจหนีพ้นจากการไล่ล่าของอีกฝ่ายสักคนแน่” หญิงงามได้สติขึ้นมาจากความตะลึงงัน ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าดูไม่ได้
“พี่หญิงหลันวางใจ หรือว่าดูไม่ออกหรือ? ที่มาปรากฎตัวที่นี่เป็นแค่การฉายภาพเงาของระดับแมลงเม่าสวรรค์เท่านั้น เหมือนว่าจะถูกหุ่นเชิดที่ไล่สังหารพวกของลิ่วจู๋ตัวนั้นใช้เคล็ดวิชาลับอะไรบางอย่าง เรียกออกมาที่นี่ เมื่อเงาลวงตานี้สูญสิ้นพลังไป ก็จะหายตัวไปทันที ลิ่วจู่และตี้เสวี่ยน่าจะรู้ข้อนี้ดี ถึงได้ยื้อเวลาออกไปไม่หยุด!” มู่ชิงเอ่ยด้วยแววตาที่เย็นเยียบ
“การฉายภาพเงา!”
หญิงงามผมขาวพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็พิจารณาเงาลวงตาที่ดูเหมือนแมลงวันยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างวางใจว่า
“เป็นแค่การฉายภาพเงาเท่านั้น น่าจะมีพลังของระดับแมลงเม่าสวรรค์แค่สองสามส่วน และยิ่งไปกว่านั้นการฉายภาพเงานั้นจะนำมาแค่พลัง ไม่ได้หยิบยืมจิตสัมผัสของร่างหลักมา มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่อาจต่อกรได้นานขนาดนี้ แต่เช่นนี้การโจมตีของเจ้าสิ่งนี้ก็รุนแรงเกินไปหน่อยจริงๆ หุ่นเชิดและลิ่วจู๋ยังคงไม่กล้าถูกโจมตีเข้าให้เลยสักนิด”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แม้ว่าจะเป็นแค่พลังจากการฉายภาพเงา ระดับแมลงเม่าสวรรค์ของเผ่าแมลงเม่าก็เป็นรองแค่ระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้เท่านั้น พวกเราจะต่อกรได้อย่างไร!” มู่ชิงหยักมุมปากขึ้น
สตรีทั้งสองเข้าใจความเป็นมาของเงาแมลง ก็ไม่เข้าไปอีก แค่มองดูการณ์ต่อสู้อยู่ที่เดิมจากที่ไกลๆ รอให้พลังของเงาแมลงสูญไป
หานลี่นั่งฟังอยู่ด้านข้าง ใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่านสองสามครั้ง
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสอดมือไปยุ่งได้ แน่นอนว่าย่อมปิดปากเงียบ
ครานี้หญิงงามพลันกวาดดสายตาไปยังปีศาจระดับสูงที่ยังคงนอนกลิ้งอยู่บนพื้น แล้วพลันขมวดคิ้ว สะบัดแขนเสื้อไปด้านล่าง
ลำแสงสีดำผืนหนึ่งม้วนออกไป ชั่วพริบตาก็ห่อหุ้มปีศาจทั้งหมดเอาไว้
ชั่วขณะนั้นสติสัมปชัญญะของปีศาจเหล่านี้พลันกระจ่างขึ้น ในที่สุดก็หยุดกลิ้งไปกลิ้งมา แต่ร่างกายยังคงไร้เรี่ยวแรง ไม่อาจหยัดกายลุกขึ้นได้เลยสักนิด
ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หญิงงามกลับไม่ได้คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่ง แค่หันหน้าไปจ้องเงาแมลงยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้ง
เหมือนกับที่มู่ชิงเอ่ยเอาไว้ไม่มีผิด!
เงาแมลงยักษ์ที่ดูเหมือนมีพลังมากมาย หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งมื้ออาหารก็ระเบิดลำแสงสีแดงเจิดจ้าออกมา ทันใดนั้นก็ระเบิดตัวออก มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วพริบตาเสาลำแสงสีแดงสดที่หนาแน่นพลันสลายหายไป
แมลงประหลาดสีดำและหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่กำลังหลบหลีกด้วยความเร็วสูงอยู่ท่ามกลางเสาลำแสง พลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งในเวลาเดียวกัน ร่างกายแข็งทื่อยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ลำแสงสีม่วงและลำแสงสีดำบนร่างของทั้งสองพลันกระพริบระยิบระยับโคจรไปมาไม่หยุด
เมื่อฟื้นฟูปราณแท้กลับมาเล็กน้อย ทั้งสองก็ควบคุมลำแสงหลีกหนีพุ่งไปหามู่ชิงและพวก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตและแมลงประหลาดสีดำก็มาอยู่เหนือสตรีผู้งดงามและพวก
แม้นว่าในใจจะมั่นใจแล้วว่าแมลงประหลาดนี้เป็นสิ่งที่ลิ่วจู๋สร้างขึ้น มู่ชิงและสตรีผู้งดงามก็ยังจ้องเขม็งไปยังแมลงตัวนั้นอย่างเคร่งขรึม
ผลคือลำแสงสีโลหิตพลันสว่างวาบขึ้นที่หัวไหล่ของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนบินขึ้นมาจากหัวไหล่ของหุ่นเชิด เมื่อครู่ทั้งสองได้ซ่อนตัวอยู่ในหุ่นเชิดมาโดยตลอด
ลำแสงสีดำบนร่างของแมลงประหลาดสีดำไหลโคจรไปมา ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นลำแสงวิญญาณพลันสว่างวาบ ชั่วครู่ก็กลายเป็นเงาร่างคน
สวมชุดคลุมยาวสีดำ นั่นก็คือลิ่วจู๋
แต่แค่ในครานี้หมวกสีดำที่เขาสวมอยู่ปลิวหายไปไหนไม่รู้ เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา
หลังจากที่หานลี่พินิจมองไป ฉับพลันนั้นหัวใจะพลันเต้นระรัว
เห็นเพียงใบหน้าส่วนล่างของลิ่วจู๋นั้นไม่ต่างอะไรกับบุรุษธรรมดาๆ เลยสักนิด ผิวเรียบลื่นและมีความยืดหยุ่น ดูแล้วอ่อนวัยมาก แต่ดวงตาทั้งสองที่อยู่ส่วนบน กลับเป็นตารวมสีเขียวมรกตคู่หนึ่ง
ขณะที่ตารวมสีเขียวคู่นี้กลอกไปมา ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้า
“เป็นสหายลิ่วจู๋จริงๆ ด้วย!” หญิงงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
“อันใด สหายหลันสงสัยข้าน้อยหรือ?” ลิ่วจู๋ที่อยู่สูงขึ้นไปเอามือไพล่หลัง เอ่ยอย่างไม่แยแส
“ที่แท้ร่างของพี่ลิ่วจู๋ก็เป็นแมลงวิญญาณ แต่ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับเผ่าแมลงเม่าหรือไม่?” แววตาของมู่ชิงมีความประหลาดใจฉายแวบผ่าน กลับเอ่ยปากถามแทรกขึ้น
“เผ่าแมลงเม่า? เดิมทีข้าก็มาจากเผ่านี้ ไม่ทราบว่าคำตอบนี้ สหายทั้งสองพอใจหรือไม่!” ลิ่วจู๋หัวเราะน้อยๆ ออกมา ใช้น้ำเสียงคลุมเครืออธิบายขึ้น
เมื่อได้ยินคำนี้มู่ชิงและหญิงงามผมขาวก็พากันหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง!
“เช่นนั้นพี่ลิ่วจู๋ก็รู้จักที่นี่อยู่แล้ว แล้วจงใจล่อพวกเรามาที่นี่ หุ่นเชิดของเผ่าแมลงเม่าเหล่านั้น ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องอะไรกับสหาย” หญิงงามเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จุดนี้สหายทั้งสองเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว! แม้ข้าจะรู้ว่ามีแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเผ่า แต่ตอนนั้นที่อยู่ในเผ่านั้นมีพลังยุทธ์ต่ำต้อยนัก จึงไม่รู้ตำแหน่งที่เป็นรูปธรรม ข้าน้อยอยู่ในเหวพสุธามาตั้งหลายปี ติดอยู่กับระดับนี้มาไม่รู้ตั้งกี่เดือนกี่ปี หากรู้ว่าเหวพสุธามีทางเข้ามาที่นี่ จะยืดเวลามาถึงตอนนี้แล้วถึงได้พาเหล่าสหายเข้ามาทำไมกัน ข้าเองบังเอิญพบทางเชื่อมระหว่างเหวพสุธาและแม่น้ำอเวจีเข้าพอดี ส่วนหุ่นเชิดที่เผ่าแมลงเม่าส่งมาปรากำตัวที่นี่นั้น ข้าน้อยย่อมไม่รู้จริงๆ จากที่ข้ารู้มาแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแห่งนี้จะเปิดขึ้นสองสามพันปีครั้ง จากที่พวกเรามาครั้งที่แล้ว มันเพิ่งผ่านไปแค่สองสามร้อยปีเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังมาพบกับหุ่นเชิดเหล่านี้ได้ ย่อมแสดงว่าพวกเราดวงซวยไปหน่อย หากข้าน้อยและเผ่าแมลงเม่ามีความเกี่ยวข้องกัน จะปล่อยให้หุ่นเชิดเหล่านั้นเข้ามาที่นี่ทำไม อิทธิฤทธิ์ของเหล่าสหายข้าน้อยย่อมรู้ดี” ลิ่วจู่ตอบกลับอย่างราบเรียบ
ฟังจากคำพูดของลิ่วจู่แล้ว หญิงงามและมู่ชิงพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง
แม้ทั้งสองจะไม่อาจหาความผิดปกติอะไรได้ในคำตอบเมื่อครู่ แต่ทั้งสองล้วนเป็นผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรมาตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่ใช่ความจริงทั้งหมดอย่างแน่นอน แต่แค่เวลานี้ไม่อาจหาอะไรมาโต้แย้งได้
“สหายตี้เสวี่ย เจ้าคิดว่าอย่างไร!” มู่ชิงหันหน้าไป ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยถามผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองคน
หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองคนปรากฎตัวขึ้น ก็ยืนอยู่บนหัวไหล่ของหุ่นเชิดทั้งสองฝั่งโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ครานี้เมื่อได้ฟังคำพูดของมู่ชิงแล้ว ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตก็มีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบในดวงตา มองสบตากันแวบหนึ่ง หนึ่งในนั้นถึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบว่า
“ข้าน้อยคิดว่าพี่ลิ่วจู๋ไม่ได้โกหก ต้องเข้าใจว่าระยะเวลาที่พี่ลิ่วจู๋อยู่ในเหวพสุธา แม้ว่าจะไม่ได้นานที่สุด แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่สั้นที่สุด จึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเช่นนี้ หรือว่าสหายทั้งสองคิดจะกลับไปหรือ? พวกเราล่วงเกินเผ่าแมลงเม่าไปแล้ว หากไม่ได้น้ำเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจีไป เจ้าทั้งสองยินยอมหรือ?”
คำพูดของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต คาดไม่ถึงว่าจะยืนอยู่ฝั่งลิ่วจู๋
เมื่อเห็นท่าทางของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต มู่ชิงและหญิงงามก็อดที่ส่งสายตากันไปมาไม่ได้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หญิงงามผมขาวก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง เผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“ในเมื่อสหายตี้เสวี่ยกล่าวเช่นนี้ ยายเฒ่าและสหายมู่ย่อมเชื่อพี่ลิ่วจู๋ ทว่าในเมื่อเผ่าแมลงเม่ารู้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งผิดปกติ เหตุใดถึงไม่ส่งคนมามากหน่อย หรือว่าให้สิ่งมีชีวิตระดับสูงอย่างระดับแมลงเม่าสีทองลงมาเอง เช่นนั้นต่อให้พวกเรามีปีกก็หนีได้ยากแล้ว”
“นั่นมันเข้าใจได้ง่ายมาก เกรงว่าแม้เผ่าแมลงเม่าจะพบร่องรอยการบุกเข้ามาของพวกเราครั้งที่แล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพวกเราจะเข้ามาอีกตอนไหน จึงจำใจจ้องส่งเจ้าพวกนี้มารักษาการณ์เป็นเวลานาน และที่นี่แม้ว่าจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแมลงเม่า แต่คนของเผ่าแมลงเม่าปกติไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก มิเช่นนั้นพลังยุทธ์จะถดถอย แรงหน่อยก็อันตรายถึงชีวิต หากพบกับกองทัพทะเลแมลงจริงๆ หึๆ เกรงว่าพวกเราคงไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก” ลิ่วจู๋เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ทะเลมหาสมุทร’ หญิงงามก็ตัวสั่นระริก ทันใดนั้นก็หัวเราะร่อออกมา ฝืนยิ้มตอบกลับว่า
“เหตุใดพี่ลิ่วจู๋ต้องล้อเล่นกับพวกเราด้วย แม้ว่าเผ่าแมลงเม่าจะไม่มีชื่อเสียงในที่อื่นของแดนวิญญาณ แม้กระทั่งมีคนรู้จักเพียงน้อยนิด แต่กับเผ่าที่อยู่ใกล้เคียง อานุภาพของมันไม่ด้อยไปกว่าเผ่าใหญ่ในแดนวิญญาณเลย จะเคลื่อนทัพมหาสมุทรแมลงมาเพื่อพวกเราเพียงไม่กี่คนทำไมกัน”
“ใช่แล้ว จากที่น้องหญิงรู้มา หากทะเลแมลงของเผ่าแมลงเม่าเคลื่อนทัพแม้แต่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็ยังต้องหลบหลีก และจะทำให้เผ่าของพวกมันสูญเสีญกว่าแท้ไปกว่าครึ่ง หากไม่เข้าตาจน ไม่มีทางเคลื่อนทัพง่ายๆ แน่ การต่อกรก็คงไม่ถึงกับต้องทำเช่นนี้” มู่ชิงมีแววตาฉายแววหวาดผวาฉายแวบผ่าน แล้ววิเคราะห์อย่างเยือกเย็น
“หึๆ คิดไม่ถึงเลยว่าสหายทั้งสองจะรู้จักเผ่าแมลงเม่าของพวกเราอยู่ไม่น้อย ใช่แล้วสิ่งที่ต่อกรกับเราเป็นเพียงระดับแมลงเม่าสวรรค์ตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้วุ่นวาย เอาล่ะ พวกเรารีบไปกันเถิด ต่อให้เผ่าแมลงเม่าคิดจะส่งคนมาอีก แต่การเปิดที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นอีกสองสามเดือนให้หลัง ช่วงเวลานี้จึงเพียงพอให้พวกเราหาเกษียรเทวะพบแล้วกลับไปทางเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเราถูกพวกภูตลอบโจมตี แต่ปีศาจระดับสูงของแดนแม่น้ำอเวจีก็ถูกสังหารไปไม่น้อย หนทางต่อจากนี้คงสบายขึ้นมาก ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเจ้ามีทหารภูตและหุ่นเชิดที่ใช้ได้อยู่เท่าไหร่?” หลังจากที่ลิ่วจู๋กวาดสายตาไปรอบๆ พลันเอ่ยอย่างเคร่งขรึม