“เหอะๆ ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไร เกี่ยวกับการที่น้องหานสามารถฝึกฝนกายเนื้อจนแข็งแกร่งเช่นนี้ ข้าน้อยรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ต้องทราบก่อนว่า เข็มอเวจีแม่น้ำโลหิตของข้าน้อยแม้ว่าจะไม่ได้เป็นสมบัติที่ขึ้นชื่อในด้านความแหลมคม แต่ด้วยพลังของกายเนื้อก็สามารถสะท้อนมันออกไปได้ เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปจริงๆ” หลังจากที่เซวี่ยตู๋นิ่งไปพักหนึ่ง ก็ถามออกมาเช่นนี้
ขณะที่พูดอยู่ สองตาของปีศาจตนนี้จ้องเขม็งมาที่หานลี่โดยไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว
“ที่แท้อาวุโสก็อยากจะถามเรื่องนี้ กายเนื้อของชนรุ่นหลังแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปจริงๆ แต่ก็แค่เป็นแค่เหตุบังเอิญเล็กน้อยในปีนั้นที่ได้กินยาวิญญาณที่เสริมความแข็งแกร่งของกายเนื้อสองสามชนิดเท่านั้นเอง จะเทียบกับกายมังกรของอาวุโสได้อย่างไร” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่กระโตกกระตาก
“ยาวิญญาณ! ข้าก็เดาไว้เช่นนี้เหมือนกัน แต่อาคมลวงตาสามเศียรหกกรที่น้องหานใช้รับการโจมตีสุดท้ายของข้า ดูเหมื่อจะไม่ใช่อาคมลวงตาวิญญาณแท้ของเผ่าเจ้ากระมัง ข้าน้อยดูแล้วค่อนข้างคุ้นตา ดูเหมื่อนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ยังนึกไม่ออก สหายหานช่วยบอกผู้แซ่เซวี่ยได้หรือไม่” เซวี่ยตู๋พูดพลางยิ้มอ่อน
“อ๋อ นั่นเป็นวิธีฝึกฝนของสำนักนอกเผ่าสำนักหนึ่งที่ชนรุ่นหลังได้รับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากที่ฝึกฝนอย่างเปะปะจึงทำให้มีอิทธิฤทธิ์เล็กๆ ส่วนที่ว่าเป็นอาคมลวงตาชนิดใด ชนรุ่นหลังเองก็ไม่ทราบเช่นกัน” หานลี่ตอบกลับทีละส่วนอย่างไม่หนักหนาอะไร โดยที่พูดทุกอย่างให้คลุมเครือไม่ชัดเจน จะตอบหรือไม่ตอบ แทบจะไม่มีอะไรต่างกัน
ได้ยินหานลี่พูดอย่างปลิ้นปล้อนเช่นนี้ เซวี่ยตู๋รู้สึกค่อนข้างเกินคาดอยู่บ้าง แต่ก็หัวเราะฮ่าๆ คราหนึ่งแล้วไม่พูดถึงเรื่องนี้ เชิญชวนหานลี่ดื่มสุราต่อ
ด้วยเช่นนี้ มังกรโลหิตระดับหลอมสูญผู้นี้ดื่มกับหานลี่จนมีสภาพคล้ายกับคนเมาอ้อแอ้ จึงค่อยกล่าวแล้วเดินโซซัดโซเซจากไป
หานลี่ยืนอยู่ริมหน้าต่างในหอ พลันหุบรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วจ้องมองสถานการณ์ภายนอกหอ
เห็นเพียงเซวี่ยตู๋เดินโซเซเข้าไปในหออีกหลังหนึ่งซึ่งห่างจากที่พักของหานลี่ไม่ไกลนัก ระยะทางห่างจากหานลี่เพียงหลายร้อยจั้งเท่านั้น
หานลี่ขมวดคิ้วจางๆ
ด้วยระยะห่างที่ใกล้เช่นนี้ หากเขามีการกระทำอะไรเพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีทางรอดพ้นจากการสังเกตการณ์ของมังกรโลหิตตัวนี้ได้ ดูเหมือนคนผู้นี้ก็คือคนที่มู่ชิงส่งมาสังเกตการณ์เขา
หานลี่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ พลางออกห่างหน้าต่าง
ในตอนนี้ หญิงรับใช้ชุดเขียวได้นำโต๊ะเลี้ยงเหล้าออกไปแล้ว และทำการเก็บกวาดหอจนสะอาดอีกครั้ง จากนั้นจึงค่อยยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพนอบน้อม รอหานลี่กำชับต่อจากนี้
“เจ้าลงไปก่อนเถอะ ข้าจะพักผ่อนคนเดียวสักหน่อย” หานลี่โบกมือให้หญิงผู้นี้ลงไปอย่างไม่เกรงใจ
“เจ้าค่ะ คุณชายหาน บ่าวอยู่ที่ชั้นหนึ่ง สามารถฟังที่คุณชายเรียกได้ทุกเวลา” หญิงรับใช้ชุดเขียวขานรับ พลันออกจากชั้นนี้ด้วยความยินยอมคล้อยตามเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่มองดูเงาร่างของหญิงสาวหายไปจากบันใดอย่างเรียบเฉย พลันใช้มือเดียวสะบัดลงบนกำไลเก็บของ
ม่านแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ธงเขตอาคมสีเขียววางซ้อนกันกองหนึ่งก็ปรากฏในฝ่ามือ
ครั้นโบกมืออีกคราหนึ่ง ลำแสงสีเขียวสิบกว่าสายก็พวยพุ่งไปทั่วทั้งห้อง ชั่วพริบตาก็จมหายไปในอากาศ
หานลี่ตั้งท่าร่ายคาถา พลันใช้มือเดียวปล่อยคาถาสีเขียวออกมาหนึ่งสาย
“ปัง!” ม่านแสงสีเขียวหนึ่งชั้นปรากฏบนผนังสีด้านของห้องอย่างไร้สาเหตุ กลายเป็นอาคมปิดผนึก
อาคมต้องห้ามนี้ไม่ได้มีความสามารถในการป้องกันใดๆ แต่สามารถตัดขาดจิตสัมผัสของผู้อื่นได้อย่างยอดเยี่ยม
แม้จะรู้ว่าตนแทบจะถูกกักบริเวณแล้ว หานลี่ก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเปิดเป้าโล่งภายใต้สายตาคนอื่นอย่างง่ายดายเป็นอันขาด
ในหออีกหลังหนึ่ง เซวี่ยตู๋ที่กำลังนั่งหลับตาบนเบาะทรงกลมพลันหน้าเปลี่ยนสีแล้วลืมตาขึ้น ทว่ามุมปากก็เผยรอยยิ้มเยาะออกมา แล้วหลับตาอีกครั้ง
ในเวลานี้ หานลี่กลับกำลังนอนหนุนหมอนพักผ่อนอยู่
แม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ที่อันตราย แต่การทดสอบของบุตรสวรรค์ก่อนหน้านี้ทำให้เขาสูญเสียกำลังวังชาไปไม่น้อย จึงควรจะฉวยโอกาสนี้ฟื้นฟูสักหน่อย
รอให้กายและใจของเขาฟื้นฟูจนถึงขีดสุดแล้ว ค่อยคิดแผนหลบหนีอย่างละเอียดอีกที
เมื่อในใจคิดเช่นนี้ หานลี่ก็นอนหลับสนิทอย่างรวดเร็ว
การนอนหลับครั้งนี้ หลับตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน เขาจึงค่อยตื่นขึ้นอย่างช้าๆ จากการหลับลึก
หลังจากลุกขึ้นจากเตียงแล้ว หานลี่ก็บิดขี้เกียจอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน จึงค่อยนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ข้างเตียง พลางเอามือเท้าคางครุ่นคิดพิจารณาอย่างเงียบๆ
สำหรับคำพูดที่มู่ชิงกับมังกรโลหิตสองคนนี้พูดว่า ตั้งแต่เริ่มก็คิดจะพึ่งพาเขา เขาไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย
อย่างเพิ่งพูดถึงอย่างอื่น ด้วยตัวเขาที่มีประสบการณ์ต่อสู้มาหลายปีเช่นนี้ ตอนที่ปีศาจสองตนไล่ตามมาด้วยท่าทางดุดันนั้นได้ปรากฏไอสังหารออกมาด้วย จะปิดบังจิตสัมผัสอันเฉียบไวของเขาได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าตอนแรกมีจิตมุ่งสังหาร คิดจะเอาชีวิตของเขา
สำหรับสาเหตุที่มู่ชิง ปีศาจสาวตนนี้เปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหัน อีกฝ่ายจะต้องพบบางอย่างที่สามารถใช้ประโยชน์จากตนได้อย่างเหนือความคาดหมายเป็นแน่
ตอนนี้ลองมาคิดดูอย่างละเอียด ตั้งแต่ช่วงเวลาที่อีกฝ่ายไล่ตามตนจนกระทั่งเปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหันแล้วพาตนมาที่แห่งนี้ ที่จริงแล้วเป็นเพียงระยะเวลาที่สั้นสุดๆ
รวมแล้วมู่ชิงพูดแค่หนึ่งถึงสองประโยค แค่พูดถึงอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเท่านั้น! หรือว่าเป็นเพราะเทวะอัสนีนี้…
หานลี่นัยน์ตาเปล่งประกายหลายหน รู้สึกว่าที่ตนคาดเดาน่าจะใกล้เคียงแปดถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว
แต่ถึงแม้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจะมีคุณสมบัติในด้านขับไล่มารปัดเป่าภยันตรายที่ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ แต่หากปราณมารกับวิชาชั่วร้ายแข็งแกร่งจนถึงระดับที่แน่นอน ย่อมไม่อาจทำลายได้โดยง่าย อานุภาพระดับนี้จะเข้าตาราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์อย่างมู่ชิงได้อย่างไร หากแม้แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถรับมือกับมารหรือวิญญาณร้าย อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายก็ยิ่งใช้ไม่ได้ผล
หานลี่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
ทว่า เขาก็ไม่ได้เจาะลึกลงไปในเรื่องนี้ต่อ กลับถอนหายใจยาวคราหนึ่ง
ในเมื่อพบแล้วว่าตนมีส่วนที่อีกฝ่ายต้องการใช้ ก็น่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตชั่วคราว เพียงแค่ต้องระมัดระวังหน่อย เขาก็ยังมีความมั่นใจมากว่าจะหนีพ้นจากที่แห่งนี้ได้
ต่อจากนี้ เขาเพียงแค่รอให้มู่ชิงมู่ศาจสาวตนนี้อธิบายเรื่อนี้กับเขาชัดเจนเท่านั้น จากนั้นก็ค่อยหาโอกาสลงมืออีกทีหนึ่งก็ได้แล้ว
ขณะที่คิดในใจอย่างเงียบๆ หานลี่ก็รู้สึกสบายใจได้ชั่วคราว
สำหรับความคิดที่จะหนีในตอนนี้ แม้ว่าจะเคยแล่นในหัวสมองของเขา แต่พอนึกถึงเซวี่ยตู๋ที่คอยสังเกตการณ์ในระยะใกล้เพียงลัดนิ้วมือ เขาก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ทั้งหมด
ต่อมาอารมณ์ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป พลันนึกถึงพวกเหลยหลันขึ้นมา
ในเมื่อมู่ชิงกับเซวี่ยตู๋ สองปีศาจนี้ต่างก็ไล่ตามเขา คิดว่าสามคนนี้น่าจะกลับไปบนพื้นดินได้อย่างราบรื่นและสำเร็จการทดสอบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็นับว่าสำเร็จการไหว้วานสำคัญของเผ่าวิหคสวรรค์แล้ว ได้ความเป็นอิสระกลับมาแล้ว เผ่าวิหคสวรรค์ไม่สามารถใช้คำสาบานแห่งวิหคสวรรค์มาบังคับอะไรเขาได้อีก
ทว่าเมื่อลองคิดดูอีก เผ่าวิหคสวรรค์แค่ต้องการให้พวกเหลยหลันผ่านการทดสอบ ก็คงจะไม่สนใจความเป็นตายของตนที่เป็นบุตรสวรรค์ชั่วคราวผู้นี้จริงๆ
หานลี่หัวเราะคราหนึ่ง หลังจากนั่งคิดอยู่บนเก้าอี้เช่นนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่ ก็ยืนขึ้นแล้วกลับมานั่งขัดสมาธิบนเตียง
เขาเริ่มฝึกลมปราณด้วยสีหน้าสงบนิ่ง…
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนในชั่วพริบตา!
ในระหว่างนี้ เซวี่ยตู๋นั้นมาดื่มเหล้าสนทนากับหานลี่อยู่เป็นพักๆ ส่วนหานลี่ก็เอาแต่อยู่ที่พักทั้งวันไม่ออกไปข้างนอก แสดงท่าทีเชื่อฟังผิดปกติ
จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา จู่ๆ มังกรโลหิตก็มาหาด้วยอารมณ์ฮึกเหิม พลันพูดอย่างตรงไปตรงมา “น้องหาน นายท่านเชิญสหายไปที่วิหารเซียนพฤกษา ต้องการจะแนะนำสหายกับอาวุโสคนอื่นๆ ให้รู้จัก”
“ดี รบกวนอาวุโสเซวี่ยแล้ว” หานลี่ไม่มีสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย ตอบกลับด้วยท่าทางสงบนิ่ง
เมื่อเห็นว่าหานลี่มีท่าทางสงบนิ่งเช่นนี้ เซวี่ยตู๋ในมาดปัญญาชนก็รู้สึกเลื่อมใสในใจอยู่หลายส่วน
เขาลองถามตัวเองดูว่า หากอยู่ในสถานะเช่นเดียวกับหานลี่ คงไม่สามารถรักษาท่าทางเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น หลังจากที่เซวี่ยตู๋หัวเราะเสร็จ ก็พาหานลี่ออกมานอกหอ
เวลาผ่านไปชั่วหนึ่งมื้ออาหาร หานลี่ก็มาปรากฏตัวที่หน้าวิหารไม้ใหญ่ในตอนแรกอีกครั้ง และตามเซวี่ยตู๋เข้าไปในประตูวิหาร
ภายในวิหารต่างจากตอนที่หานลี่มาคราวที่แล้วมาก สองฝั่งของวิหารใหญ่มีโต๊ะเพิ่มขึ้นมาสามตัว และมีคนสามกลุ่มนั่งแยกกันทีละโต๊ะ
หานลี่ดวงตาเปล่งประกายวูบหนึ่ง พลางมองดูอย่างละเอียด
โต๊ะหนึ่งมีแค่สองคน ตลอดทั้งร่างถูกคลุมด้วยชุดคลุมยาวสีโลหิตตัวหนึ่ง ไม่ว่าจะร่างกายหรือกลิ่นอายก็เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไม่สามารถแยกแยะทั้งคู่ออกได้ ราวกับหนึ่งคนแยกเป็นสองร่าง
อีกโต๊ะหนึ่งมีแค่คนเดียว เป็นชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีดำทมึนตัวหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ผิดปกติ บนร่างแผ่ไอเย็นยะเยือกที่คล้ายกับทำให้คนต้องถอยห่างออกไปสามฉื่อ ราวกับสามารถทำให้อากาศในบริเวณรอบๆ แข็งตัว
กลุ่มสุดท้ายกลับเป็นหญิงสาวสามคน
คนหนึ่งเป็นหญิงงามวัยกลางคนใบหน้าซีดขาว ผมขาวราวหิมะ สวมชุดชาววังสีเขียวมรกตตลอดทั้งร่าง นั่งตัวตรงอยู่หลังโต๊ะ เบื้องหลังของนาง มีหญิงสาววัยเยาว์สองคนรุ่นราวคราวเดียวกันยืนอยู่ตรงนั้น
คนหนึ่งรูปร่างอรชอนอ้อนแอ้น ใบหน้ากลมเบิกบาน ดวงตาสดใสชวนให้หวั่นไหว
อีกคนหนึ่งรูปร่างเพรียวบาง ผิวขาวราวหิมะ ทว่าสีหน้ากลับดูเย็นชาผิดปกติ หญิงคนที่สองนี้เหมือนกับหญิงงามผู้นั้น สีหน้าค่อนข้างซีดขาวผิดปกติ
คนสองโต๊ะก่อนหน้ายังดี แม้ว่าหานลี่จะตกตะลึงกับระดับพลังยุทธ์ที่ลึกไม่อาจหยั่งประมาณของคนพวกนี้ แต่ท้ายที่สุดสีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่พอเห็นหญิงสาวสองคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่โต๊ะสุดท้าย หน้าก็เปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้
แต่ถึงอย่างเขาก็เป็นคนที่มีความคิดเกินคน สีหน้าแทบจะฟื้นฟูเป็นปกติในทันที ทว่าลึกลงไปในดวงตายังคงสั่นไหวอยู่ลางๆ เป็นอาการตกตะลึงที่มีแค่ตนเองเท่านั้นที่รู้
“ทำไมถึงเป็นสองคนนี้! หลังจากที่แยกย้ายกันในมหาสมุทรดาวคลั่งที่แดนมนุษย์เมื่อปีนั้น เขาก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวใดๆ เกี่ยวของหญิงทั้งสองนี้เลย แต่คาดคิดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่งว่าจะมาพบพวกนางอีกครั้งในถิ่นต่างเผ่าของแดนวิญญาณ ทว่าดูจากท่าทีสบายใจของสองคนนี้ คิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาคืนวิญญาณในปีนั้นจะสำเร็จจริงๆ” แม้ว่าหานลี่จะดึงสายตากลับมา แต่ภายในใจกลับมีคลื่นโหมซัดสาดอย่างรุนแรง ยากที่จะสงบได้ในชั่วขณะ
คิดไม่ถึงว่าหญิงงามผิวขาวราวหิมะผู้นั้นคือหยวนเหยาที่มหาสมุทรดาวคลั่งในปีนั้น ส่วนหญิงร่างอรชอนอ้อนแอ้นที่อยู่ข้างๆ ย่อมเป็นศิษย์พี่ของนาง เหยียนลี่ที่ปีนั้นเกือบจะกลัวจนขวัญกระเจิง
ตอนแรกที่เขาเพิ่งจะสำเร็จอิทธิฤทธิ์ได้เพียงเล็กน้อย ก็บังเอิญพบกับหยวนเหยาอยู่หลายครั้ง! ผลที่ได้คือ ในด้านหนึ่งเนื่องจากอีกฝ่ายขอร้อง อีกด้านหนึ่งเพราะซาบซึ้งในการตัดสินใจช่วยเหลือเหยียนลี่ของหญิงผู้นี้ ดังนั้นจึงช่วยเป็นผู้พิทักษ์ให้นางสำแดงเคล็ดวิชาลับคืนวิญญาณ แต่ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะพบหมอกภูตในคำร่ำลือ ดูดเขาเข้าไปในดินแดนอเวจีทมิฬ ภายหลังต้องทุ่มพลังมหาศาลจึงจะหนีออกมาได้ แต่หลังจากออกมา ก็ไม่รู้ว่าหยวนเหยาอยู่ที่ใด หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนนี้ได้มาพบกันในที่แห่งนี้ ทั้งยังอยู่ที่เดียวกับราชาปีศาจของเหวพสุธา หานลี่ย่อมรู้สึกตกตะลึงสุดๆ!
ขั่วพริบตาที่หานลี่กับเซวี่ยตู๋เดินเข้ามา สายตาของคนในวิหารย่อมต้องกวาดมองมาทางนี้ก่อนเป็นธรรมดา
พวกหยวนเหยา สองสาวได้เห็นหน้าหานลี่ อารมณ์กลับแตกต่างกันอย่างมาก
ดวงตาอันงดงามของหยวนเหยามีสีของความตกตะลึงพาดผ่าน ฉับพลันใบหน้าก็แลดูไร้ซึ่งอารมณ์ ดูไม่ออกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย
ทว่าเหยียนลี่กลับกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าปรากฏความงุนงงสงสัยออกมา เห็นได้ชัดว่านางน่าจะลืมหานลี่ที่พบหน้าเพียงครั้งเดียวจนเกือบจะลืมสนิทแล้ว แค่รู้สึกว่าหานลี่ดูค่อนข้างคุ้นหน้าจริงๆ เท่านั้น!
“อ๋อ นี่ก็คือคนผู้นั้นที่พวกเจ้าพูดถึงสินะ? พลังยุทธิ์เพิ่งจะระดับแม่ทัพวิญญาณเท่านั้น จะใช้ประโยชน์ได้จริงๆ หรือ?” คิดไม่ถึงว่าหญิงงามผมขาวจะมีน้ำเสียงชราอย่างผิดปกติ พูดอย่างเย็นชา