“ที่แท้ก็เกี่ยวข้องกับงานใหญ่ของนายท่าน ไม่แปลกเลยที่จะเปลี่ยนความคิด ทว่าคนผู้นี้เป็นคนที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยระบุชัดเจนแล้วว่าต้องการฆ่า นายท่านควรจะอธิบายสักหน่อยเถอะขอรับ! ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยนั้นไม่ใช่คนที่ใจกว้างแต่อย่างใด” มังกรโลหิตยิ้ม
“อืม เรื่องนี้ข้ารู้จักบันยะบันยัง แต่ก่อนที่ข้าจะนำเรื่องนี้อธิบายกับหนุ่มน้อยแซ่หาน เจ้าคอยจับตาดูเขาไว้ก่อน อย่าให้เขาหาโอกาสหนีออกไปได้ ถึงเวลาข้าต้องเปลืองแรงอีก” มู่ชิงกล่าวกำชับ
“ขอรับ ในระหว่างนี้ ผู้น้อยจะคอยจับตาดูคนผู้นี้ไว้” เซวี่ยตู๋ขานรับด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม
มู่ชิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่จะโบกมือให้เขาออกไป
เซวี่ยตู๋ออกจากวิหารใหญ่อย่างรู้ตัวว่าควรทำอย่างไร
หลังจากที่หญิงสาวเงาดำลังเลอยู่ภายในแสงสีดำเลือนรางครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนดอกไม้ยักษ์สีทองที่อยู่เบื้องล่างเบาๆ
ดอกไม้ยักษ์สั่นไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นกระจกทรงกลมสีทองแวววาวก็พุ่งออกมาจากใจกลางดอกไม้ รูปลักษณ์โบราณและเรียบง่าย มีอักขระเปล่งแสงอยู่รำไร
มู่ชิงอ้าปาก พลันพ่นปราณสีเขียวออกมา
ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีทองวูบหนึ่ง ปราณสีเขียวก็จมหายไปในกระจกอย่างน่าประหลาด
หน้ากระจกเปล่งแสงวิญญาณสว่างวาบ ปรากฏเป็นม่านแสงสีทองหนึ่งชั้น
ผ่านไปนานสองนาน จึงค่อยมีเสียงพูดซึมกระทือของชายหนุ่มคนหนึ่งดังออกมาจากม่านแสงสีทอง “สหายมู่ เจ้ามาหามีธุระอันใด”
มู่ชิงได้ยินเสียงนี้ก็ยิ้มแล้วตอบกลับ “พี่ลิ่วจู๋! ไม่ทราบว่าท่านรวบรวมปราณทมิฬเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนวันที่จะปรึกษาและตกลงกัน ให้แม่เฒ่าภูตหลอมภูตทมิฬเกราะดำมาให้เพียงพอได้หรือไม่”
“ปราณทมิฬบริสุทธิ์ที่ชั้นล่างสองสามชั้นถูกข้ารวบรวมจนหมดเกลี้ยงแล้ว แม้ว่าปราณทมิฬของชั้นหนึ่งจะเบาบางที่สุด แต่เพียงแค่เสียเวลามากหน่อย ก็สามารถรวบรวมได้ไม่น้อย เพียงพอให้แม่เฒ่าภูตหลอมภูตทมิฬได้แปดพันตน สหายมู่ ทำไมจู่ๆ ก็ถามเรื่องนี้กับข้าน้อยขึ้นมาล่ะ” ชายหนุ่มเงียบขรึมไปพักหนึ่ง จึงค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึก
“ตามแผนของพวกเรา ภูตทมิฬแปดพันตนนี้กับหุ่นเชิดนับหมื่นตัวของตี้เซวี่ย ล้วนเป็นแค่ทหารเดนตายที่ใช้ในการขวางฝูงภูตผีแม่น้ำอเวจีเท่านั้น แต่สุดท้ายหากจะทำลายจุดสิ้นสุดพรมแดนของแม่น้ำอเวจี ยังต้องวางแผนกันอีกต่างหาก อาศัยเพียงวิธีการที่พวกเราเตรียมไว้ก่อนหน้า แต่สถานการณ์ก็ยังไม่มั่นคงนัก” มู่ชิงไม่ได้ตอบกลับโดยตรง กลับลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น
“ทำไมรึ หรือว่าสหายมู่จะหาวิธีดีๆ สำหรับทำลายจุดสิ้นสุดพรมแดนได้แล้ว” ชาวหนุ่มกลับโต้ตอบเร็วสุดๆ น้ำเสียงเปลี่ยนเล็กน้อย
“เหอะๆ พี่ลิ่วจู๋ช่างรู้ใจน้องจริงๆ น้องเพิ่งจะได้รับผลสำเร็จมาจริงๆ จึงอยากจะปรึกษาสหายเล็กน้อย” หญิงสาวพลันหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา
“ได้รับผลสำเร็จ? ลองเล่ามาให้ฟังหน่อยเถอะ” น้ำเสียงของชายหนุ่มกลับมาสงบนิ่งไม่ไหวติงอีกครั้ง
“วันนี้ข้าหาคนผู้หนึ่งที่สามารถควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้ แม้ว่าจุดสิ้นสุดพรมแดนของแม่น้ำอเวจีนั้นจะมีอาคมต้องห้ามที่ใช้ปราณทมิฬเป็นหลัก แต่ที่ยุ่งยากสุดจริงๆ ก็คือปราณมารอเวจีที่แฝงอยู่ในนั้น ปราณมารเหล่านี้บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง วิธีการในตอนแรกของพวกเราอาจจะไม่ค่อยรับประกัน แต่หากมีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย ปราณมารเหล่านี้ก็ไม่มีค่าพอให้หวาดกลัวแล้ว” ท่าทีของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
“ในด้านการขับไล่มารและปัดเป่าความชั่วร้าย อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายทำได้อย่างราบรื่นจริงๆ ทว่าในสมัยโบราณกาล ตอนที่เผ่ามังกรปีศาจประกาศศักดาเป็นใหญ่ในตอนวิญญาณ ก็แทบจะขุดรากถอนโคนไผ่อัสนีทองที่มีอยู่ในแดนวิญญาณจนหมดแล้ว ผู้ที่ฝึกฝนและครอบครองไผ่อัสนีทองก็ถูกฆ่าตายไปจดหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้จะมีคนที่ควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายโผล่มาอีกได้อย่างไร เจ้าไม่ได้ดูผิดไปสินะ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างช้าๆ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ
“ตรงจุดนี้วางใจได้ อิทธิฤทธิ์ที่คนผู้นั้นสำแดงออกมาเป็นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจริงแท้แน่นอน น้องยังมีสายดีอยู่ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวคือ ดูเหมือนคนผู้นี้จะไม่รู้วิธีการควบคุมที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย จึงใช้งานมันเหมือนอิทธิฤทธิ์เทวะอัสนีทั่วไป อานุภาพยังไม่อาจสำแดงได้ถึงหนึ่งหรือสองส่วนเลย” มู่ชิงพลันหัวเราะหยันขึ้นมา
“อ๋อ หากเป็นเช่นนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ คนผู้นี้คงจะได้รับเศษของไผ่อัสนีทองมาโดยบังเอิญ ประจวบเหมาะกับฝึกฝนอิทธิฤทธิ์นี้สำเร็จพอดีกระมัง” ชายหนุ่มนามว่าลิ่วจู๋ผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“เหอะๆ น้องเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นหากคนผู้นี้สามารถสำแดงอานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาได้ทั้งหมด แม้แต่ท่านและข้าก็ต้องหวาดกลัวกันบ้าง ทว่าสามารถพบคนเช่นนี้ในเวลานี้และสถานที่นี้ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญอย่างใหญ่หลวงของท่านกับข้าแล้ว ดูเหมือนฟ้าจะลิขิตให้การใหญ่ของพวกเราสำเร็จแล้ว” มู่ชิงพลันยิ้มหวาน
“เพียงแค่อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของคนผู้นี้เป็นของจริง ย่อมช่วยเหลือพวกเราได้เป็นอย่างมาก แต่จู่ๆ เจ้าก็บอกเรื่องนี้กับข้า น่าจะมีความยุ่งยากอะไรแอบแฝงสินะ!” ชายหนุ่มกลับถามออกมาเช่นนี้อย่างฉับพลัน
“พี่ลิ่วจู๋ช่างหลักแหลม! ที่จริงแล้วคนผู้นี้ข้าไม่ได้รู้จักเป็นคนแรก เขาเป็นคนที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยนั้นระบุตัวให้ข้าสังหาร ทั้งยังอยากให้ข้ากักขังจิตวิญญาณทมิฬของคนผู้นี้มอบให้เขา ตามที่ข้าคาดเดา เป็นไปได้มากว่าแม่เฒ่าภูตนั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้างเช่นกัน” มู่ชิงยิ้มจางๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สหายมู่อยากจะควบคุมคนผู้นี้ด้วยตัวเอง ให้ข้าเป็นคนไกล่เกลี่ยเรื่องนี้สินะ” ชายหนุ่มมองเจตนาของมู่ชิงออกในชั่วพริบตา พลันเอ่ยขึ้น
“น้องมีเจตนาเช่นนี้ พี่ลิ่วจู๋น่าจะเข้าใจดี เดิมทีน้องมีร่างกายที่ก่อตัวมาจากวิญญาณพฤกษา ในด้านความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับไผ่อัสนีทองนั้น ในสี่คนนี้ไม่มีใครเทียบข้าได้ ด้วยการชี้แนะคนผู้นั้นด้วยตัวข้าเอง จึงจะสามารถทำให้เขาควบคุมอานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้เร็วที่สุด สามารถจัดสรรประโยชน์ใช้สอยในตอนที่พวกเราดำเนินแผนการได้” มู่ชิงพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ท่าทางคล้ายจะไม่ปิดบังเจตนาของตัวเอง
“อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่เรื่องนี้สำคัญมา พวกเราทั้งหลายจำเป็นต้องหารือกันต่อหน้าสักหน่อย พวกเราสามคนเองก็ต้องพบหน้าคนผู้นี้ด้วยตัวเองถึงจะได้” ครั้งนี้ ชายหนุ่มลังเลอยู่พักใหญ่จึงค่อยตอบกลับ
“เรื่องนี้ย่อมได้อยู่แล้ว ครึ่งเดือนให้หลังมารวมตัวกันที่พำนักของข้าเถอะ แม่เฒ่าภูตกับตี้เซวี่ยก็ให้พี่ลิ่วจู๋แจ้งด้วยตัวเองสักหน่อย ถึงตอนนั้น น้องจะต้อนรับสหายทั้งสามที่วิหารเซียนพฤกษาด้วยตัวเอง” มู่ชิงยิ้มกล่าว
“ดี เช่นนี้ก็เป็นการตกลงแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวตกลงอย่างเด็ดขาดเป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่ม่านแสงสีทองบนกระจกสีทองดับวูบ ก็ไม่มีเสียงใดๆ ส่งมาอีก ชายหนุ่มที่ชื่อว่าลิ่วจู๋ผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าจะตัดการเชื่อมต่อโดยที่ไม่มัวพูดมากต่อ
“หึ แตกต่างจากที่ข้าคาดการณ์ไว้จริงๆ ลิ่วจู๋ผู้นี้ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนผู้นี้จะอยู่ในมือใคร ลองคิดดูก็ใช่ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่กลัวอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอยู่แล้ว แต่อีกสองคนที่เหลือ เกรงว่าจะไม่ยอมวางมือโดยง่าย ทว่าในเมื่อคนตกอยู่ในมือข้าแล้ว คิดจะส่งให้อีก เช่นนั้นก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อลมๆ แล้งๆ แล้ว” มู่ชิงแค่นเสียงเบาๆ คราหนึ่ง เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นภายในวิหารใหญ่ที่ว่างเปล่า
…
หานลี่นั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะกลมตัวหนึ่ง พลางจ้องมองผู้ที่ดื่มสุราอวยพรซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เงียบกริบไม่พูดไม่จาอยู่นานสองนาน
คนผู้นี้ท่าทางคล้ายปัญญาชนอายุราวๆ สามสิบกว่าปี บุคลิกลักษณะดูสง่า มีวิชาความรู้ลุ่มลึก มือหนึ่งถือจอกสุราสีเขียวมรกตเชิญชวนให้หานลี่ดื่มไม่หยุด
บนโต๊ะกลมเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสนานาชนิดและไหสุราสีดำขลับใบหนึ่ง ในไหสุราเต็มไปด้วยสุราชั้นเลิศสีเหมือนอำพัน กลิ่นหอมเตะจมูก
หญิงรับใช้ชุดเขียวนามว่าปี้เอ๋อร์ผู้นั้นก็กำลังปรนนิบัติอยู่ข้างๆ
“มาๆ! น้องหานต้องลิ้มลองสุราไขพฤกษาของหุบเขาเซียนพฤกษาของพวกเรา แม้ว่าสุรานี้จะวิเศษไม่เท่าชาดับทมิฬ แต่ก็ใช้ไขของวิญญาณพฤกษาหมื่นปีในการกลั่น มีฤทธิ์ทำให้สดชื่นและฟื้นฟูกำลัง หากสหายหานดื่มมากหน่อย ก็จะรู้ถึงความวิเศษของมัน” ปัญญาชนวัยกลางคนกล่าวด้วยท่าทางกระตือรือร้นผิดปกติ
“อาวุโสเซวี่ยตู๋ ข้าน้อยดื่มสุราไม่แข็ง สองสามจอกก่อนหน้านี้ยังพอได้ หากดื่มต่อไปอีก คงได้ปล่อยไก่จริงๆ” หานลี่พูดด้วยความจนปัญญา
คิดไม่ถึงว่าปัญญาชนวัยกลางคนผู้นี้จะเป็นมังกรโลหิตที่แปลงกลายเป็นร่างมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากที่หานลี่เพิ่งจะถูกจัดเตรียมให้เข้ามาในหอหลังหนึ่ง คนผู้นี้ก็รีบตามมาทันที และรีบกำชับให้จัดโต๊ะดื่มสุราโต๊ะนี้ แล้วกินดื่มกันอย่างเต็มที่ในที่แห่งนี้
หานลี่อยู่ในถิ่นของอีกฝ่าย ย่อมไม่ควรปฏิเสธ จำต้องทำใจดีสู้เสื้อร่วมเฉลิมฉลองกับมังกรโลหิตตัวนี้
“ฮ่าๆ พลังยุทธ์ถึงระดับพวกข้าแล้ว สุราวิญญาณจิ๊บจ๊อยระดับนั้นจะทำให้พวกเราเมาได้อย่างไร หรือว่าน้องหานยังโกรธเคืองเรื่องที่ประมือกับข้าก่อนหน้านี้” เซวี่ยตู๋พลันบิดศีรษะคราหนึ่งแล้วพูด
“หึๆ เรื่องเล็กก่อนหน้านี้ ชนรุ่นหลังลืมไปตั้งนานแล้ว นั่นอาจจะทำให้อาวุโสเกิดความไม่พอใจ เอาล่ะ ข้าน้อยขอดื่มให้อาวุโสเพิ่มอีกจอก” หานลี่จำต้องกล่าวเช่นนี้
ฉับพลันเขาก็หยิบจอกสุราตรงหน้าขึ้นมาหนึ่งจอก แล้วดื่มสุราวิญญาณในจอกลงท้องไปหนึ่งอึก
หญิงสาวชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบอุ้มไหสุราเดินเข้ามาเติมให้หานลี่จนเต็มจอกอีกครั้ง
หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้กล่าวอะไร
เซวี่ยตู๋ที่อยู่ตรงข้ามกลับยิ้มแล้วกล่าว “น้องหานพักผ่อนที่หุบเขาเซียนพฤกษาของเราอย่างสบายใจก็พอแล้ว นายท่านให้ความสำคัญกับน้องหานเป็นพิเศษเช่นนี้ จะต้องมีส่วนที่ขอพึ่งพาอย่างแน่นอน ถึงเวลาไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด สิ่งของจำพวกรางวัลจะต้องหนักแน่นอย่างแน่นอน จะไม่ดีเยี่ยมกว่าการที่สหายกลับไปยังพื้นดิน แล้วเป็นบุตรสวรรค์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินหรอกหรือ พูดอย่างไม่เกรงใจ ทุกสิ่งที่เผ่าของเจ้าสามารถมอบให้สหายได้ เหวพสุธาของพวกเราก็สามารถให้ได้เช่นกัน ของที่ไม่สามารถมอบได้ พวกเราก็สามารถมอบให้สหายได้ นี่ถือเป็นโอกาสที่สหายยากจะได้รับเชียวนะ!”
คิดไม่ถึงว่าเซวี่ยตู๋จะกลายเป็นคนเก่งเจรจาที่ช่างจ้อไปแล้ว
มุมปากของหานลี่กระตุกเกร็ง ไม่ได้ตอบคำถามนี้โดยตรง กลับยิ้มจางๆ แล้วย้อนถาม “ไม่ทราบว่าที่นี่คือั้นใดของเหวพสุธา ต้นสายปลายเหตุที่อาวุโสมู่พาข้าน้อยมายังที่แห่งนี้ ผู้อาวุโสสามารถเปิดเผยสักนิดได้หรือไม่?”
“หากจะบอกว่าไม่รู้เจตนาของนายท่านเลยแม้แต่น้อย ย่อมเสแสร้งเกินไปแล้ว แต่เรื่องนี้ผู้แซ่เซวี่ยไม่สะดวกที่จะอธิบายชัดเจนจริงๆ ทว่าน้องหานโปรดวางใจ นายท่านเองก็ไม่คิดจะปิดบังนานอยู่แล้ว อย่างมากภายในครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือนก็จะอธิบายทั้งหมดให้สหายฟัง สำหรับที่นี่คือชั้นใด กลับไม่ได้มีอะไรน่าปิดบัง ที่นี่ก็คือป่าหมอกทมิฬในชั้นสามของเหวพสุธา” เซวี่ยตู๋ตอบกลับโดยไม่ต้องคิด
“ป่าหมอกทมิฬ! ก็คือป่าทึบที่มีหมอกดำทมิฬปกคลุมอยู่ ตามที่ได้ยินมา เมื่อเข้าไปในนั้นแล้วจะไม่สามารถออกมาได้!” หานลี่ได้ยินดังนี้ ก็สีหน้าเปลี่ยนอย่างห้ามไม่อยู่
“ฮ่าๆ เป็นสถานที่นี้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าป่าแห่งนี้จะมีชื่อเสียงโด่งดังในเผ่าของเจ้า ที่จริงแล้วเป็นแค่อิทธิฤทธิ์ที่นายท่านสำแดง วางอาคมต้องห้ามเล็กน้อยภายในป่าเท่านั้น” เซวี่ยตู๋กลับหัวเราะแล้วกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หานลี่หัวเราะขื่นคราหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก
“ใช่แล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่ง ผู้แซ่เซวี่ยรู้สึกสงสัยมาก ไม่ทราบว่าน้องหานพอจะคลายข้อสงสัยให้ข้าน้อยได้หรือไม่” หลังจากที่เชิญชวนหานลี่ดื่มสุราไขพฤกษาอีกสองสามจอก ดวงตาของชายวัยกลางคนพลันเปล่งแสงประหลาด แล้วถามขึ้นอย่างฉับพลัน
“อ๋อ ผู้อาวุโสมีสิ่งใดไม่เข้าใจ หากข้าน้อยทราบก็จะบอก” หานลี่รู้สึกใจหายวาบ ภายใต้การโคจรของเคล็ดวิชาขับเคลื่อนภายในร่าง ความมึนเมาเล็กน้อยภายในหัวสมองก็หายเป็นปลิดทิ้ง!