หานลี่เดินอยู่บนทางเดินหินสีเขียวเล็กๆ สายหนึ่ง ชื่นชมทัศนียภาพรอบๆ ท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย
เมื่อทอดสายตาออกไป รอบด้านกลับไร้เงาผู้คน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามีคนกำลังบินไปบินมาอยู่นิดหน่อย เดิมทีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินนั้นก็คุ้นเคยกับความสูงอยู่แล้ว ถนนสายเล็กๆ บนพื้นดินนั้นความจริงแล้วก็เป็นแค่การตกแต่งซะส่วนใหญ่
ทว่าเมื่อหานลี่นึกถึงพลังความแข็งแกร่งของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก็ถอนหายใจออกมาเงียบๆ เฮือกหนึ่ง
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แต่อาวุโสที่เป็นผู้นำของทั้งเจ็ดสิบสองสาขาของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ประกอบกับสมาชิกอาวุโสที่เข้าร่วมการประชุมอีกยี่สิบสามสิบคน ความแข็งแกร่งของขุมกำลังนี้ก็มากกว่าเมืองเทวะสวรรค์แล้ว ถึงอย่างไรเสียปกติแล้วเมืองเทวะสวรรค์ก็มีอาวุโสระดับหลอมร่างสิบกว่าคนนั่งบัญชาการอยู่เท่านั้น แน่นอนว่าหากตกอยู่ในคราสงครามก็อาจจะรวบรวมเผ่ามนุษย์และปีศาจจนเกือบคนร้อยคน แต่นั่นก็เป็นพลังของทั้งสองเผ่า หากอาศัยแค่เผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจเทียบเคียงกับเผ่าวิญญาณเหาะเหินได้
ส่วนจำนวนของระดับเทพแปลงหรือว่าระดับหลอมสูญนั้น เดาว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่เผ่ามนุษย์และปีศาจจะเทียบได้เช่นกัน
ดูแล้วที่เผ่ามนุษย์ยืนหยัดอยู่ในแดนวิญญาณมาได้นานขนาดนี้ แล้วทำได้เพียงปกป้องตนเองเท่านั้น นับว่าอ่อนแอมากในแดนวิญญาณ คงจะเป็นเรื่องจริง
เทียบกันแล้ว แม้นว่ากำลังของเผ่าวิญญาณเหาะเหินจะไม่อาจเทียบกับเผ่าใหญ่ๆ ในตำนานของแดนวิญญาณได้ แต่ก็น่าจะพอจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเผ่าระดับกลางได้
หานลี่ขบคิดอย่างเงียบๆ หักเลี้ยวอีกครั้งหนึ่ง เบื้องหน้ามีศาลาเล็กๆ ปรากฎขึ้น รอบด้านมีทางเดินเล็กๆ สองสามสายทอดตัวไปทางอื่น
บนเก้าอี้ไม้สองตัวในศาลา มีหญิงสาวชุดขาวสองคนกำลังสนทนาอะไรกันสักอย่างอยู่
ครั้นเมื่อพวกนางเห็นว่ามีคนนอกมาปรากฎตัว ก็อดที่จะหยุดหัวเราะ แล้วมองมาเป็นตาเดียวไม่ได้
สตรีหนึ่งในนั้นก็คือผู้ที่นำทางให้หานลี่และพวกก่อนหน้า หญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอนที่เรียกตนเองว่า ‘เสี่ยวจู๋’
“ที่แท้ก็แม่หญิงเสี่ยวจู๋นี่เอง ไม่ทราบว่าแม่นางเสี่ยวจู๋เห็นคนในเผ่าของข้าที่มาด้วยกันผ่านมาทางนี้หรือไม่” ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามสตรีผู้นี้อย่างมีมารยาท
“คุณชายหานหมายถึงพี่เหลยหลันสินะ ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าเห็นนางผ่านมาทางนี้ ดูเหมือนว่าจะตรงไปยังสนามแข่งขัน” เสี่ยวจุ๋หยัดกายลุกขึ้น แล้วหัวเราะคิกคักขณะตอบกลับ
“สนามแข่งขัน? ไปคนเดียวหรือ!” จิตใจของหานลี่หนักอึ้งขณะเอ่ยถามอีกครั้ง
“ไม่ใช่ พี่หญิงหงซาของเผ่าแดงสดพาไป” เสี่ยวจู๋กระพริบดวงตาคู่งามปริบๆ ฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ขอบคุณที่บอก!” มองไม่เห็นสีหน้าใดๆ บนใบหน้าของหานลี่ หลังจากที่ยิ้มจางๆ แล้ว ก็เปลี่ยนทิศทางเดินตามทางเดินเล็กๆ ที่ทอดตัวไปสู่สนามแข่งขัน
หญิงสาวสวมชุดสีขาวทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็มองเห็นความประหลาดใจในแววตาของอีกฝ่าย
บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้ ได้ยินว่าสหายถูกศัตรูพาไปยังสถานที่แห่งนั้น ยังระงับโทสะได้ขนาดนี้ ช่างไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
แน่นอนว่าหญิงสาวทั้งสองคนไม่รู้ว่า หานลี่ที่ดูเหมือนสงบนิ่งในครานี้ ในใจกลับรู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่หลายส่วน
หญิงสาวเผ่าวิหคสวรรค์ที่มีนามว่าเหลยหลันผู้นี้ช่างไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรเอาซะเลย
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าคนของเผ่าแดงสดใช้วิธีใดล่อให้นางไปที่สนามแข่งขัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเจตนาดี จะไม่ให้มองออกได้อย่างไร หากอีกฝ่ายจงใจทำร้ายนางในสนามแข่งขัน ความหวังในการผ่านการทดสอบของเผ่าวิหคสวรรค์จะไม่ลางเลือนหรือ
เขาจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้
ถึงอย่างไรเสียหลังจากที่เขาสลักชื่อลงไปในม้วนคำสาบานของวิหคสวรรค์แล้ว และยังทำสัญญากับจินเย่ว์ไปอีก หากไม่อาจะทำให้เผ่าวิหคสวรรค์มีประมุขเพิ่มขึ้นได้ เขาจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่
เชื่อว่าอาวุโสสองสามท่านของเผ่าวิหคสวรรค์คงไม่สนใจว่าเผ่าของตนจะถูกกลืนกิน จัดการเขาผู้ซึ่งเป็นคนนอกเผ่าก่อนแน่
เมื่อขบคิดถึงเงื่อนไขต่างๆ ของการทดสอบหุบเหวลึก หานลี่ก็ลอบถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ครั้งนี้เขาได้ประโยชน์จากในเผ่าวิหคสวรรค์จริงๆ แต่ก็ถูกดึงเข้าไปในคความยุ่งยากที่ไม่น้อยเช่นกัน
แม้ว่าวันข้างหน้าจะช่วยให้เผ่าวิหคสวรรค์หลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้ แต่เขาจะรอดจากสถานการณ์นี้อย่างไร ก็ยังคงต้องขบคิดแผนให้ดี
เมื่อขบคิดเช่นนี้ฝีเท้าของหานลี่ก็ยังคงไม่รีบร้อน แต่คนกลับเคลื่อนไหวราวกับวารีไหล เดินจากฟากหนึ่งของถนนสายเล็กๆ ไปอีกฟากหนึ่ง หลังจากที่พลิ้วไหวสองสามครั้ง ร่างกายก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่เรียกว่าสนามแข่งขันนั้นหาเจอได้ง่ายมาก ห่างจากที่พักของพวกหานลี่ไปไม่ไกลดังที่คิด
หลังจากที่สำแดงความสามารถพันลี้แค่คืบ แค่ชั่วเวลาหนึ่งมื้ออาหารรหานลี่ก็มองเห็นลำแสงยักษ์ที่สูงขึ้นไปถึงพันจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงระเบิดอื้ออึงดังแว่วมา
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ความสามารถใต้ฝ่าเท้าหยุดลง เดินไปด้วยความเร็วของฝีเท้าธรรมดาๆ
คนของเผ่าแดงสดที่มีนามว่าสือเทียนผู้นั้น ในเมื่อเป็นฝ่ายยอมรับว่าเหลยหลันไปไหน ก็น่าจะอยากดึงความสนใจของเขา
ขอแค่เขาไม่ปรากฎตัว คิดดูแล้วคนของเผ่าแดงสดก็น่าจะไม่ทำอะไรให้ยุ่งยากในทันที
และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้อีกฝ่ายทนไม่ไหวลงมือไปแล้ว ตอนนี้รีบไปก็สายไปแล้ว เขาจึงไม่ได้รีบร้อนอะไร
เมื่อขบคิดเช่นนั้น แววตาของหานลี่ก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองไปยังสถานการณ์ในม่านลำแสงอย่างละเอียด
ที่นั่นดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังสำแดงความสามารถอยู่กลางอากาศ ท่าทางกำลังต่อสู้กัน
ยังดี! คนที่ต่อสู้กันยังไม่ได้สำแดงความสามารถกลายพันธุ์อะไร คนหนึ่งควบคุมเปลวเพลิงร้อนแรง คนหนึ่งพ่นไอเย็นสีฟ้าออกมา หนึ่งในนั้นไม่ใช่เหลยหลัน นี่จึงทำให้หานลี่คลายความกังวลไปเปาะหนึ่ง
แต่หญิงสาวที่ควบคุมเปลวเพลิงผู้นั้น กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์นามว่าหงซาของเผ่าแดงสดผู้นั้น
ขณะที่หานลี่กำลังรู้สึกประหลาดใจนั้น ฉับพลันนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีคนคนหนึ่งในฝูงชนมองมาทางตนเองแววหนึ่ง รู้สึกหนาวสะท้าน คล้ายว่าจะมีเจตนาไม่ดี
เขาเป็นผู้ที่มีจิตสัมผัสว่องไวขนาดไหน กวาดสายตาไปในทันที หมายจะตามหาคนผู้นั้นให้พบ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาใจหายวาบก็คือ สายตาคู่นั้นเปล่งประกายแล้วหายวับไปในทันที เมื่อเขากวาดสายตาไปที่ฝูงชน กลับไม่พบอะไรเลย
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่นิ่งเงียบเล็กน้อย ก็ล้มเลิกการตามหา และเร่งฝีเท้า หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็เข้าใกล้สนามแข่งขัน
ไม่รอให้เขาเดินมาถึงที่ หลังจากที่เปลวเพลิงร้อนแรงและไอเย็นเยียบของทั้งสองคนปะทะกันกลางอากาศ ชั่วพริบตาก็ตัดสินผู้แพ้ชนะได้ทันที
ปีกขนนกสีฟ้าคู่หนึ่งที่แผ่นหลังของบุรุษถูกเปลวเพลิงที่ลุกลามขยายวงกว้างบีบให้ล่าถอยไปในชั่วพริบตา จึงจำใจต้องขอยอมแพ้ต่อสตรีนามว่าหงซา แล้วร่อนลงจากกลางอากาศ
“น้องหญิงเหลย ข้าจัดการคู่ต่อสู้แล้ว หากอยากได้ศิลาดาวอัสนี ขอแค่ชนะข้าได้ พี่หญิงก็จะมอบให้ในทันที ไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่” เดิมทีสตรีผู้นี้ก็มีหน้าตาไม่เลว เมื่อฉีกยิ้มอ่อนโยน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ
ทำให้บุรุษของเผ่าวิญญาณเหาะเหินจำนวนไม่น้อยที่เห็นรู้สึกใจเต้นตุ๋มๆ ต่อมๆ
หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ร้องอุทานว่าแย่แล้วออกมา เมื่อคิดจะร้องห้ามจากที่ไกลๆ นั้น กลับสายไปเสียแล้ว
ลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นด้านในมีปีกขนนกสีเงินคู่นหึ่ง
ไม่ใช่เหลยหลันผู้นั้นแล้วจะเป็นใครได้
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมลง
สตรีของเผ่าแดงสดผู้นี้จัดการอีกฝ่ายในพริบตาได้ในขณะที่เขามาถึงอย่างพอดิบพอดี และท้าประลองเหลยหลันทันที
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผู้ที่แอบสังเกตการณ์เขาเมื่อครู่ จะต้องร้ายงานว่าตนเองมาถึงแล้วกับสตรีผู้นี้แน่ ถึงได้เริ่มแผนมุ่งเป้ามาที่ตนเอง
ทว่าหลังจากที่เขาพ่นลมหายใจออกมาสองสามครั้ง ชั่วพริบตาสีหน้าก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ หลังจากเร่งฝีเท้าติดๆ กันสองสามก้าวก็มาอยู่ด้านข้างสนามแข่งขัน และหาที่ที่อยู่ใกล้ๆ ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
“เจ้าใช้ศิลาดาวอัสนีล่อข้ามาที่นี่ น่าจะอยากให้ข้าลงมือสินะ ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนอะไร ในเมื่อบอกว่าขอแค่ข้าชนะเจ้าก็จะได้ศิลาดาวอัสนี ข้าก็จะไม่ปรานี” เหลยหลันเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ปีกสีเงินที่แผ่นหลังสยายอก ชั่วขณะนั้นประจุไฟฟ้าสีเงินเป็นสายๆ ก็แล่นเปรี้ยงปร้าง แผ่ไปทั่วเรือนร่างของสตรีผู้นี้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางเป็นเหมือนอัสนีอย่างไรอย่างนั้น
“จุ๊ๆ ขอแค่น้องหญิงมีฝีมือ ข้าจะต้องมอบศิลาดาวอัสนีให้แน่” หงซากลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด แค่เหลือบตามามองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ออกมาา
แน่นอนว่าคนของสาขาอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างต่างรู้เรื่องความแค้นของเผ่าแดงสดและเผ่าวิหคสวรรค์ ครานี้จึงเกิดเสียงซุบซิบนินทาขึ้น ล้วนโอบกอดความคิดว่าจะได้ดูของดีเอาไว้ แล้วเตรียมจะชื่นชมการต่อสู้ครั้งนี้
เมื่อเห็นหานลี่ยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีจะลงมือห้ามปราม
หงซาก็เผยรอยยิ้มออกมา ในใจพลันรู้สึกร้อนใจ
หากหานลี่ไม่ลงมือห้ามปรามล่ะก็ แผนที่พวกนางวางกันเอาไว้ก็ไม่อาจนำมาใช้ได้ ดูแล้วมีแผนต้องใช้อีกแผนแล้ว
สตรีผู้นี้ขบคิดอยู่ในใจ ดังันั้นจึงไม่ได้ลังเลอะไรอีก สองมือพลันร่ายอาคม ร่างกายเปล่งแสงสีแดงออกมา ลูกบอลเพลิงสีแดงสดขนาดเท่าปากชามเป็นลูกๆ ปรากฎขึ้นรอบๆ แทบจะสะท้อนจนทำให้ท้องฟ้ากว่าครึ่งเป็นสีแดง
อุณหภูมิของสนามแข่งขันทั้งสนามเพิ่มสูงขึ้น เปลี่ยนเป็นร้อนฉ่าและยากที่จะรับมือไหว
ผู้ชมที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยหน่อย แม้กระทั่งจำใจต้องถอยร่นออกไปสิบกว่าก้าว ถึงจะทนกับอุณหภูมิที่ร้อนฉ่าได้
หานลี่เห็นฉากนี้พลันเลิกคิ้ว แต่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง
เมื่อเหลยหลันเห็นเช่นนั้น กลับกระพือปีกทั้งสองโดยไม่ได้ปริปาก แล้วพลันร่ายคาถาในใจ
หลังจากเสียงฟ้าร้อง “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าที่พันอยู่รอบตัวนางก็ขยายขึ้นหลายเท่า มองไกลๆ ดูเหมือนอสรพิษยักษ์สีเงินสองสามตัวรัดร่างของนางอยู่ แต่ทันใดนั้นก็กลายเป็นเส้นไหมสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปฝั่งตรงข้าม
เส้นไหมสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ เส้นไหมอัสนีแทบจะทุกสายทะลวงผ่านลูกบอลเพลิงลูกหนึ่ง
ชั่วพริบตาเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นไม่หยุด ลูกบอลเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนทยอยกันระเบิดออก กลายเป็นประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วน โปรยปรายลงมาทั่วทั้งสารทิศ
ความสามารถในการควบคุมอัสนีให้กลายเป็นเส้นไหมนี้ ไม่ใช่แค่หานลี่ที่ตกตะลึง คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น
หงซาที่อยู่ตรงข้ามเองก็มีสีหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่าน แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา สะบัดแขนเสื้อ หมอกสีแดงพุ่งออกมา หมุนวนเริงระบำอยู่รอบๆ
ทุกแห่งที่หมอกสีแดงพุ่งผ่านไป ประกายไฟเหล่านั้นจะทยอยกันกลายเป็นหมอกสีแดง ทะลักไปรวมตัวกันข้างกายของหงซา
ชั่วพริบตาเมฆสีเพลิงผืนใหญ่ก็ปรากฎขึ้น กลืนกินร่างของหงซาเอาไว้ข้างใน
เมฆสีเพลิงหมุนวนอย่างไม่แน่นอน คลื่นเพลิงทะลักออกมาจากใจกลางเมฆเป็นระลอกๆ ทันใดนั้นเมฆเพลิงก็รวมตัวกันอยู่ที่ใจกลาง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลูกบอลเพลิงขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้งเศษท่ามกลางลำแสงสีแดง
ลูกบอลเพลิงนี้หมุนติ้วๆ เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ อันน่าหวาดกลัวออกมา ตรงไปยังเหลยหลัน
เหลยหลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ชูแขนขึ้นโดยไม่ได้เอ่ยอะไร ลำแสงสีเงินระเบิดออกมา เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น
แขนทั้งท่อนถูกประจุไฟฟ้าสีเงินบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มเอาไว้ ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับประจุไฟฟ้าสีเงิน
เสียงตูมดังสนั่นขึ้น ประจุไฟฟ้ายักษ์ขนาดเท่าถังน้ำสายหนึ่งพ่นออกมาจากแขน ตรงไปยังลูกบอลเพลิงยักษ์ที่อยู่ตรงข้าม