“สหายหาน เจ้าเตรียมเคล็ดวิชาเรียกอัสนีให้ดีเถิด พอพวกเราเรียกก็ปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเลย” ลิ่วจู๋ลอยชุดพลิ้วไสวอยู่ตรงใจกลางของเขตอาคมยักษ์ ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
หานลี่พยักหน้าสองมือพลันร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นประจุไฟฟ้าสีทองบนเรือนร่างพลันหมุนวน ตาข่ายไฟฟ้าชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นแล้วขยายตัวออกไป หลังจากเสียงวี้ดๆ ดังขึ้นสองครั้ง ก็กลายเป็นลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่ง
ยันต์สีทองเริงระบำไปทั่วทุกทิศทาง ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบรวมตัวกันกลายเป็นลูกบอลกลมสีทองเม็ดหนึ่ง ลอยพลิ้วอยู่บนฝ่ามือข้างหนึ่ง
ครานี้หานลี่ไม่ได้สำแดงอะไรต่ออีก แค่ใช้มือใหญ่ถือลูกบอลเอาไว้แล้วมองดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างด้วยความเย็นชา
ลิ่วจู๋ มู่ชิงและพวกกลับเริ่มลงมือทลายเขตอาคม
เห็นเพียงลิ่วจู๋และมู่ชิงบริกรรมคาถา อาวุธที่ปีศาจระดับสูงใต้ฝ่าเท้ายี่สิบตนควบคุมอยู่เปล่งแสงนับหมื่นแสงออกมา กลายเป็นเขตอาคมชั่วพริบตาก็กลายเป็นหลุมยักษ์สีดำ ไอวิญญาณฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนจากรอบๆ ไปรวมตัวกันรอบกายของลิ่วจู๋และมู่ชิง
ชั่วพริบตาลิ่วจู๋และพวกทั้งสองก็มีลำแสงวิญญาณหลากสีสันสองกลุ่มห่อหุ้มอยู่ ร่างกายเปล่งแสงระยิบระยับ ราวกับเทพเจ้าสององค์ก็ไม่ปาน
อีกด้านเงาสีดำแปดสายเบื้องหน้าหญิงงามเรือนผมสีขาวพลันประกบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน แล้วแยกออกอีกครั้ง ในมือมีระฆังเล็กๆ สีดำสนิทปรากฎขึ้น
ภายนอกของระฆังดูเก่าแก่อย่างหาที่เปรียบ แม้กระทั่งตรงขอบยังมีร่องรอยการผุพัง!
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสอง คนหนึ่งมีหุ่นเชิดภูตสีม่วงโลหิตอยู่บนไหล่ อีกคนกลับร่างกายพลิ้วไหวไปอยู่เหนือศีรษะของหุ่นเชิดธาตุทองขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นใหม่
ปากของหุ่นเชิดภูตสีม่วงโลหิตเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา สองมือถูกันไปมา คาดไม่ถึงว่าจะมีขวานสีม่วงแดงยาวสิบจั้งปรากฎขึ้นท่ามกลางลำแสงสีโลหิตที่เปล่งแสงพร่างพราว
ผิวของขวานด้ามนี้มีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงระยิบระยับ ถูกหุ่นเชิดชูขึ้นด้วยมือทั้งสอง และชี้ไปทางผิวน้ำเบื้องหน้า
หุ่นเชิดธาตุทองเองก็ชูมีดยักษ์ในมือขึ้นเช่นกันด้วยการกระตุ้นจากผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต ผิวของมันเปล่งแสงสีดำกระพริบวาบๆ
เสียงอึกทึกดังขึ้น ในที่สุดลิ่วจู๋ก็ใช้มือหนึ่งตบออกไป
เสาลำแสงสีดำสายหนึ่งพ่นออกมาจากฝ่ามือ
ครั้งนี้เสาลำแสงหนากว่าตอนที่อยู่ในทางเดินของห้วงมิติเวลาหลายเท่า ทุกแห่งที่เสาลำแสงกวาดผ่านไป ทำให้แม้กระทั่งห้วงมิติเวลาบิดเบี้ยวยับย่นเป็นชั้นๆ
เสาลำแสงเปล่งแสงเจิดจ้าจมหายเข้าไปในผิวน้ำ
แม่น้ำอเวจีที่แต่เดิมดูเหมือนน้ำนิ่ง คราแรกพลันไม่แยแส แต่เมื่อเสาลำแสงสีดำพ่นเข้ามาไม่หยุด ในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
คราแรกระลอกคลื่นเริ่มกระเพื่อมเป็นชั้นๆ ทันใดนั้นน้ำในแม่น้ำอเวจีก็เริ่มหมุนวนโดยมีเสาลำแสงเป็นศูนย์กลาง และยิ่งไปกว่านั้นยังรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ และเปล่งเสียงร้องครืดคราดออกมา
มู่ชิงเองก็ลงมือ
ดอกไม้สีทองใต้ฝ่าเท้าหมุนติ้วๆ ดูดม่านลำแสงรอบๆ เข้าไปกว่าครึ่ง จากนั้นก็ขยายขนาดขึ้น ตั้งตระหง่าน กลายเป็นธรรมจักรยักษ์สีทองเรืองรอง ตรงเข้าไปหาทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า
ธรรมจักรขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้ง ยังไม่ทันได้สัมผัสกับผิวน้ำก็ระเบิดเสียงพายุและอัสนีออกมา ลำแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้าแล้วสับลงไปยังผิวน้ำ
ชั่วขณะนั้นผิวน้ำที่แต่เดิมหมุนวนพลันมีลำแสงสีทองสว่างวาบ ในที่สุดก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมาแล้วแยกตัวออก!
หลุมสีขาวค่อยๆ ปรากฎขึ้นจากเสาลำแสงที่อยู่ใจกลางและขยายขนาดไปเรื่อยๆ แต่ม่านน้ำรอบๆ พลันสั่นกระเพื่อม ทำให้หลุมนี้ไม่มั่นคง ท่าทางเหมือนจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
เสียง “วี๊ด” ดังขึ้น เงาโลหิตขวานยักษ์สีม่วงแดงด้ามหนึ่งและมีดลำแสงสีดำเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา
ภายใต้การร่วมมือกันโจมตีที่มากมายขนาดนี้ หลังจากเสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น แม่น้ำอเวจีก็ถูกแยกออก หุบเขากลางสายน้ำสูงยี่สิบสามสิบจั้ง กว้างสิบจั้งเศษค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
แต่ในครานั้นม่านน้ำรอบๆ พลันเปล่งเสียงครืนๆ ประหลาดๆ ดังขึ้น จากนั้นเส้นไหมสีดำที่เปล่งแสงระยิบระยับก็ปรากฎขึ้นในน้ำอเวจี รวบไปทางหุบเขายักษ์
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น!
การโจมตีเดิมจากสี่ราชันย์ปีศาจไม่ว่าจะเป็นเสาลำแสง ธรรมจักรหรือว่ามีดลำแสงถูกเส้นไหมสีดำรวบเอาไว้ ก็ทยอยกันสั่นเทาหม่นแสงลง ท่าทีการโจมตีผ่อนลง และเริ่มมีท่าทีเสื่อมอานุภาพลง
“สหายหานยังไม่ลงมือ รออะไรอยู่” เสียงอันเย็นชาของลิ่วจู๋ดังออกมาจากม่านลำแสงหลากสี
จากการนำไอวิญญาณฟ้าดินมารวมตัวกันกลายเป็นธรรมจักรยักษ์ และยังประคับประคองให้มันปล่อยเสาลำแสงสีดำออกมาในเวลาเดียวกัน ก็ทำให้มันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มู่ชิงที่ควบคุมธรรมจักรยักษ์สีทองด้านข้างก็เป็นเช่นเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าอิทธิฤทธิ์ทั้งสองล้วนทำให้สูญเสียลมปราณไปจำนวนมาก แม้นว่าจะอาศัยพลังของเขตอาคมก็ยังไม่อาจประคับประคองต่อไปได้นานนัก
หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง มือถือลูกบอลสีทองเอาไว้กลางอากาศ นิ้วทั้งห้าดีดไปมาเบาๆ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ลูกบอลสีทองกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นไปกลางอากาศ
อีกมือหนึ่งชี้นิ้วออกไปอย่างรวดเร็ว อักขระยันต์สีทองขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นและพุ่งออกไปเช่นกัน
หลังจากเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ดังขึ้น บรรยากาศรอบๆ ก็เกิดพายุหมุนขึ้น เมฆสีดำทอดตัวอยู่เต็มท้องฟ้า ดวงอาทิตย์สีทองปรากฎขึ้นท่ามกลางหมู่เมฆสีดำ กลิ่นอายที่ดูเหมือนจะถล่มฟ้าดินทะลักออกมาจากเมฆสีดำพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ชั่วพริบตานั้นผิวของดวงอาทิตย์ก็กระพริบวาบๆ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุ่มต่ำจนน่าตกใจ
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม ปากพลันบริกรรมคาถาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา นิ้วหนึ่งชี้ไปยังผิวน้ำเบื้องหน้า
ยันต์สีทองเปล่งแสงเจิดจ้า!
เสาลำแสงสีทองขนาดเท่าถังน้ำพ่นออกมาจากดวงอาทิตย์ หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้งก็โจมตีไปยังน้ำในแม่น้ำอเวจี
เสียง “ปัง” ประหลาดๆ ดังออกมาจากผิวน้ำ ชั่วพริบตาที่เสาลำแสงสีทองสัมผัสกับผิวน้ำ ก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีทองม้วนวนแผ่ออกไปรอบด้านเป็นวงๆ
สถานการณ์ที่น่าตกตะลึงปรากฎขึ้นท่ามกลางเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น
ทุกแห่งที่ลำแสงอัสนีกวาดผ่านไป เส้นไหมสีดำแวววาวที่ปรากฎขึ้นในแม่น้ำอเวจีล้วนกลายเป็นฝุ่นควันท่ามกลางลำแสงสีทอง!
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ลิ่วจู๋และพวกพลันรู้สึกดีอกดีใจ รีบร้อนกระตุ้นอิทธิฤทธิ์โจมตีผิวน้ำอย่างต่อเนื่อง ส่วนหญิงงามผมขาวที่ยังไม่ได้ลงมืออีกด้าน ก็เปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมาเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นเงาสีดำแปดตนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางพลันมีลำแสงสีดำเปล่งประกายอยู่บนเกราะสงคราม รวบรวมไอทมิฬเข้าด้วยกัน แล้วพวยพุ่งส่งมาหาหญิงงามผมขาว
แม้นว่าราชันย์ภูตเกราะจันทราทั้งแปดจะมีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมสูญขั้นปลาย แต่ไอทมิฬทั้งแปดที่รวบรวมได้นั้น ก็ยังคงน่าตกใจ
เงาภูตขนาดใหญ่ตนหนึ่งปรากฎขึ้นลางๆ เหนือศีรษะของสตรีผู้งดงาม
ระฆังใบเล็กสีดำในมือของหญิงงามผมขาวเปล่งแสงสีดำเจิดจ้าออกมา ชั่วพริบตาก็หมุนวนพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสองสามจั้ง
แววตาของหญิงงามเปล่งประกายประหลาดๆ ยื่นนิ้วออกไปนิ้วหนึ่ง ร่ายไปกลางอากาศเบาๆ
เสียง “หง่าง” ของระฆังดังขึ้น
คลื่นลำแสงสีดำชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นบนระฆังยักษ์ ทอตัวเต็มท้องฟ้ากระโจนไปยังหุบเขาที่อยู่ตรงกลางแม่น้ำอเวจี
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น
เมื่อคลื่นลำแสงสีดำสัมผัสกับหุบเขา ชั่วพริบตาก็กลายเป็นม่านลำแสงสีดำทะมึนชั้นหนึ่ง ชั่วครู่ก็รองใต้ม่านน้ำรอบๆ เอาไว้ ตรงกลางแม่น้ำอเวจีมีทางเดินสีดำของจริงปรากฎขึ้น
เมื่อถูกอิทธิฤทธิ์ของลิ่วจู๋และพวกกระตุ้นม่านลำแสงนี้ก็ดูเหมือนจะขยายตัวทอดยาวไปจนมองไม่เห็นปลายทางอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่มองเห็นฉากทุกอย่าง แม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจ แต่เพื่อต่อกรกับเส้นไหมสีดำแวววาวที่ปรากฎขึ้นบนแม่น้ำอเวจีอย่างต่อเนื่อง ก็ทำได้เพียงกระตุ้นดวงอาทิตย์สีทองกลางอากาศไม่หยุด พ่นเสาลำแสงสีทองสายแล้วสายเล่าออกมา ช่วยลิ่วจู๋และพวกกระตุ้นไม่หยุด
แทบจะในเวลาเดียวกันเมื่อหุบเขาสีดำทอดตัวลึกเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ลิ่วจู๋ มู่ชิงและพวกก็เริ่มกระตุ้นเขตอาคมใต้ร่าง ทำให้การโจมตีของตัวเองโจมตีไปจุดหนึ่งอย่างต่อเนื่องไม่หยุด หานลี่เห็นเช่นนั้นก็มองไปยังดวงอาทิตย์สีทองสองสามดวงที่ขึ้นมาทดแทนกลางอากาศ แล้วทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
เขาไม่ได้มีจิตสัมผัสแข็งแกร่งถึงขนาดที่จะสามารถควบคุมอัสนีเทวาให้ไปตกที่เป้าหมายในระยะไกลขนาดนั้นได้
ทว่าโชคดีที่เคล็ดวิชาเรียกอัสนีมีความสามารถไม่น้อย ขอแค่เสาลำแสงสีทองโจมตีไปใกล้ๆ ประจุไฟฟ้าอัสนีก็แผ่ขยายไปและยังคงทำลายเส้นไหมสีดำที่อยู่ไกลออกไปทั้งหมดได้ แน่นอนว่าเมื่อหุบเขาทอดตัวลึกเข้าไปไม่หยุด หานลี่ก็จำใจต้องปลุกความฮึกเหิม ใช้อาคมควบคุมเสาลำแสงสีทองทอดตัวลึกเข้าไปด้วย โชคดีที่ไม่ต้องกำหนดตำแหน่งที่แม่นยำอะไร ขอแค่ควบคุมระยะห่างคร่าวๆ ได้ก็พอแล้ว
ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงยังคงผ่อนคลายอยู่
หนึ่งเค่อต่อมาฉับพลันนั้นพลันมีเสียงดังสนั่นดังออกมาจากหุบเขาอีกด้านหนึ่ง!
มู่ชิงได้ยินเสียงนี้พลันเอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจทันทีว่า
“ในที่สุดก็เปิดทางได้แล้ว!”
ทันใดนั้นสตรีผู้นี้ก็กวักมือเรียก ครู่ต่อมาธรรมจักรสีทองก็บินกลับมาจากส่วนลึกของหุบเขา กลายเป็นดอกไม้ยักษ์สีทองอีกครั้ง ปรากฎขึ้นใต้ฝ่าเท้า
สตรีผู้งดงามผมขาวและพวกเองก็มีสีหน้าปิติยินดี ทยอยกันเก็บอิทธิฤทธิ์กลับมาเช่นกัน
“เยี่ยม! ทางเดินนี้น่าจะอยู่ได้สักสองสามชั่วยาม พอให้พวกเราข้ามแม่น้ำอเวจีไปได้แล้ว แต่ยังคงต้องระวังการโจมตีของภูตในแม่น้ำอเวจี ให้พวกมันเข้าไปก่อนเถิด จะเข้าไปในแดนแม่น้ำอเวจีได้กี่ตน ก็ขึ้นอยู่กับดวงของพวกมันแล้ว ให้พวกมันหนีเอาชีวิตตรอดไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังก็แล้วกัน” หลังจากที่แววตาของลิ่วจู๋เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบสองสามครั้ง ก็มองไปยังปีศาจระดับต่ำเหล่านั้นแล้วเอ่ยขึ้น
มู่ชิงและพวกได้ยินคำนี้ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้ายินดีหายวับไป
หานลี่ที่สลายเคล็ดวิชาเรียกอัสนีออก กลับอดที่จะตกตะลึงไม่ได้!
และในตอนนั้นเองหุ่นเชิดและทหารภูตทั้งหมดก็รวมตัวกันอยู่ที่ทางเข้า และยิ่งไปกว่านั้นยังแบ่งออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวาตรงขอบอย่างแปลกประหลาด ปีศาจอสูรระดับต่ำเหล่านั้นกำลังทยอยกันถูกจัดให้มารวมอยู่ตรงกลางโดยการก่นด่าของปีศาจระดับสูง
จำนวนนับหมื่นตนนี้แทบจะปิดทางเดินทั้งสายให้ลอดผ่านไปไม่ได้!
ภายใต้การออกคำสั่งของเหล่าราชันย์ปีศาจ ชั่วขณะนั้นทหารภูตและหุ่นเชิดจากทั้งสองฝั่งก็เริ่มบินเข้าไปในทางเดิน
พายุทมิฬที่ห่อหุ้มร่างของภูตเกราะจันทราเอาไว้พลันสลายออกในทันที ในที่สุดก็เผยรูปร่างที่แท้จริงของพวกมันออกมา
ทุกตนล้วนสวมเกราะครึ่งตัวสีดำเป็นมันวาว มือหนึ่งถือขวาน สามง่ามและอาวุธมีดต่างๆ เอาไว้ ผิวหนังที่เผยออกมาจากเกราะสีดำล้วนเป็นสีเทาตุ่นๆ ราวกับซากศพก็ไม่ปาน ส่วนหัวกลับถูกเพลิงภูตสีเขียวกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้
ภายใต้เปลวเพลิงสีเขียวที่เปล่งแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าคือหัวกะโหลกที่มีหน้าตาดุดัน
ภูตทมิฬเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ปิดปากเงียบไม่เปล่งคำพูดใดๆ บนร่างมีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ออกมาจางๆ
หานลี่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงมองไปยังเหล่าภูต ดวงตาทั้งสองอดที่จะหรี่ลงไม่ได้
เดิมทีแดนแม่น้ำอเวจีก็มีภูตผีอยู่จำนวนมากอยู่แล้ว แต่ลิ่วจู๋และพวกก็ยังคงหลอมทหารภูตขึ้นจำนวนมาก ดูแล้วคงจะมีความลับอะไรแน่
ครู่ต่อมาปีศาจระดับต่ำที่มีหุ่นเชิดและทหารภูตก็ถูกออกคำสั่งให้ทยอยกันบินเข้าไปในทางเดิน
ลิ่วจู๋และพวกปีศาจระดับสูงเหล่านั้นกลับมองอยุ่ด้านนอกทางเดินอย่างเย็นชา ครานี้ไม่มีท่าทีจะเข้าไปเลยสักนิด
ชั่วพริบตาที่ปีศาจระดับต่ำเข้าไปในทางเดินของหุบเขาสีดำนั้น ม่านลำแสงสีดำรอบๆ ก็มีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ เสียง “ฟิ้วๆ” ดังแหวกอากาศมา เส้นไหมสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากทั้งสี่ทิศแปดด้าน
เป้าหมายของพวกมันล้วนเป็นปีศาจระดับต่ำที่อยู่ตรงใจกลาง ส่วนหุ่นเชิดและภูตทมิฬที่อยู่ทั้งสองฝั่ง เส้นไหมสีเงินกลับไม่สนใจเลยสักนิด