ไป๋ปี้ไม่มีเจตนาจะขัดขืนคำสั่งของหานลี่อีกแม้แต่น้อย เหลยหลันและหญิงสาวเผ่าราตรีเขียวที่อยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงแล้วเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
หานลี่กลับมีสีหน้าราบเรียบ หลังจากที่กวักมือเรียกทั้งสามแล้วก็บินไปข้างหน้าโดยไม่ปริปากใดๆ
คนที่เหลืออีกสมคนก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณสามกลุ่มไล่ตามไป
“สหายฉิน ข้าจำได้ว่าเผ่าราตรีเขียวดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่คนเดียว สหายคนอื่นล่ะ?” ระหว่างทางเหลยหลันพลันเอ่ยถามฉินเสี่ยวด้วยความประหลาดใจ
“เผ่าของเราส่งบุตรศักดิ์สิทธิ์มาทั้งหมดสามคน แต่หลังจากเข้ามาที่ชั้นสองแล้ว ก็พบกับศัตรูสาขาอื่นๆ สองสามคน คนที่เหลือล้วนเพลี้ยงพล้ำไปแล้ว เดิมทีข้าก็อยากแอบอยู่ที่ทางเข้าชั้นสาม ดูว่าจะโชคดีได้ผลเพลิงยมโลกสักผลหรือไม่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะพบคนของเผ่าวายุเหลืองกลางทาง แล้วถูกไล่สังหารมาที่นี่” หญิงสาวที่มีเขาสีเขียวมรกตบนหัว ตอบกลับด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“อ๋อ คนของเผ่าวายุเหลืองจำนวนมากขนาดนี้ มาไล่ตามสหายเพียงคนเดียว?” เหลยหลันแววตาเปล่งประกายเผยสีหน้ามีเลศนัยออกมา
“น่าจะเป็นเพราะว่าข้าพกสมบัติของเผ่าสองสามชิ้นมาด้วยกระมัง” หลังจากที่ฉินเสี่ยวลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมรับ เหลยหลันก็เลิกคิ้วเรียว แต่ไม่ได้เอ่ยซักถามต่อ
“สิ่งที่ทำให้คนของเผ่าวายุเหลืองไล่ตามมาอย่างไม่ลดละเช่นนี้ หรือว่าสหายฉินมีหนึ่งในสามสมบัติวิเศษของเผ่า” ไป๋ปี้กลับเอ่ยปากแทรกขึ้น
“ในตัวน้องหญิงมีกาน้ำชาผสมปราณอยู่จริงๆ” ฉินเสี่ยวหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา
“กาน้ำชาผสมปราณ ที่ใช้พลังผสมปราณควบคุมสมบัติของศัตรูได้น่ะหรือ” ไป๋ปี้และเหลยหลันพลันหน้าเปลี่ยนสี
“ใช่แล้วสมบัติชิ้นนี้แหล่ะ หากไม่ใช่เพราะยืมของสิ่งนี้มา แม่ทัพวิญญาณระดับกลางที่ต่ำต้อยคนหนึ่งอย่างช้าจะหนีการไล่ล่าของคนเผ่าวายุเหลืองมาหลายวันได้อย่างไร น่าเสียดายที่ทุกครั้งที่ใช้กาน้ำชานี้จะต้องเสียผลึกศิลาผสมปราณที่หายากหลายก้อน แม้ว่าข้าจะนำผลึกศิลาในเผ่ามาหลายก้อน แต่ก็ใช้ไปจนหมดแล้ว” หญิงสาวถอนหายใจขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินหญิงสาวเอ่ยเช่นนี้ เหลยหลันและไป๋ปี้ก็อดจะมองไปทางหานลี่ที่อยู่ด้านหน้าแวบหนึ่งไม่ได้
แต่หานลี่ยังคงนำทางอยู่โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้เลยอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าหานลี่ไม่มีท่าทางดีใจเลยสักนิด หลังจากที่เหลยหลันและพวกทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก กลับพูดคุยถึงเรื่องชั้นสามของหุบเหวกลับฉินเสี่ยวอย่างมีมารยาทแทน
ฉินเสี่ยวเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายลง
แม้จะกล่าวว่าเผ่าราตรีเขียวและเผ่าวิหคสวรรค์มีสนธิสัญญาต่อกัน แต่นั่นก็เป็นแค่สัญญาปากเปล่าเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันอะไรที่จะรับประกับได้ หากอีกฝ่ายทั้งสามคนคิดจะชิงสมบัติ จากความสามารถของหานลี่ที่เพิ่งสำแดงออกมา นางก็ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
ทว่ากลับกันแล้ว จากความมุทะลุและดุร้ายของหานลี่เมื่อครู่ หากจะขอเป็นที่พึ่งและเป็นทัพเสริม ติดตามเขาไปก็เป็นเรื่องที่ปลอดภัยมาก
โอบกอดความคิดนี้ไว้ ฉินเสี่ยวไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะจากไป พลางพูดคุยกับเหลยหลันด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม และพยายามผูกมิตรกับสตรีผู้นี้พร้อมกับสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายทันที ไม่นานทั้งสองก็เรียกกันว่าพี่หญิงและน้องหญิง
ไป๋ปี้เห็นเช่นนั้น พลันขมวดคิ้วน้อยๆ
สองวันต่อมาคนกลุ่มนี้ที่สังหารปีศาจระดับต่ำไปสองสามกลุ่ม ในที่สุดก็บินออกจากเทือกเขา เบื้องหน้ากลับมีแดนน้ำแข็งประหลาดๆ ปรากฎขึ้น
ลำแสงหลีกหนีของคนกลุ่มอดที่จะลดระดับลงไม่ได้ ทยอยกันพิจารณาทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า
ธารน้ำแข็งสีดำแวววาวกว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา วายุเย็นเยียบเป็นระลอกๆ ปกคลุมเอาไว้ เกล็ดหิมะสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมา เสียงกรีดร้องแหลมๆ ดังขึ้นเป็นระยะๆ ราวกับว่าคือเสียงภูตผีกรีดร้องจนส่วนลึกของธารน้ำแข็งที่สะท้อนก้องไปมาอย่างไรอย่างนั้น
มองออกไปไกลๆ ส่วนลึกของธารน้ำแข็งยิ่งเป็นสีดำสนิท ดูเหมือนว่าจะไม่มีลำแสงเลยสักนิด ราวกับประตูไปสู่ยมโลกก็ไม่ปาน
“ที่นี่คือแดนน้ำแข็งทมิฬที่มีชื่อเสียงของชั้นสองสินะ ได้ยินว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจน้ำแข็งทมิฬระดับต่ำและกลางจำนวนมาก แม้กระทั่งเคยมีคนบังเอิญพบกับราชันย์ปีศาจน้ำแข็งทมิฬที่นี่” หานลี่เอ่ยปากราวกับรำพึงรำพันกับตัวเอง
“พี่หานพูดถูก ที่นี่คือแดนน้ำแข็งทมิฬ ทว่าปีศาจส่วนใหญ่ในแดนน้ำแข็งทมิฬจะเป็นปีศาจระดับต่ำและกลาง ยังไม่เบิกเนตร ส่วนราชันย์ปีศาจน้ำแข็งทมิฬนั้น มันเป็นแค่ข่าวลือ เหมือนว่าจะมีแค่ไม่กี่คนที่ได้เห็นกับตา” ฉินเสี่ยวเอ่ยต่ออย่างชาญฉลาด
“ทว่าที่นี่ดูแล้วอันตรายมาก แต่ความจริงแล้วคนโง่เขลาก็ยังรู้ว่าจากความสามารถของพวกเรานั้น ก็สามารถผ่านที่นี่ไปได้อย่างไม่มีปัญหา” ไป็ปี้กลับฉีกยิ้มออกมาฃ
“ตามหลักการแล้วที่นี่ก็ดูไม่มีอันตรายอะไรจริงๆ แต่การระเบิดของปีศาจในหุบเหวครั้งนี้ใกล้เข้ามาแล้ว ควรระวังสักหน่อยจะดีกว่า เอาล่ะ พวกเราเข้าไปกันเถิด!” หานลี่พยักหน้าออกคำสั่งสองสามประโยค แล้วถึงสยายปีกที่แผ่นหลังออก เพิ่มความเร็วขึ้นสองสามเท่า หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็ทะลวงผ่านหิมะน้ำแข็งสีดำที่อยู่ใกล้ๆ ไป
เหลยหลันและพวกทั้งสามคนมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วทยอยกันจมหายเข้าไปข้างใน
มองออกไปไกลๆ ในตอนแรกนั้น ไกลออกไปต่างมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ และมีลำแสงหลีกหนีลางๆ สองสามจุดปรากฎอยู่
แต่เมื่อวายุทมิฬที่รุนแรงพัดหิมะสีดำจำนวนวมากเข้ามาแล้ว คนกลุ่มนั้นก็หายวับไปท่ามกลางความมืดมิด
……
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ปีศาจที่เหมือนกับแรดสูงสิบจั้งเศษตัวหนึ่งก็ล้มตึงลงกับพื้น
ร่างกายอันใหญ่โตของมันทำให้พื้นดินรอบๆ สั่นคลอน
ลำแสงสีแดงเปล่งแสงเจิดจ้า เส้นไหมสีแดงจำนวนยี่สิบสามสิบเส้นพุ่งออกมาจากร่างสีดำของแรด หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในเงาร่างที่มีลำแสงสีแดงปกคลุมอยู่
“ศิษย์พี่จู้ เส้นไหมผลึกเพลิงของเจ้าบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ผิวของแรดทมิฬระดับกล่างแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าปีศาจระดับสูง ศิษย์พี่ยังสามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย ข้าว่าแม้ว่าจะเป็นเฟ่ยเยี่ยของเผ่าหนานหล่ง ก็ไม่วิธีเช่นนี้” เงาร่างคนติดปีกที่ถูกลำแสงสีแดงห่อหุ้มอยู่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยขึ้น ผู้ที่อยู่กับเขาคนอื่นๆ ก็ยังเอ่ยชื่นชมเช่นกัน
คนที่ลงมือคือจู้อินจื่อของเผ่าแดงสด! คนที่เหลือก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ของเผ่าเดียวกัน
จุดที่พวกเขาอยู่กลับเป็นที่ราบลุ่มรูปวงแหวนขนาดสองสามพันลี้ รอบด้านล้วนเป็นป่ารกทึบสีดำเขียว ตรงกลางเป็นที่โล่งกว้างร้อยกิโล บนพื้นมีไข่สีเทาๆ ขนาดเท่าศีรษะกองอยู่เต็มไปหมด
และตรงใจกลางของกองหินเหล่านั้น กลับมีถ้ำสีดำขนาดร้อยจั้งเศษอยู่แห่งหนึ่ง ทอดตัวลงไปใต้ดิน
คนของเผ่าแดงสดและพวกรักษาการณ์อยู่ที่ทางเข้าของถ้ำ เห็นได้ชัดว่าปีศาจแรดทมิฬตัวนั้นสิ่วอยู่ในป่าบริเวณใกล้ๆ แต่กลับถูกจู้อินจื่อไล่ตามไปสังหาร
“หึ พวกเจ้าฟังให้ดี พวกเรารักษาการณ์อยู่ที่ทางเข้ามาสามสี่วันแล้ว นอกจากสังหารเผ่าเล็กๆ ทั้งหมดแล้ว คนของเผ่าวิหคสวรรค์ก็ไม่ได้มาที่นี่ ดูแล้วพวกเขาคงไปตามเส้นทางที่เหลืออีกสองสาย หรือไม่ก็วนเวียนอยู่ในชั้นสอง ส่วนเผ่าอื่นๆ เดาว่าคนมีคนเข้าไปในชั้นสามแล้ว คนของเผ่าวิหคสวรรค์จะต้องสังหารทิ้งซะ แต่ผลเปลวยมโลกเองก็ไม่อาจปล่อยวางได้ เช่นนี้ดีกว่า สือเทียน หงซาพวกเจ้าสองคนตามข้าไปที่ชั้นสาม ส่วนคนที่เหลือก็เฝ้าอยู่ที่นี่ต่อไป ผลเพลิงยมโลกของพวกเจ้า ข้าจะช่วยพวกเจ้าตามหาเอง” จู้อินจื่อกลับขบคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ศิษย์พี่จู้ เจ้าผู้แซ่หานของเผ่าวิหคสวรรค์ดูเหมือนว่าจะมีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ หากเหลือศิษย์พี่แค่ไม่กี่คนล่ะก็ จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่” สือเทียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนกลอกตาไปมาแล้วเผยสีหน้ากังวลใจออกมาขณะเอ่ย
“หึๆ จุดนี้วางใจได้ ศิษย์น้องโหยวพลังยุทธ์ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเท่าใดนัก และข้าจะทิ้งสมบัติระฆังตกวิญญาณของเผ่าเอาไว้ หากกระตุ้นระฆังนี้ทั้งไม่มีเสียงและไม่มีรูปร่าง ไม่อาจป้องกันได้ ต่อให้เป็นระดับผู้บัญชาการวิญญาณ หากไม่ระวังตัวก็มีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น หากศิษย์น้องโหยวหมอบซุ่มอยู่ล่ะก็ ต้องไม่เป็นไรแน่” จู้อินจื่อดูเหมือนว่าจะขบคิดเรื่องนี้มานานแล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่ต้องคิด
จากนั้นพลันอ้าปากออก พ่นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา มันห่อหุ้มระฆังเล็กๆ ความสูงสองสามชุ่นเอาไว้ ดูเก่าแก่และงดงาม
มือหนึ่งชี้ออกไป ระฆังน้อยเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป แต่ครู่ต่อมาระฆังก็เปล่งเสียงร้องต่ำๆ ปรากฎขึ้นเหนือศีรษะของชายร่างใหญ่แห่งเผ่าแดงสด แล้วร่อนลงอย่างช้าๆ
“ขอบพระคุณศิษย์พี่ที่ประทานสมบัติให้ ผู้แซ่โหยวจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่!” ชายร่างใหญ่แซ่โหยวชูมือขึ้นไปรับระฆังใบน้อบเอาไว้ พลางเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมใบหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงแหลมปี๊ดราวกับทองคำเสียดสีกันอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าชายร่างใหญ่แซ๋โหยวจะพูดไม่มากนัก แต่จู้อินจื่อกลับดูเหมือนว่าจะเชื่อมั่นในตัวเขาเป็นอย่างมาก หลังจากพยักหน้าก็กวักมือพาสือเทียนและหงซากลายเป็นลำแสงสีแดงสามสาย บินเข้าไปในถ้ำ
“ฟังให้ดี! ตั้งแต่นี้ไปทุกคนต้องอำพรางกาย อย่าเผยร่องรอยในบริเวรนี้ ข้าจะวางเขตอาคมอำพรางปราณไว้ในทางเข้า หากเป้าหมายมาถึงที่นี่จริงๆ ข้าจะใช้ระฆังตกวิญญาณลอบโจมตี พวกเจ้าค่อยปรากฎตัวก็ไม่สาย” ชายร่างใหญ่กลับออกคำสั่งทันทีอย่างไม่เกรงใจหลังจากที่จู้อินจื่อจากไป
ชายร่างใหญ่แซ่โหยวดูเหมือนว่าจะอำนาจไม่น้อยในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสด คนที่เหลือต่างก็ไม่ได้มีข้อคิดเห็นอะไร ทันใดนั้นก็พากันร่ายอาคม อัญเชิญสมบัติต่างๆ ออกมา
ชั่วพริบตาคนที่เหลือก็ทยอยกันอำพรางกายหายไปจากกลางอากาศ
ส่วนชายร่างใหญ่แซ่โหยวพลันเคลื่อนไหว บินเข้าไปในความมืดมิดของถ้ำ
ครานี้รอบๆ ถ้ำยักษ์พลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด
……
ชั้นสองในป่าลึกอีกแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ยักษ์สีดำเขียว มองออกไปร้อยลี้ เสายักษ์สีดำเหลืองต้นหนึ่งกำลังตระหง่านอยู่บนเนินเขาสูงเสียดฟ้า
มองไปใกล้กันนั้นจะพบสิ่งที่เรียกว่า “เสายักษ์” นั้นคิดพืชขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางสองสามลี้ ราวกับใช้เถาวัลย์หนาๆ จำนวนนับไม่ถ้วนมาขดรัดเอาไว้ จากนั้นก็พุ่งสูงขึ้นไปกลางอากาศ
ในรัศมียี่สิบสามสิบลี้ที่พืชตั้งตระหง่านอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีต้นไม้ใบหญ้าสักต้น ราวกับทะเลทรายอย่างไรอย่างนั้น
แต่ครานี้ตรงส่วนรากของพืชกลับมีเสียงระเบิดตูมๆ ดังขึ้น ในเวลาเดียวกันพลันมีลำแสงหลากสีสันเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
คาดไม่ถึงว่าจะมีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินถูกผีเสื้อสีเหลืองทองนับพันหมื่นตัวกักเอาไว้กลางอากาศต่ำๆ
คนสองกลุ่มนี้กลุ่มหนึ่งมีประมาณสิบกว่าคน มีทั้งบุรุษและสตรี แต่ทุกคนล้วนมีรอยสักสีดำบนใบหน้า อีกกลุ่มหนึ่งกลับมีแค่สี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นบุรุษร่างกายสูงใหญ่เป็นพิเศษ ที่แผ่นหลังสะพายดาบอันใหญ่ยักษ์อยู่
ผีเสื้อที่บินล้อมพวกเขาล้วนเปล่งแสงสีทองเรืองๆ ขนาดเท่ากำปั้น พวกมันเองก็ไม่ยอมเข้าใกล้คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านั้น แค่กระพือปีกทั้งสองอยู่ไกลๆ ผงผีเสื้อหลากสีสันร่วงลงมาเต็มท้องฟ้า ทำให้คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้ถูกห้อมล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา
ผงผีเสื้อเหลานี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อคนสองกลุ่มถูกล้อมเอาไว้ข้างในต่างก็ไม่กล้าให้ผงเหล่านั้นอาบย้อมร่างกายแม้เพียงนิด ทยอยกันสำแดงเคล็ดวิชาลับต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง สมบัติสองสามชิ้นกลายเป็นลำแสงต่างๆ ปกป้องพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา