ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลังจากที่ชายหนุ่มหน้าหวานรู้สึกปวดหัวจนจะระเบิดแล้ว ก็ได้สติตื่นขึ้นมา
หลังจากที่เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ก็กระโดดขึ้นมาด้วยความระวังภัย สองฝั่งมีชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำและหานลี่ที่ดูเหมือนเพิ่งได้สติเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น! ข้านึกออกแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเจ้าโจรอวี๋จะไม่ให้สมบัติกับพวกเรา กลับใช้ไข่มุกดูดอัสนีลอบทำร้ายพวกเรา” ทันใดนั้นชายหนุ่มที่นึกถึงเรื่องก่อนที่จะหมดสติขึ้นได้ ก็อดที่จะตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวขึ้นมาไม่ได้
ส่วนชายร่างใหญ่นั้นหลังจากที่สั่นศีรษะแล้วยังมีความมึนงงอยู่เล็กน้อยนั้นพลันนั่งสมาธิ ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์ภายในทันที
ชั่วครู่เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ยังดีที่ถูกทำร้ายปราณแท้ไปแค่เล็กน้อย ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนัก”
หานลี่กลับก้มหน้าลงต่ำไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่แววตากลับเปล่งประกายไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะกำลังขบคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้อยู่
“ทั้งสองรู้หรือไม่ว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้น?” ชายหนุ่มหน้าหวานกวาดสายตาไปที่หานลี่และชายร่างใหญ่แล้วก็เอ่ยถามขึ้น
“ไม่แน่ใจ ข้าถูกอัสนีห้าสีเข้ามาประชิดตัว แล้วจิตวิญญาณก็สั่นคลอนสลบไปทันที” ชายร่างใหญ่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“พี่หาน จำได้ว่าตอนนั้นดูเหมือนว่าเจ้าจะพบว่าเจ้าโจรอวี๋นั้นเล่นแง่ และไม่ได้รับไข่มุกดูดอัสนีเม็ดนั้น” ฉับพลันนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยถามหานลี่
“ข้าน้อยเป็นแค่แม่ทัพวิญญาณคนหนึ่งจะรอดพ้นได้อย่างไร! แม้ว่าข้าจะหลบอัสนีเบญจสวรรค์ได้ แต่จากนั้นกลับถูกอสูรอัสนีตัวนั้นใช้พลังอัสนีลอบทำร้าย และเป็นลมไปเหมือนกับท่านทั้งสอง” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
“ถูกอสูรอัสนีลอบทำร้าย? ก็ใช่อสูรตัวนั้นถูกเจ้าโจรอวี๋ใช้แกนผลึกฝังลงไปในร่าง จึงถูกเขาควบคุมกายเนื้อของอสูรอัสนีได้ชั่วคราว” เมื่อได้ยินคำนี้ชายหนุ่มหน้าหวานกลับเชื่อไปสองสามส่วน
“แปลกจริง ในเมื่อเจ้าโจรนั้นกลับคำ เหตุใดพวกเราถึงปลอดภัย” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำกลับเริ่มขบคิดถึงเรื่องประหลาดนี้ขึ้นมา
“นี่มันแปลกตรงไหน! กว่าครึ่งเจ้าโจรนั้นคงเห็นว่าทำการใหญ่สำเร็จแล้ว จึงเสียดายไม่อยากมอบของให้พวกเรา ตอนนั้นข้ารู้สึกแปลกๆ แต่กำราบอสูรวิญญาณตัวหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าต้องใช้ของที่ล้ำค่าขนาดนี้มาแลกเปลี่ยน ดูแล้วเขาคงคิดจะโกงตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งที่ร้านหมื่นอัสนีของคนผู้นี้นับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ” ชายหนุ่มหน้าหวานกลับก่นด่าพร้อมกับหน้าที่เปลี่ยนสี
“หากแค่เสียดายของล่ะก็ ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกเราจริงๆ ทว่าช่วงเวลาที่พวกเราหลับไป คนผู้นี้คงหนีไปไกลแล้วกระมัง” หานลี่พยักหน้าขณะเอ่ย
เมื่อได้ฟังคำพูดของหานลี่ ชายร่างใหญ่ก็มีสีหน้าขบคิด เห็นได้ชัดว่ายอมรับความคิดนี้ได้
“ไม่อาจปล่อยให้เจ้าโจรนั่นหนีไปได้ ตอนนี้ต้องไปที่ที่พักของมัน ต่อให้มันหนีไปแล้ว ก็อาจจะมีเบาะแสอะไรก็เป็นได้” ชายหนุ่มแววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ เอ่ยอย่างไม่ยินยอม
ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำลังเลเล็กน้อย แล้วก็เห็นด้วย หานลี่กลับมีแววตาเปล่งประกาย แล้วพลันสั่นศีรษะ
“ข้าน้อยมีพลังยุทธ์ต่ำต้อย ครั้งนี้รอดชีวิตมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว ไม่อยากฝืนฝอยหาตะเข็บอีก ข้าขอตัวลาจากอาวุโสทั้งสองก่อนขอรับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มพลันตกตะลึง อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้
“พี่หาน เจ้าโจรอวี๋หลอกลวงพวกเราขนาดนี้ เจ้าทนไหวจริงๆ หรือ ข้าว่าพี่หานมีความสามารถด้านอัสนีไม่เลว น่าจะมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่สินะ ต่อให้เจ้าโจรนั้นมีพลังยุทธ์เหนือกว่าพวกเรา แต่ก่อนหน้านี้ได้กระชากจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของอสูรอัสนีออกมา ก็คงเสียปราณแท้ไปเยอะ หากพวกเราร่วมมือกัน ก็ไม่ต้องหวาดกลัวเขาแล้ว หากไม่ไหวจริงๆ พวกเราสามคนก็ไปรายงานเหล่าอาวุโส แม้ว่าเขาจะมีพลังยุทธ์แต่จะกล้าต่อกรกับเหล่าอาวุโสหรือ?” ชายหนุ่มกัดฟันกรอกขณะเอ่ยชักจูง
“อาวุโสในเผ่า ไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกเขาหรอก เรื่องนี้พวกเราจัดการกันเองได้” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ขณะเอ่ย
“ช่างเถิด ข้าน้อยยังมีธุระอื่นในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ครั้งนี้ที่มาปรากฎตัวที่นี่เพียงเพราะผ่านทางมาเท่านั้น ในเมื่อเรื่องมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็ไม่อยากเสียเวลาอีก ท่านอาวุโสทั้งสอง ชนรุ่นหลังขอตัวก่อน” หานลี่สั่นศีรษะอย่างราบเรียบ หลังจากคารวะทั้งสองคนแล้ว ปีกที่แผ่นหลังก็สยายออก คนก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป
“ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก ขอแค่หาเจ้าโจรอวี๋นั่นพบ พวกเราสองคนร่วมมือกันก็เพียงพอแล้ว” ชายหนุ่มหน้าหวานมองไปยังลำแสงหลีกหนีของหานลี่ที่อยู่ไกลออกไป แล้วหันหน้ามาเอ่ยกับชายร่างใหญ่
“หึๆ แค่แม่ทัพวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่ง มีเขาเพิ่มขึ้นมาก็ไม่มีค่าอะไร ต่อให้ขาดเขาไปก็ไม่มีค่าอยู่ดี แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าโจรอวี๋จะกล้าฉีกสัญญาเช่นนี้ เกรงว่าคงมีอะไรซ่อนอยู่อีกแน่ โอกาสของพวกเราคงมีไม่มากนัก” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำกลับรู้สึกกังวลเล็กๆ ขึ้นมา
“ไม่ไปหาด้วยตัวเองสักรอบ จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีอาจจับเจ้าโจรผู้นั้นได้” ชายหนุ่มหน้าหวานกลับสั่นนศีรษะระรัว
“คำนี้ ก็มีเหตุผล พวกเราไปกันเถิด” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะแค่นเสียงหึๆ สองสามครั้งขณะเอ่ย
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ไม่สนใจหานลี่ที่หายไป พลันตรงไปยังที่พักของเจ้าของร้าน
ครานี้หานลี่กลับกลับมายังเรือนรับแขกอย่างทระนงองอาจ ท่าทางเหมือนลืมเรื่องนี้ไปในชั่วพริบตา
เวลาที่เหลือหานลี่ก็นั่งสมาธิอยู่ภายในเรือนรับรองโดยไม่ยอมออกมา กินยาลูกกลอนเข้าไปไม่หยุด และทำให้ระดับเทพแปลงขั้นปลายของตนเองมั่นคง ในเวลาเดียวกันเขาก็เรียนรู้คาถาตื่นจากจำศีลอย่าง ‘การแปลงกายเป็นวิหคสวรรค์’ อย่างหนัก
ก่อนการทดสอบหนึ่งวันก็สามารถเรียนรู้วิธีการแปลงกลายได้อย่างถ่องแท้ นับว่านำไปใช้ในสนามรบได้จริง
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ชั่วพริบตาเวลาสองเดือนก็มาถึง
“ข้าน้อยไป๋ปี้ ได้รับคำสั่งจากท่านมหาอาวุโสให้มารับท่านอาวุโสไปตามที่นัดขอรับ”
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นดังเดิม
ร่างกายพลิ้วไหว เขาลงจากเตียงราวกับภูตผี
ตั้งแต่ที่ฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาการแปลงกายเป็นวิหค’ จากคาถาตื่นจากจำศีล เขาก็รู้สึกว่าร่างกายเบายิ่งกว่าเดิม วรยุทธ์เพิ่มกว่าเดิมอีกขั้นหนึ่ง
ผลักประตูห้องออกไป หานลี่เดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังห้องรับแขก
เมื่อเขามาปรากฎตัวในห้องรับแขก ที่นั่นก็มีชายหนุ่มสวมชุดสีเหลืองคนหนึ่งกำลังยืนเอาสองมือไพล่หลังกันอยู่ในห้อง
ชายหนุ่มผู้นี้ดูแล้วไม่ค่อยหล่อเหลานัก แต่หน้าตาสกลับดใส เมื่อเห็นหานลี่ออกมา ก็เข้ามาถามอย่างอ่อนโยน
“ท่านอาวุโสหานสินะขอรับ ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากท่านมหาอาวุโส ให้มาเชิญพี่หานไป” แม้ว่าชายหนุ่มจะมีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับเทพแปลงขั้นต้น แต่การกระทำสง่างาม พูดแค่ไม่กี่คำคาดไม่ถึงว่าให้ความรู้สึกเหมือนสายลมชวนหลงใหล
“ไป๋ปี้? ดูจากหน้าตาของนายท่านไม่ธรรมดา คงเป็นหนึ่งในสองบุตรชายสินะ” หานลี่พิจารณาชายหนุ่มแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็ฉีกยิ้มน้อยๆ ออกมา
“ชนรุ่นหลังน่าอับอายนัก ข้าน้อยคือบุตรชายในเผ่าที่รู้สึกละอายใจกับการได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเหล่าอาวุโสในเผ่านัก เรื่องของพี่หานนั้น ความจริงแล้วข้าน้อยได้ยินมาจากอาวุดสทั้งสองท่านตั้งนานแล้ว ข้าน้อยต้องขอบคุณบุญคุณของพี่หานด้วย มิเช่นนั้นข้าน้อยไปจนถึงท่านอาวุโสเลือดเนื้อข้าคงมีอันตรายถึงชีวิต” ไป๋ปี้คารวะพร้อมยิ้มน้อยๆ ขณะเอ่ย
“อาวุโสน้อง? เจ้าหมายถึง…” หานลี่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ท่านลุงไป๋เสวี่ย น้องไป๋อี๋” ชายหนุ่มฉีกยิ้มขณะเอ่ย
“เจ้าคือหลานชายของพี่ไป๋เสวี่ย” หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปที่ปีกสีทองเรืองรองที่แผ่นหลังของชายหนุ่มก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ท่านอาวุโสหานไม่ต้องแปลกใจหรอก ชนรุ่นหลังเพิ่งจะกระตุ้นโลหิตศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้วิหคมัจฉาในร่างหลังจากโตเต็มวัย ปีกถึงได้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้” ดูเหมือนจะมองความฉงนสงสัยของหานลี่ออก ไป๋ปี้จึงอธิบายพร้อมกลั้วหัวเราะ
“เช่นนี้นี่เอง ดูแล้วนายท่านคงโชคดีไม่น้อย” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
ทันใดนั้นเขาก็ออกจากห้องพักพร้อมกับบุตรชายของเผ่าวิหคสวรรค์
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หานลี่ก็มาปรากฎตัวในวิหารโบราณขนาดมโหฬารที่สร้างขึ้นจากศิลาสีขาว ในวิหารดูยิ่งใหญ่และสงบเงียบ ตรงกลางมีโต๊ะหินสีขาวที่ดูเหมือนโต๊ะบูชาวางอยู่ตัวหนึ่ง สองฝั่งมีเก้าอี้สีขาวห้าตัววางเรียงรายอยู่
ในวิหารในครานี้นอกจากจินเย่ว์แล้ว ชายชราแซ่ซวีและหญิงงามก็อยู่ด้วย บนเก้าอี้หินมีบุรุษร่างกายผ่ายผอมสวมชุดคลุมสีดำเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
รอบกายของบุรุษผู้นี้แผ่ไอสีดำจางๆ ออกมา ใบหน้าถูกปกคลุมเอาไว้จนมองได้ไม่ชัดเจน แต่แผ่นหลังของเขามีปีกสีดำเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสีดำคู่หนึ่ง
บนโต๊ะหินมีกล่องสีแดงสดราวกับเพลิงวางอยู่ ด้านบนมีใบไม้โบราณสีเขียวมรกตสองสามแผ่นแปะตัดสลับกันอยู่ ลำแสงสีเขียวที่แผ่ออกมาไม่เหมือนกับสีของกล่องไม้เลยสักนิด
หานลี่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสี่คนตั้งนานแล้ว ไป๋ปี้เองก็มาอยู่ด้านข้าง
บรรยากาศในวิหารตึงเครียดมาก แต่ทุกคนก็เงียบขรึม เหมือนว่ากำลังใครสักคนอยู่
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ ฉับพลันนั้นด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น สตรีสวมชุดสีเงินมีปีกที่แผ่นหลังคนหนึ่งเดินเข้ามาในวิหารพร้อมกับสายลม
สตรีผู้นี้มีใบหน้าขาวนวลราวกับหยกตัด แววตาสดใสดุจสายธาร บนร่างมีไม่มีฝุ่นเลยสักนิด
“เหลยหลัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะมาสายนะ” จินเย่ว์มองสตรีผู้นั้น แล้วขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม
“รายงานท่านมหาอาวุโส ข้าเรียนรู้คาถาได้ในเฮือกสุดท้าย จู่ๆ ก็เข้าใจทั้งหมดได้ ถึงได้เสียเวลาหน่อย หวังว่าเหล่าอาวุโสจะไม่ถือสาเจ้าค่ะ” สตรีผู้นี้ค้อมตัวลงให้กับจินเย่ว์และพวก ปากก็เปล่งเสียงที่ค่อนข้างแหบพร่าออกมา
“ในเมื่อเรียนรู้คาถาได้แล้ว ก็ช่างมันเถิด” จินเย่ว์ได้ยินคำพูดของสตรีผู้นี้ ก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง
สตรีผู้นี้เอ่ยคำขอบคุณ และไปยืนอยู่ด้านข้าง
“จุดประสงค์ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามารวมตัวกัน พวกเจ้าก็น่าจะรู้กันแล้วสินะ การทดสอบที่หุบเหวลึกในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าเรา ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เจ้าสองคนจะต้องผ่านการทดสอบให้ได้คนหนึ่ง สืบทอดตำแหน่งประมุขของเผ่าเรา แต่พวกเราได้ข่าวมาว่า เผ่าแดงสดที่เป็นศัตรูคู่แค้นกับเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรานั้น กลับไม่หวังจะปล่อยเผ่าของเราไป กว่าครึ่งคงส่งคนเข้าร่วมการทดสอบเพื่อลงมือรอบทำร้ายพวกเจ้าเช่นกัน ระยะเวลาที่พวกเจ้าสองคนเป็นบุตรชายของเผ่านั้นสั้นไปหน่อย หากมีบุตรชายของเผ่าอื่นมาขัดขวาง การทดสอบครั้งนี้คงมีแต่ต้องไปแล้วไปลับเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงเชิญให้สหายหานมาเข้าร่วมเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรา เป็นบุตรชายคนที่สามของเผ่าเราชั่วคราว ถึงครานั้นจะได้ช่วยพวกเจ้าอีกแรง” หญิงสาวจ้องเขม็งไปยังหานลี่และพวกทั้งสามคนขณะเอ่ย น้ำเสียงไพเราะดังสะท้อนไปมาอยู่ในวิหาร
ไป๋ปี้และสตรีที่เพิ่งเข้ามาในวิหารฟังมาจนถึงตรงนี้ ก็มองไปที่หานลี่แวบหนึ่ง
ชายหนุ่มมีแววตาอ่อนโยนและเป็นมิตร แต่สตรีชุดสีเงินกลับมีแววตาสดใสดุจสายธาร
หานลี่พลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา!