แทบจะในชั่วพริบตาที่ร่างของหานลี่บินหายไป ภูตอัปลักษณ์ผมสีเขียวร่างกายเปลือยเปล่าพลันกรูกันเข้ามาอีกฝูงหนึ่ง เมื่อเห็นว่ารอบๆ นั้นว่างเปล่าไร้ผู้คนต่างก็ยืนเซ่อ
ส่วนหานลี่ที่อยู่ห่างออกไปพันจั้งอาศัยอิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณหลบหลีกกลุ่มการต่อสู้ไปได้สองสามครั้งอย่างต่อเนื่อง และเริ่มวิ่งโร่ไปท่ามกลางกลุ่มหมอก
เมื่อพบกับภูตฝูงเล็กๆ เขาก็จะสำแดงอิทธิฤทธิ์สายฟ้าฟาดสังหารมันทิ้ง หากภูตมากเกินไปก็จะหลบลี้หนีไปไกลในทันที
เช่นนั้นหานลี่จึงยังปลอดภัยอยู่ในม่านหมอก ทว่ารอบๆ ล้วนเป็นสีเทาตุ่นๆ ไม่อาจแยกแยะทิศทางได้ บินไปได้ไม่ไกลนัก หานลี่ก็ไม่อาจแยกแยะทิศทางได้แล้ว
ภายใต้ความจนปัญญา เขาจึงเสี่ยงลองบินสูงขึ้นไป คิดจะหาตำแหน่งของตนจากที่สูง
ผลคือเมื่อร่างกายเพิ่งอยู่สูงขึ้นไปสองสามร้อยจั้ง ม่านหมอกบางเบาไปหลายส่วน การโจมตีห่าใหญ่ก็หล่นลงมาจากท้องฟ้าทันที
หากไม่ใช่เพราะเขามีลำแสงเทวะดูดปราณปกป้องร่าง และได้เตรียมการป้องกันเอาไว้ก่อนแล้วโดยใช้หมอกสีเทากวาดการโจมตีกว่าครึ่งไปจนไร้ร่องรอย เกรงว่าเขาคงถูกกระแทกเต็มๆ จนร่วงลงไปแล้ว
แต่เช่นนั้นก็ยังทำให้เขาตกใจจนเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมา และไม่รอการโจมตีอีกระลอก ปีกที่แผ่นหลังพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลับไปอยู่ที่หมอกด้านล่าง
ดูแล้วคงไม่อาจหาวิธีจากทางด้านบนได้
จากนี้หานลี่จึงทำได้เพียงเลือกทิศทางมาทิศทางหนึ่งแล้วพุ่งทะยานเข้าไปในม่านหมอกเรื่อยๆ
และไม่รู้ว่าหมอกผืนนี้มีเขตอาคมต้องห้ามวิเศษอะไร หรือว่าม่านหมอกปกคลุมอยู่ในบริเวณกว้างเช่นนี้กันแน่
สองสามชั่วยามต่อมาคาดไม่ถึงว่าเขาจะยังคงติดอยู่ในนั้น ไม่มีท่าทางจะออกมาได้เลยสักนิด
สีหน้าของหานลี่จึงยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
……
สะบัดแขนเสื้อเส้นไหมสีทองสองสามสายม้วนวนเข้ามา ชั่วพริบตาเงาภูตสองสามสายพลันถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นๆ อยู่เบื้องหน้า
แต่เมื่อเสียงร้องประหลาดๆ ดังขึ้น เงาภูตก็ผสานรวมร่างกันกลับมาเป็นดังเดิม ยังคงแยกเขี้ยวตะปบเล็บกระโจนเข้ามา
หานลี่แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา แล้วอ้าปากออกพ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกไป ทันใดนั้นเสียง “ตูม” ก็ดังขึ้น ระเบิดออกเป็นชิ้นๆ แล้วสลายไป
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้นสองสามครั้ง เงาภูตสองสามสายก็ร้องคร่ำครวญออกมา ถูกเปลวเพลิงสีเงินห่อหุ้มเอาไว้แล้วหายวับไป
แม้ว่าวิญญาณร้ายไร้รูปร่างเหล่านี้จะรับมือได้ยาก แต่เพลิงกลืนวิญญาณของหานลี่นั้นก็ไม่มีพลังปัดปัดเลยสักนิด
หลังจากที่เห็นว่าฝูงภูตเบื้องหน้าถูกสังหารไปจนเกลี้ยง หานลี่ก็เงยหน้าขึ้นมอง คราที่กำลังคิดจะตรงไปยังทิศทางเดิมที่มุ่งมานั้น พลันมีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นจนแม้แต่พื้นดินในบริเวณรอบยังสั่นคลอนไปมาดังมาจากอีกด้าน
เปลวเพลิงสีดำเป็นกลุ่มๆ หมุนวนเป็นเกลี้ยวพุ่งมาจากจุดที่ไกลออกไป และยังมีเสียงวีนแตกด้วยความตกใจระคนโกรธขึ้งของสตรีดังมาสองสามครั้ง!
ร่างของหานลี่หยุดชะงักกึก อดที่จะหันไปมองไม่ได้
เสียงตะคอกนั้นช่างคุ้นหูยิ่งนัก ดูเหมือนเสียงของเหยาหยวน หรือว่าสตรีผู้นี้กำลังต่อสู้อยู่ตรงนั้น?
แม้นว่าจะรู้สึกไม่แน่ใจ แต่หานลี่เอียงศีรษะครุ่นคิด ก็ยังคงมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างจ้าขึ้นรอบกาย กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป
จุดที่เพลิงลำแสงสีดำระเบิดออกอยู่ห่างจากหานลี่ไม่มากนัก แค่ชั่วครู่สายรุ้งสีเขียวก็บินออกมาสองสามพันจั้ง มาปรากฎตัวอยู่ใกล้ๆ
หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีเพ่งพินิจมองไปแล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี
เห็นเพียงห่างจากาเขาไปร้อยจั้งเศษ โครงกระดูกสีแดงโลหิตหัวใหญ่มีแขนขาสี่ข้างสองสามร้อยตัวกำลังปล่อยลูกธนูสีโลหิตเป็นสายๆ ออกจากมือทั้งสองข้าง กำลังล้อมโจมตีภูตเกราะจันทราร้อยกว่าตนไม่หยุด
และตรงกลางของเหล่าภูตทมิฬเหล่านั้น สตรีสวมชุดคลุมสีดำสองคนกำลังใช้มือหนึ่งถือขวดเล็กๆ สีดำ มือหนึ่งถือพัดใบลานสีดำปล่อยลูกบอลเพลิงสีดำเป็นกลุ่มๆ ออกมาช่วยทหารภูตเหล่านั้นต้านทานการโจมตีของโครงกระดูกสีโลหิตอย่างสุดฤทธิ์
แม้ว่าเปลวเพลิงสีดำจะมีอานุภาพไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นอาวุธเช่นขวานทวนต่างๆ ในมือของภูตทมิฬเกราะจันทรายิ่งซัดมาดังพายุเป็นระลอกๆ จึงไม่อาจดูแคลนได้เช่นกัน แต่คู่ต่อสู้ของพวกมันกลับแปลกประหลาดยิ่งกว่า!
โครงกระดูกเหล่านี้ไม่เพียงกระโดดได้ไกลสองสามจั้งราวกับตั๊กแตน ไปมาดุจสายลม และยิ่งไปกว่านั้นปากยังพ่นลูกธนูสีโลหิตที่ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถควบคุมพายุทมิฬและเพลิงสีดำเอาไว้ได้ออกมา ในขณะที่โครงกระดูกสองสามร้อยตัวพ่นออกมาพร้อมกัน ไม่เพียงจะบีบเปลวเพลิงสีดำกว่าครึ่งให้ดับวูบไป บางครั้งที่โจมตีมาถูกร่างของพวกมัน ก็แค่ซวนเซเคลื่อนไหวช้าลง ไม่ได้รับบาดเจ็บหนักหนาอะไรนัก
แต่ลูกธนูสีโลหิตที่มาปะทะกับร่างของภูตทมิฬเกราะจันทรานั้นไม่เหมือนกัน
แม้ว่าเกราะสีดำบนร่างของทหารภูตเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันเช่นกัน แต่เมื่อถูกลูกธนูสีโลหิตสิบกว่าสายโจมตีมาพร้อมกัน เกราะสงครามก็จะสลายหายไป ทหารภูตเองก็จะกลายเป็นไอสีดำหายวับไปเช่นกัน
และเมื่อหานลี่มาประชิดนั้น แม้ว่าสตรีชุดดำทั้งสองจะยังคงกระตุ้นสมบัติในมืออย่างบ้าคลั่ง ทหารภูตที่ปกป้องพวกนางอยู่ก็เสียหายไปเจ็ดแปดส่วนในชั่วพริบตา และกำลังตกอยู่ในอันตราย
แน่นอนว่าสตรีทั้งสองก็คือหยวนเหยาและเหยียนลี่
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง พิเคราะห์ดูรอบๆ เมื่อไม่พบภูตที่ร้ายกาจตนอื่นๆ แอบซ่อนตัวอยู่ เขาก็ลงมืออย่างไม่ลังเลอีก!
ปีกทั้งสองที่แผ่นหลังขยับ หานลี่หายวับจากที่เดิมในทันที
ครู่ต่อมาคนก็มาปรากาฎตัวเหนือหยวนเหยาและพวกทั้งสอง
แขนทั้งสองสะบัดออกกระบี่บินเจ็ดสิบสองเล่มทะลักออกมา ทันใดนั้นกระบี่บินเหล่านี้ก็พลิ้วไหว กลายเป็นกระบี่ลำแสงสีทองสองสามร้อยเล่ม สับลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ทุกแห่งที่กระบี่ลำแสงฟาดฟันไป โครงกระดูกสีโลหิตทั้งหมดถูกสับออกเป็นชิ้นๆ ราวกับดินโคลน
แต่ฉากที่ทำให้ขนพองสยองเกล้าพลันปรากฎขึ้นในทันใด
ผิวของซากโครงกระดูกโลหิตทั้งหมดพลันเปล่งแสงสีโลหิตออกมา กลายเป็นของเหลวสีโลหิต แล้วรวมตัวกันในทันใด ภูตยักษ์สีแดงสดปรากฎกายขึ้น
หานลี่เห็นเช่นนั้นก็แค่เลิกคิ้วขึ้นแล้วยกมือหนึ่งขึ้น มือเรียวสีขาวดุจหยกข้างหนึ่งกางออกตบไปทางภูตสีแดงโลหิต
ชั่วขณะนั้นเงาลวงตาของโครงกระดูกยักษ์ห้าตัวก็เปล่งเสียงกรีดร้องอกมาแล้วหายวับไป เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีห่อหุ้มลงมา
ทุกแห่งที่เปลวเพลิงเย็นเยียบทอดตัวผ่าน ภูตโลหิตยักษ์ก็จะร่างกายแข็งค้างราวกับศาลาบนประตูเหมือน กลายเป็นรูปปั้นผลึกน้ำแข็งยักษ์ ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยได้
นิ้วทั้งห้าร่ายไปมาเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น! ประจุไฟฟ้าสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วโจมตีไปยังรูปปั้นน้ำแข็ง!
เสียง “แกร็ก” ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าดีดตัวออก รูปปั้นน้ำแข็งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ภูตตนนี้ยังไม่ทันได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ก็ถูกหานลี่สังหารไปได้อย่างสบายๆ
หยวนเหยาและเหยียนลี่ที่อยู่ด้านล่างมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ปากเล็กๆ พลันเผยอออกใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงตะลาน
ภูตที่เกือบจะทำให้พวกนางต้องฝังศพอยู่ที่นี่ คาดไม่ถึงว่าแค่ปะหน้ากับหานลี่ก็ไม่อาจต้านรับได้!
นี่ช่างทำให้พวกนางตกตะลึงพรึงเพริดจริงๆ
“ขอบพระคุณพี่หานที่ช่วยเหลือ!” ในที่สุดเหยียนลี่ก็ได้สติกลับมา จึงตะลีตะลานคารวะขอบคุณหานลี่ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“หากพี่หานมาช้าอีกนิดล่ะก็ เกรงว่าคงไม่พบพวกเราสองคนแล้ว” หยวนเหยาเองก็ระงับสีหน้าตะลึงงัน ฉีกยิ้มเบิกบานให้หานลี่ ใบหน้าสะคราญราวกับบุปผาผลิบาน
รอยยิ้มของสตรีผู้นี้ทำให้หานลี่เห็นแล้วตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นแววตาตกตะลึงกับความงามก็หายวับไปจากแววตา แล้วเอ่ยกับสตรีผู้นี้อย่างเย็นชา
“สหายทั้งสองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? พวกเจ้าไม่ได้อยู่กับแม่เฒ่าภูตหรือ? ทหารภูตเหล่านี้คือ…”
“พี่หานเองก็ไม่ได้ติดตามเซียนมู่ชิงไปหรือ พี่หานแยกตัวมาได้อย่างไร พวกเราพี่น้องก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ส่วนภูตทหารเกราะจันทราเหล่านี้ตอนนั้นพวกเราเคยร่วมหลอมด้วย ดังนั้นจึงสามารถควบคุมได้กลุ่มหนึ่ง ทว่าทหารภูตที่พวกเราสองคนสามารถควบคุมได้เหลือเพียงเท่านี้แล้ว โชคดีที่มีทหารภูตเหล่านี้คอยคุ้มกัน ถึงได้อยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้” แววตาสดใสของเหยียนลี่กลอกไปมา พลางเอ่ยและหัวเราะคิกคัก
“การลอบโจมตีในครั้งนี้น่าจะเป็นภูตที่มีสติปัญญาสูงส่ง มิเช่นนั้นไม่มีทางวางกับดักใหญ่เพื่อจะทอดแหใส่พวกเราทั้งหมดได้” หานลี่พยักหน้า ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“พี่หานพูดมีเหตุผล แต่ไม่รู้ว่าจากนี้พี่หานวางแผนว่าอย่างไร! ภูตที่มาล้อมพวกเราในครานี้มีมากมายขนาดนี้ ต่อให้ทั้งหมดยืนให้พวกเราสังหารอยู่ที่เดิม ก็ไม่อาจสังหารให้เกลี้ยงได้” หยวนเหยาหน้าซีดเผือด กัดริมฝีปากเล็กน้อยขณะเอ่ย
“สหายทั้งสองไม่รู้สึกหรือ? จนถึงตอนนี้ภูตที่พวกเราพบมันเป็นแค่ภูตระดับต่ำเท่านั้น วิญญาณชั่วร้ายระดับสูงไม่เคยปรากฎตัวขึ้นเลย” หานลี่ไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ กลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ย
“ความหมายของสหายคือ…” หลังจากที่เหยียนลี่ตกตะลึงแล้ว ก็เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ใช่ เกรงว่าภูตระดับหลอมสูญเหล่านั้นคงกำลังต่อกรกับพวกของลิ่วจู๋อยู่ มิเช่นนั้นหากมาปรากฎสักตัวสองตัว ชีวิตของพวกเราคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว” หานลี่ลูบคางไปมา
“พี่หานหมายความว่าอย่างไร มีอะไรก็พูดกับพวกเราตรงๆ เถิด!” แววตางดงามของหยวนเหยาเปล่งประกาย เอ่ยขึ้นอย่างฉับพลัน
“ไม่มีอะไร ข้าน้อยแค่รู้สึกว่าแม้สถานการณ์จะไม่ค่อยดีนัก และค่อนข้างวุ่นวาย แต่ก็เป็นโอกาสหนีจากการควบคุมของเหล่าราชันย์ปีศาจที่ยอดเยี่ยม” หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“ความหมายของพี่หานคือตอนนี้ให้พวกเรา…” รอยยิ้มของเหยียนลี่หุบลง แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ใช่แล้วขอแค่หนีออกจากที่นี่ มู่ชิง แม่เฒ่าภูตและพวกก็ไม่มีเวลามาสนใจการเคลื่อนไหวของพวกเราแล้ว ขอแค่ถือโอกาสนี้หาจุดที่มีไอทมิฬบริสุทธิ์รวมตัวกันอย่างหนาแน่นช่วยกำจัดรอยตราในร่าง แม่น้ำอเวจีกว้างใหญ่ขนาดนี้ แม้พวกแม่เฒ่าภูตอยากตามหาพวกเรา ก็เป็นดังการงมเห็นในมหาสมุทรแล้ว” หานลี่เอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย
เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ หยวนเหยาและเหยียนลี่พลันมองสบตากันแวบหนึ่ง อดที่จะเผยสีหน้าสนใจขึ้นมาไม่ได้
“ตกลง! พวกเราเชื่อพี่หาน ตอนนี้เข้ามาอยู่ในแดนแม่น้ำอเวจีแล้ว พวกเราสองคนตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแล้ว หนีจากปีศาจยักษ์เหล่านั้นได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็เป็นสิ่งที่พวกเรายิ่งใฝ่ฝันถึงเท่านั้น” หยวนเหยาและเหยียนลี่ถ่ายทอดเสียงปรึกษากันได้สองสามประโยค ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยอย่างเห็นด้วย
“ในเมื่อสหายทั้งสองไม่มีความเห็น ตอนนี้ก็ต้องรบกวนหมอกภูตพวกนี้แล้ว เมื่อครู่ข้าตามหาอยู่ครึ่งวัน แต่ก็ไม่มีท่าทีจะออกจากที่นี่ได้เลย ยุ่งยากเสียจริง!” หานลี่มีสีหน้ายินดีฉายแวบผ่านบนใบหน้า แต่ทันใดนั้นก็ย่นคิ้ว
“หากเป็นเรื่องอื่นพวกเราสองคนล้วนด้อยฝีมือ บางทีอาจจะช่วยไม่ได้ แต่หมอกภูตนี้หรือ? หึๆ หรือว่าสหายลืมไปแล้วว่าข้าและศิษย์น้องหญิงหยวนฝึกฝนเคล็ดวิชาสายภูต และเดิมทีก็เป็นครึ่งคนครึ่งภูต!” เหยียนลี่ได้ยินคำพูดของหานลี่กลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“อันใดสหายเหยียนและสหายหยวนมีวิธีหนีออกจากหมอกนี้หรือ?” หานลี่พลันตะลึงงันทันใดนั้นก็รู้สึกปิติยินดีทันที
“คาถาตะวันจันทราวัฏสงสารที่พวกเราฝึกฝน บางทีในด้านการเอาชนะศัตรูนั้นอาจจะไม่อาจเทียบกับพวกที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายได้ แต่ในด้านอื่นนั้นก็มีจุดที่พิเศษมาก สหายตามพวกเรามาก็พอแล้ว ความจริงแล้วก่อนหน้านี้พวกเราก็คิดจะหนีออกจากหมอกนี้แต่ระหว่างทางกลับไม่อาจหลุดจากการซุ่มโจมตีของภูตผีได้ จึงทำได้เพียงยอมแพ้” หยวนเหยาอธิบายด้วยความภูมิใจเล็กน้อย