การแสดงออกของหานลี่ยังคงทำให้พวกเหลยหลันทั้งสามคนตกตะลึงยกใหญ่ ต่อหน้าศัตรูสองฝ่ายที่ดูแข็งแกร่งสุดๆ คิดไม่ถึงว่าฝ่ายหนึ่งจะถูกสังหารอย่างง่ายดาย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งถูกทำให้ตื่นตระหนกจนหนีไป ท้ายที่สุดก็พ้นภยันตรายตรงหน้านี้ได้
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังสบายใจกันอยู่นั้น ไม่ได้รู้ว่าหุ่นเชิดโลหิตสามตัวที่หานลี่สังหารไปนั้นมีพลังระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต่ำ ไม่เช่นนั้นสามคนนี้คงได้ตื่นตระหนกตกใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ดังนั้น เมื่อเห็นว่ารอบๆ ไม่มีปีศาจปรากฏออกมาอีกแล้ว ในขณะเดียวกัน หานลี่ได้ช่วยเหลืออสูรวิญญาณพัฒนาระดับจนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว พวกเหลยหลันทั้งสามจึงนั่งขัดสมาธิอยู่ในรถวิญญาณ ฟื้นฟูพลังปราณที่สูญเสียไปอย่างเงียบๆ
หนึ่งชั่วยามต่อมา บนพื้นดินพลันเปล่งแสงสีขาวอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามกึกก้องราวกับมังกรคำรามดังออกมาคราหนึ่ง
หานลี่ที่กำลังยื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปในแสงสีขาวนั้น สีหน้าดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ครั้นโยกตัวคราหนึ่ง เงาลวงตาก็พุ่งถาโถมออกมาอย่างต่อเนื่อง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เงาสีทองร่างหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากแสงสีขาว หลังจากหมุนเคว้งรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นเงาอสูรร่างยักษ์ลำตัวยาวสิบจั้งเศษตนหนึ่งท่ามกลางดวงแสงเจิดจ้า
ทั่วทั้งเรือนกายเป็นสีทองแวววาว มีเกล็ดปกคลุมตามร่างกาย ที่แท้ก็คืออสูรกิเลนสีทองตนหนึ่ง
แม้ว่ากิเลนตัวนี้จะเป็นแค่เงาลวงตาภาพหนึ่ง แต่เมื่อมันเงยหน้าและแผดเสียงคำรามอันน่าเกรงขามดังลั่น พลังอำนาจอันน่าสะพรึงก็พุ่งทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้แต่หานลี่ที่เพิ่งจะยืนได้มั่นคงก็ยังต้องถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าวพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าเงาลวงตานี้ก็เป็นเหมือนกับดอกราตรีที่บานชั่วแวบเดียว ค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ
ในเวลาเดียวกับที่แสงสีขาวดับวูบ อสูรตัวน้อยก็ปรากฏกายออกมา
อสูรกิเลนเสือดาวในตอนนี้ รูปร่างของมันไม่ต่างจากเมื่อก่อนมากนัก แต่ลวดลายบนเนื้อหนังของมันกลับมีสีทองปรากฏเป็นเส้นๆ ขณะเดียวกัน เมื่อมันลืมตาทั้งสองขึ้น รูม่านตาก็เปลี่ยนเป็นสีเงินแวววาว
เงาลวงตาเปล่งแสงวูบหนึ่ง อสูรกิเลนเสือดาวก็หายวับไปจากที่เดิมอย่างฉับพลัน
เกือบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่รู้สึกว่าที่หน้าอกตัวเองหนักขึ้น มีสิ่งที่เป็นขนปุกปุยโผล่ออกมา
เขาก้มหน้าดู ที่แท้ก็เป็นเจ้าอสูรตัวน้อยที่พัฒนาระดับกระโจนเข้ามาซุกร่างของตนนั่นเอง
อสูรตนนี้เบิกดวงตาอันแปลกประหลาดขึ้น พลางแลบลิ้นสีชมพูออกมา ใช้แรงเลียที่หลังมือของหานลี่สองสามทีด้วยท่าทางสนิทสนมสุดๆ
หานลี่ใช้จิตสัมผัสตรวจดูภายในร่างของอสูรตัวน้อยโดยไม่พูดจา ครู่ต่อมา บนใบหน้าก็เผยสีหน้าของความดีอกดีใจออกมา
อสูรตัวน้อยพัฒนาระดับสำเร็จดังคาด มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเทพแปลงแล้ว
ด้วยอิทธิฤทธิ์โดยกำเนิดและสายเลือดกิเลนในตัวของอสูรตนนี้ เหนือกว่าอสูรชนิดอื่นๆ ในระดับเดียวกันอย่างลิบลับ ภายภาคหน้าน่าจะสามารถกลายเป็นผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้
อสูรตัวน้อยหาวหวอดในอ้อมอกหานลี่ ท่าทางดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด การพัฒนาระดับเมื่อครู่ทำให้ร่างกายของมันรับไม่ไหว จึงต้องรีบฟื้นฟูพลังปราณที่สูญเสียไป
หานลี่เห็นเช่นนี้จึงพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ระหว่างนิ้วพลันปรากฏยาลูกกลอนสีเหลืองอมแดงออกมาเม็ดหนึ่ง พอยัดเข้าไปในปากของอสูรตัวน้อยเสร็จ ก็ใช้มือตบๆ ร่างของอสูรตัวน้อยเบาๆ
แสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างของอสูรตัวน้อยหายไปอย่างไร้ร่องรอย มันถูกเก็บเข้าไปในกำไลเก็บของ ตอนนี้กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างใน
สามคนที่อยู่บนรถวิญญาณได้เห็นเงาลวงตากิเลนก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พลันหันมาสบตากันด้วยจิตใต้สำนึก ต่างก็เห็นอาการตกตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย
แม้ว่าเผ่าวิญญาณเหาะเหินจะเลื่อมใสแค่ระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของเผ่าวิหคเท่านั้น แต่ที่เหมือนกับกิเลนซึ่งได้รับชื่อเสียงเลื่องชื่อลือนามจากเผ่าต่างๆ ในแดนวิญญาณมาช้านานว่ามีพลังระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้อันเกรียงไกรเช่นนี้ พวกเขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร
อสูรวิญญาณของหานลี่ยังมีสายเลือดของกิเลนวิญญาณเที่ยงแท้อยู่ เรื่องนี้ย่อมทำให้แต่ละคนตกตะลึงพรึงเพริดอีกครั้ง
ตอนนี้ร่างของหานลี่พลันพลิ้วไหว กลายเป็นรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า วนรอบอาณาเขตหลายร้อยจั้งรอบหนึ่ง ลำแสงหลากหลายสีสันก็พุ่งทยานออกจากพื้นดิน ก่อนที่จะหายวับเข้าไปในรุ้งสีเขียว
ธงเขตอาคมและจานเขตอาคมถูกเขาเก็บเข้าไปในแขนเสื้อใหญ่ๆ ทั้งหมด
เสาแสงสีแดงฉานสิบกว่าต้นและเขตอาคมบนพื้นดินก็สลายหายไปในทันที ทุกอย่างฟื้นคืนกลับมาเป็นสภาพเดิม
“พวกเรามีเวลาไม่มาก จะต้องเข้าสู่ชั้นที่สามโดยเร็วที่สุด” แสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างของหานลี่พลันปรากฏภายในรถเหาะ พูดกับพวกเหลยหลันทั้งสามด้วยท่าทางสงบนิ่ง
พวกไป๋ปี้และเหลยหลันย่อมไม่มีข้อคิดอื่นใด จึงพากันพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
ดังนั้น หานลี่เพียงแค่ใช้ปลายเท้าแตะเบาๆ ลงบนรถวิญญาณสามเหลี่ยม ก็กลายเป็นลำแสงสีขาวพวยพุ่งออกไป หลังจากพุ่งฉวัดเฉวียนไม่กี่หน ภาพของรถเหาะก็ค่อยๆ จางลงและเลือนหายไปในขอบฟ้าอันมืดมิดในที่สุด
ชั้นลึกแห่งหนึ่งในเหวพสุธา ช่วงเวลาเดียวกับตอนที่หุ่นเชิดโลหิตทั้งสามถูกเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณเผามอดจนกลายเป็นเถ้าธุลี ชายชุดโลหิตที่กำลังนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องลับบริเวณกลางเขา ครู่ต่อมาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พลันลืมตาขึ้นแล้วอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความสงสัย
“เอ๋! หุ่นเชิดโลหิตถูกทำลายแล้ว แม้แต่จิตสัมผัสทั้งสามสายก็หนีออกมาไม่ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะมีผู้อื่นสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องดีของผู้เฒ่า?” ชายชุดโลหิตพูดด้วยสีหน้าเฉียบขาด พลันปรากฏท่าทางดุร้ายออกมา
“ช่างเถอะ ก็แค่หุ่นเชิดโลหิตสามตัวเท่านั้นเอง จะส่งหุ่นเชิดตัวอื่นไปอีกก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว กับระดับแม่ทัพวิญญาณกระจอกๆ แค่คนเดียว ไม่ถึงกับต้องให้ผู้เฒ่าไปเยือนชั้นบนด้วยตัวเองหรอก” ชายชุดโลหิตเอามือลูบๆ คาง พลางบ่นพึมพำ
ผ่านไปนานสองนาน เขาจึงค่อยสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง ก้อนกลมที่ใช้ไปเมื่อครั้งก่อนพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง หลังจากหมุนโคจรรอบหนึ่ง ก็ลอยคว้างอยู่เบื้องหน้า
มือหนึ่งร่ายคาถา ส่วนอีกมีหนึ่งแตะไปที่ก้อนกลมหนึ่งที แสงโลหิตจากไข่มุกพลันขยายใหญ่ขึ้น พร้อมส่งเสียงดังหึ่งๆ ออกมาเบาๆ
ครู่ต่อมา เสียงพูดอันเยือกเย็นของหญิงสาวผู้หนึ่งดังออกขึ้น “ตี้เซวี่ย เจ้าหาข้ามีธุระอะไร?” เจ้าของเสียงพูดกับชายชุดโลหิตอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“เหอะๆ ผู้เฒ่าอยากจะทำข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อยกับสหายมู่ชิง” ชายชุดโลหิตตอบกลับพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” หญิงสาวรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าน้อยแค่อยากยืมมังกรโลหิตระดับผู้บัญชาวิญญาณขั้นสูงตัวนั้นของแม่นางสักหน่อย” ชายชุดโลหิตพูดอย่างไม่หนักหนาอะไร
“มังกรโลหิต? เจ้าจะยืมพวกมันไปทำไม ข้ายังต้องให้พวกมันช่วยหาอาหารโลหิตที่ใช้เซ่นไหว้ให้ข้าอยู่” หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจ
“ข้าจำเป็นต้องใช้พวกมันสังหารชาววิญญาณเหาะเหินระดับแม่ทัพวิญญาณสองสามคน พวกเขาอยู่ที่ชั้นสอง หากข้าจะลงมือเองก็เห็นทีจะไม่ทันแล้ว อีกทั้งที่นี่ยังไม่มีอาคมส่งตัวที่สามารถส่งไปถึงที่นั่นโดยตรงได้ ดังนั้นจึงต้องไหว้วานแม่นางแล้ว” ชายชุดโลหิตกล่าวออกมาเช่นนี้
“หึ ระดับแม่ทัพวิญญาณสองสามคนค่อยคู่ควรที่จะใช้มังกรโลหิตหน่อย เอาเถอะ ข้าไม่สนว่าเจ้ามีแผนมุ่งร้ายอะไร คิดจะยืมมังกรโลหิตก็ได้ แต่เจ้าต้องส่งพฤกษาซ่อนวิญญาณมาให้ข้าท่อนหนึ่งถึงจะได้ ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ต้องมาคุยกันต่อหน้า!” หญิงสาวเงียบขรึมไปพักหนึ่ง จึงค่อยตอบกลับอย่างเรียบๆ
“พฤกษาซ่อนวิญญาณ! ได้ ไม่มีปัญหา แต่มีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกนี้ข้าจำเป็นต้องใช้มัน หลังจากฆ่าพวกเขาแล้ว ให้มังกรโลหิตนำมาให้ข้า” ชายชุดโลหิตพูดอย่างไม่กระโตกกระตาก
“แค่นี้เรื่องเล็ก เจ้านำตำแหน่งและรูปร่างหน้าตาของคนพวกนั้นส่งมาให้ข้า” หญิงสาวรับปาก พลันเสนอความต้องการด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาเล็กน้อย
“ย่อมได้อยู่แล้ว สหายมู่รอสักประเดี๋ยว” ชายชุดโลหิตยื่นนิ้วหนึ่งออกมาแตะบนหยดเลือด พลางหลับตาลงอย่างนิ่มนวล ส่งมอบของบางอย่างให้ผ่านทางจิตสัมผัส
ผ่านไปพักหนึ่ง ชายชุดโลหิตงอนิ้วกลับ พลันลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้น “ที่ข้าส่งให้เจ้าคือตำแหน่งที่พวกนั้นปรากฏตัวเมื่อไม่นานมานี้ เพียงแค่มังกรโลหิตไล่ตามทันก็น่าจะหาพวกเขาเจอง่ายมาก ส่วนข้าจะรอฟังข่าวดีจากสหาย”
“ตราบใดที่เป็นระดับแม่ทัพวิญญาณจริงก็คงไม่เปลืองเวลาสักเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าหากสถานการณ์กับสิ่งที่เจ้าพูดไม่ตรงกันละก็…” หญิงสาวหัวเราะเยาะอย่างมีนัยแอบแฝง
“หากไม่ตรงตามที่ว่ามา แม่นางย่อมสามารถยกเลิกข้อแลกเปลี่ยนนี้ได้ทุกเมื่อ” ชายชุดโลหิตยิ้มจางๆ คราหนึ่งแล้วตอบ
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเขา แม้แต่ระดับแม่ทัพวิญญาณแค่ไม่กี่คน ย่อมไม่มีทางดูพลังยุทธ์ผิดแน่นอน
“สหายยืนยันเช่นนี้ก็ดี เรื่องนี้ก็ถือว่าทำการตกลงแล้ว ข้าจะส่งมังกรโลหิตไปยังชั้นสองโดยตรง สามวันให้หลัง น่าจะมีข่าวคราวส่งกลับมา” หญิงสาวพูดอย่างสงบนิ่ง แสงโลหิตบนก้อนกลมพลันสว่างวาบ การติดต่อก็ถูกตัดขาดลง
ชายชุดโลหิตเห็นดังนี้ก็ไม่ได้โกรธ ใบหน้ากลับเผยความพึงพอใจออกมา
หลังจากที่เขาเก็บก้อนกลมเสร็จ ก็กล่าวพึมพำขึ้นมาคนเดียว “ลงมือด้วยมังกรโลหิตระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นสูง น่าจะไม่มีทางพลาดอย่างเด็ดขาด หากยังลงมือไม่สำเร็จ นั่นก็หมายความว่าอาวุโสของเผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกนั้นลอบเข้ามาในเหวพสุธาจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องรับมืออย่างระมัดระวัง จะเสียการใหญ่ไม่ได้”
ขณะพูดอยู่ ชายชุดโลหิตก็ขยับตัวพิงเก้าอี้ ไม่นานก็ส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ
ในตอนนี้เอง เขาได้เข้าสู่สภาวะนิทราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
…
ที่ชั้นสามของเหวพสุธา ภายในวิหารใหญ่ที่สร้างจากไม้ดำจำนวนนับไม่ถ้วนแห่งหนึ่ง เงาร่างสีดำเลือนรางร่างหนึ่งกำลังนั่งเท้าคางไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในดอกไม้ใหญ่สีทองขนาดจั้งกว่า
และเบื้องล่างซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก กลับมีเงาดำร่างเตี้ยสูงไม่เท่ากันคุกเข่าเรียงกันเป็นสองแถว ดูแล้วน่าจะมีราวๆ สิบห้าถึงสิบหกร่าง
ผ่านไปนานสองนาน ทันใดนั้นเงาดำก็โบกมือข้างหนึ่ง ลำแสงสีเขียวมรกตสายหนึ่งพวยพุ่งออกมา แล้วจมหายเข้าไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
เพียงชั่วครู่ต่อมา จู่ๆ ภายนอกวิหารใหญ่ก็มีเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลือนลั่น ตามดวยแสงโลหิตสว่างวาบที่นอกประตู หมอกโลหิตสลัวๆ พลันพุ่งเข้ามาในวิหารจากภายนอก
หมอกโลหิตพลันกระจายออก ปีศาจร่างคนหัวมังกรตนหนึ่งปรากฏที่ใจกลางวิหารใหญ่ โค้งคำนับแสดงความเคารพเงาดำที่นั่งอยู่บนดอกไม้สีทองด้วยท่าทางเคารพนบน้อม พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ไม่ทราบว่านายท่านเรียกเซวี่ยตู๋มีเรื่องสำคัญอันใด?”
“เซวี่ยตู๋ เจ้าหยุดเรื่องรวบรวมอาหารโลหิตไว้ชั่วคราวก่อน แล้วไปที่ชั้นสองซะ” เสียงพูดเย็นชาของหญิงสาวดังมาจากข้างในเงาสีดำ ที่แท้ก็คือ “มู่ชิง” ที่เคยเจรจากับตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยในก้อนกลมผู้นั้น
“นายท่านโปรดกำชับ!” ปีศาจหน้ามังกรตนนี้ ศีรษะของมันเป็นสีแดงสด ขณะที่กำลังกลอกตาก็แผ่ไอแห่งความโหดเ**้ยมอย่างบอกไม่ถูกออกมา ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเงาดำนี้กลับดูนอบน้อมผิดปกติ
“ที่ชั้นสองมีเผ่าวิญญาณเหาะเหินอยู่สองสามคน เจ้าส่งมันไปฆ่าพวกเขาทิ้งซะ แล้วนำจิตวิญญาณบริสุทธิ์ส่งมอบให้ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยโดยตรง นี่คือรูปร่างหน้าตาและตำแหน่งที่พวกเขาปรากฏตัวครั้งสุดท้าย ระวังให้ดี เผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกนี้อาจจะมีความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง หากมีตรงไหนผิดปกติ ให้กลับมาบอกข้าในทันที รีบไปรีบกลับล่ะ!” หญิงสาวชูมือแล้วขว้างกระบอกไม้ไผ่สีดำออกไปกระบอกหนึ่ง พลางพูดอย่างราบเรียบ
“น้อมรับคำสั่ง!” ปีศาจหัวมังกรยื่นมือรับกระบอกไม้ไผ่ พลางพูดขานรับ ก่อนที่จะขยับร่างอย่างฉับพลัน กลายเป็นหมอกโลหิตพุ่งทะยานออกไป เพียงแค่พุ่งปราดเปรียวไม่กี่หนก็หายไปจากนอกประตูวิหารอย่างไร้ร่องรอย
“เอาล่ะ จากนี้รายงานความคืบหน้าการจับอาหารโลหิตในแต่ละชั้นให้ฟังหน่อย การเซ่นไหว้ครั้งต่อไปเหลือเวลาไม่เท่าไหร่แล้ว เฮยจั๋ว ถึงตาเจ้าแล้ว” หญิงสาวจ้องเขม็งไปที่ประตูวิหารครู่หนึ่ง จึงค่อยดึงสายตากลับมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อสรพิษเวหาสี่ปีกและแมงป่องเมฆาเรืองรองจากชั้นสี่ซึ่งเป็นฝูงอาหารโลหิตที่ใหญ่ที่สุดล้วนจับมาหมดแล้ว เหลือแค่หนูสามตาไม่กี่ฝูงที่หนีเข้าไปในเขาอีกาดำ จึงจับไม่ได้ชั่วคราวขอรับ…” เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนขึ้น แล้วเริ่มอธิบายเป็นอย่างๆ