A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1427 อัสนีเบญจสวรรค์

เมื่อเห็นอสูรหนามแหลมอยู่ตรงหน้า อสูรอัสนีพลันอ้าปากออกอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด กลืนอสูรน้อยลงไปในท้องภายในคำเดียวโดยไม่ได้ดิ้นรนอะไรเลย จากนั้นก็คำรามเสียงต่ำๆ ด้วยความพึงพอใจออกมา ชั่วพริบตาร่างกายก็หดเล็กลง ในเวลาเดียวกันพลันพ่นไอสีดำชั้นหนึ่งออกมารอบๆ กลืนกินร่างกายของเขาไปจนหมด

 

 

กลางเขตอาคมทุกอย่างฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม เหมือนตอนที่หานลี่เห็น

 

 

“อสูรอัสนีตัวนี้คืออสูรอะไรกันแน่ ข้าน้อยว่าข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านคำภีร์โบราณต่างๆ แต่ก็ไม่เคยรู้จักอสูรวิญญาณชนิดนี้เลย” ชายหนุ่มหน้าหวานเอ่ยปากด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย

 

 

“ข้าน้อยไม่ได้บอกไปแล้วหรือ? อสูรตนนี้มีที่มาพิเศษ หวังว่าเหล่าสหายจะไม่ถามให้มากความ ขอแค่ช่วยข้ากำราบอสูรตนนี้ก็พอแล้ว” บุรุษร่างกายผ่ายผอมกวาดสายตาไปที่ชายหนุ่ม แล้วเผยเจตนาตักเตือนออกมา

 

 

ชายหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยแต่ก็ปิดปากไม่ได้ถามอะไรอีกดังคาด

 

 

หานลี่เห็นฉากนี้ แววตาพลันเปล่งประกายแปลกประหลาดสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า

 

 

“ที่ท่านอาวุโสกล่าวว่าอสูรตนนี้มีอยู่เพียงตนเดียวในแดนวิญญาณเมื่อครู่ ทำให้เข้าใจได้ว่าอสูรตนนี้ไม่ใช่อสูรของแดนวิญญาณใช่หรือไม่” เจ้าของร้านได้ยินแล้วพลันตกตะลึงหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่ แต่ทันใดนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วตอบกลับว่า

 

 

“น้องหานพูดจาเหลวไหลอะไร อสูรตนนี้ไม่ใช่อสูรแดนวิญญาณ แล้วจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร”

 

 

ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มฝึกบำเพ็ญเพียรจนมาถึงขั้นนี้แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา มองปราดเดียวก็ดูท่าทางปกปิดความลับของเจ้าของร้านออก ทั้งสองคนจึงอดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งด้วยความตกตะลึงไม่ได้

 

 

“อสูรอัสนีไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในแดนวิญญาณจริงๆ หรือว่าคืออสูรวิญญาณวิเศษที่มาจากแดนล่างแดนใดสักแดนหนึ่ง ไม่สิ จากความสามารถที่อสูรตนนี้เพิ่งสำแดงออกมา แทบจะไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญ แดนล่างไม่มีทางมีอสูรวิญญาณชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นได้ ไม่ใช่แดนล่าง เช่นนั้นก็มีเพียงแต่แดนเบื้องบนแล้ว แดนเทพเซียนในตำนาน” ชายหนุ่มไม่ได้สนใจการกล่าวเตือนของเจ้าของร้าน พลางเอ่ยออกมาทีละคำๆ

 

 

ชายร่างใหญ่จ้องเขม็งไปยังหมอกสีดำในเขตอาคม สองตาค่อยๆ เปล่งประกาย

 

 

“อันใด พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าอสูรตัวนี้คืออสูรจากแดนเทพเซียน?” ครานี้บุรุษร่างกายผ่ายผอมกลับเยือกเย็นขึ้น แค่แววตาเผยแววประหลาดใจออกมา

 

 

“หรือว่าพวกเราเดาผิด ต่อให้ไม่ใช่ พี่อวี๋อยากให้พวกเราช่วยสยบอสูรตัวนี้ ก็ช่วยบอกประวัติความเป็นมาของมันสักหน่อยเถิด หากพวกเราสามคนเข้าใจมันแล้วก็อาจจะมีประโยชน์ในภายหลังได้ หากไม่อยากพูดจริงๆ พวกเราสามคนก็จะไม่บังคัง แต่ก็ทำได้เพียงมองว่าอสูรตัวนี้เป็นอสูรจากแดนเบื้องบนจริงๆ” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

 

“เจ้ากล้าข่มขู่ข้า!” เจ้าของร้านมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบที่ใบหน้า หว่างคิ้วมีจิตสังหารปรากฎขึ้น

 

 

“ต่อให้พวกเราสามคนร่วมมือกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่อวี๋ จะกล้าข่มขู่พี่อวี๋ได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามพี่ของข้าก็เป็นหนึ่งในอาวุโสที่อายุน้อยที่สุดในเผ่า พี่อวี๋คงไม่ทำเรื่องที่ไม่ชาญฉลาดหรอกกระมัง” ชายหนุ่มถูกจิตสังหารของอีกฝ่ายแผ่มาหา ก็หน้าเปลี่ยนสีถอยหลังไปครึ่งก้าว แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยเช่นนี้ออกมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น

 

 

คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มหน้าหวานจะเป็นน้องชายของอาวุโสแห่งเผ่าวิหคสวรรค์ ทำให้หานลี่และชายร่างใหญ่พลันตกตะลึง อดที่จะพิจารณาชายหนุ่มอีกสองแวบไม่ได้

 

 

เจ้าของร้านร่างกายผ่ายผอมได้ยินเช่นนั้น ก็มีสีหน้าหวาดกลัวฉายแวบผ่านไปบนใบหน้า หลังจากที่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสงสัยแล้วถึงได้เอ่ยอย่างเย็นชาออกมาว่า

 

 

“บอกความเป็นมาของอสูรตนนี้กับพวกเจ้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนักหรอก พวกเจ้าจะได้ไม่คิดอะไรเลอะเทอะ สาเหตุที่มันมีอยู่ตนเดียวในแดนนี้ก็เพราะว่าอสูรตนนี้คือสิ่งที่ข้าสะสมรวบรวมพลังอัสนีเอาไว้ หลังจากนั้นก็ใช้เคล็ดวิชาลับหล่อหลอมมันถึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากพลังอัสนี ข้าใช้เวลาไปเกือบครึ่งชีวิตถึงได้สร้างขึ้นสำเร็จตนหนึ่ง ในใต้หล้านี้มีอสูรอัสนีเพียงตนเดียวเท่านั้น”

 

 

“วิญญาณของพลังอัสนี!” ชั่วขณะนั้นหานลี่และพวกสามคนพลันเบิกตาโพลง

 

 

“เป็นไปได้อย่างไร! ต่อให้เป็นในตำนานของเผ่าวิญญาณก็ไม่อาจให้กำเนิดอสูรวิญญาณจากพลังอัสนีได้ แม้ว่าพี่อวี๋จะมีความสามารถไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้” ชายหนุ่มเป็นผู้ที่ได้สติฟื้นฟูกลับมาจากความตกตะลึงเป็นคนแรกแล้วเผยสีหน้าไม่เชื่อถือออกมา

 

 

หานลี่และชายร่างใหญ่เองก็ขมวดคิ้วแน่น

 

 

“หึหึ อาศัยแค่การค้นคว้าของข้านั้น แน่นอนว่าไม่มีทางทำได้ แต่ข้าเคยมีประสบการณ์ไปท่องยุทธภพของเผ่าประหลาดอื่นๆ มาสองสามเผ่า จึงได้เคล็ดวิชาลับการเลี้ยงดูอสูรวิญญาณจากแดนเทพเซียนจากชนชั้นสูงของเผ่าหนึ่งที่ละสังขารไปแล้วมาด้วยความบังเอิญ เคล็ดวิชาลับการเลี้ยงดูอสูรนี้เป็นวิชาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบันทึกแล้ว” นอกเหนือความคาดหมายของหานลี่และพวกของชายหนุ่ม เจ้าของร้านมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ชั่วครู่ ก็เอ่ยสิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนตกตะลึงออกมา

 

 

“เคล็ดวิชาการเลี้ยงดูอสูรที่สืบทอดกันมาจากแดนเทพเซียน ก็อาจจะเป็นไปได้ เมื่อครู่ที่ศิษย์น้องล่วงเกินไปหวังว่าพี่อวี๋จะไม่ถือสา” หลังจากที่แววตาของชายหนุ่มหน้าหวานเปล่งประกายสองสามครั้ง ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแหยๆ

 

 

ชายร่างใหญ่ลูบใต้คางไปมาและส่งเสียงจุ๊ๆ ชื่นชมไม่หยุดเช่นกัน

 

 

เจ้าของร้านกลับมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แค่แค่นเสียงด้วยความเย็นชาเท่านั้น

 

 

หานลี่ที่อยู่ด้านข้างจ้องเขม็งไปยังอสูรอัสนีที่อยู่ในเขตอาคม แววตาฉายแววสนอกสนใจออกมา

 

 

การที่อสูรตัวนี้ถือกำเนิดจากพลังอัสนี แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ดูจากการที่อสูรตนนี้ควบคุมพลังอัสนีได้อย่างน่าตกตะลึงแล้ว ต่อให้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ยังเป็นร่างที่มีพลังอัสนีโดยกำเนิด

 

 

ทว่าแม้ว่าอสูรอัสนีจะมีพลังระดับหลอมสูญแล้วยังควบคุมพลังอัสนีได้ก็ยังไม่คุ้มค่ากับที่เจ้าของร้านทุ่มเทแรงลงไปเพื่อสยบมัน ถึงอย่างไรเสียแค่ของที่นำมาตกลงกับพวกเขาทั้งสามคนก็มีมูลค่าไม่น้อยไปกว่าอสูรวิญญาณระดับหลอมสูญตนนี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาและความทุ่มเทที่เขาเสียไปจากการกระตุ้นให้อสูรอัสนีตนนี้ถือกำเนิดขึ้นมา

 

 

ดูแล้วหากอสูรตนนี้ไม่ได้มีความสามารถที่ร้ายกาจอย่างอื่นที่ยังไม่ได้สำแดงออกมา อสูรตนนี้ก็คงจะมีประโยชน์อะไรอย่างอื่นกับบุรุษร่างกายผ่ายผอมผู้นี้ ทำให้เขายอมทุ่มเทอย่างไม่เสียดาย

 

 

ความจริงแล้วจุดนี้ไม่ใช่แค่หานลี่ ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มหน้าหวานก็คิดเช่นเดียวกัน

 

 

แต่ขณะที่ทั้งสามคนกำลังมีความคิดแตกต่างกันนั้นประกอบกับความหวาดกลัวในพลังยุทธ์ของเจ้าของร้านจึงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้พร้อมกัน

 

 

อสูรวิญญาณประหลาดระดับหลอมสูญตนหนึ่ง ต่อให้ประวัติความเป็นมาและประโยชน์จะน่าสงสัยก็ไม่คุ้มค่าจะให้พวกเขาไปล่วงเกินบุรุษร่างกายผ่ายผอมจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้หนึ่งในพวกเขาสามคนมีความคิดอะไรก็ไม่กล้าแพร่งพรายออกมาเลยสักนิด

 

 

“เอาล่ะ สิ่งที่สมควรพูดก็ได้พูดไปแล้ว จากนี้ห้ามเสียเวลาอีกควรเริ่มได้แล้วข้าจะสร้างเขตอาคมลวงตากักอสูรตนนี้ไว้ชั่วคราว จากนั้นพวกเจ้าก็เข้าไปใส่พลังอัสนีของพวกเจ้าเข้าไปในร่างของอสูรตนนี้ก็พอแล้ว จำไว้ ต้องใส่พลังจนกว่าข้าจะบอกว่าให้พอ ถึงจะหยุดได้ มิเช่นนั้นอาจจะล้มเหลวได้” เจ้าของร้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

 

 

ทั้งนี้หานลี่และพวกทั้งสามจึงไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรล้วนเผยสีหน้าเห็นด้วยออกมา

 

 

เจ้าของร้านพลันพยักหน้า ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ รูปภาพเขาพระสุเมรุม้วนหนึ่งปรากฏขึ้นในมืออีกครั้ง ครั้งนี้เขาโยนของที่อยู่ในมือขึ้นไปเบื้องหน้า ชั่วขณะนั้นม้วนภาพพลันคลี่ออก

 

 

ลำแสงห้าสีเปล่งแสงเจิดจ้า ภาพเขาพระสุเมรุปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง

 

 

บุรุษร่างกายผ่ายผอมบริกรรมคาถา ชี้นิ้วนิ้วหนึ่งไปที่จุดหนึ่งในม้วนภาพอย่างรวดเร็ว

 

 

รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นทุกอย่างพลันชัดเจน

 

 

จุดที่บุรุษร่างกายผ่ายผอมชี้ไปคือ หอคอยสูงใหญ่บนภูเขาที่พวกเขาอยู่

 

 

ครู่ต่อมาภาพเขาพระสุเมรุพลันเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้า พ่นหมอกสีขาวนวลออกมา ท่ามกลางกลุ่มกำแพงสี่ด้านของชั้นหนึ่งและสองของหอคอยในภาพพลันกระพริบวาบๆ ค่อยๆ ขยายออกมาจากทั้งสี่ด้าน จากนั้นก็สลายหายไป

 

 

หานลี่พลันชักสีหน้า ยังไม่ทันได้ขบคิดให้ละเอียดว่าเรื่องนี้คืออะไร ฉับพลันนั้นที่ใต้ฝ่าเท้าสั่นเทา หอคอยที่แท้จริงพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง กำแพงทั้งสี่ด้านเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าออกมา จากนั้นก็ล้มลงมาราวกับประตูใหญ่ สุดท้ายก็สลายหายไปจากกลางอากาศ

 

 

ชั่วพริบตาพวกของหานลี่และอสูรอัสนีที่อยู่ในจัตุรัสพลันตกอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม หอคอยบนพื้นที่อยู่ด้านล่างพลันกลายเป็นจัตุรัสว่างเปล่าราวกับแท่นบูชาแท่นหนึ่ง

 

 

หมอกสีดำที่อยู่ในเขตอาคมพลันหมุนวน เห็นได้ชัดว่าอสูรอัสนีที่อยู่ด้านในถูกทำให้ตกใจ

 

 

หานลี่ลูบคางไปมา ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

 

 

ในตอนนั้นเอง เจ้าของร้านพลันคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะพ่นลูกธนูโลหิตสายหนึ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในม้วนภาพ

 

 

ชั่วขณะนั้นกลางอากาศพลันมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส ทันใดนั้นพายุพลันก่อตัวขึ้น เมฆทมิฬหมุนวน

 

 

ท่ามกลางเสียงตูมตามที่ดังขึ้นไม่หยุด ประจุไฟฟ้าสีเงินเป็นสายๆ พลันปรากฎขึ้นท่ามกลางเมฆสีดำ ราวกับว่ามารปีศาจลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น ล้วนมารวมตัวกันกลางอากาศเหนือแท่นบูชาที่พวกของหานลี่อยู่

 

 

ไม่รอให้หานลี่และพวกทั้งสามเอ่ยปากซักถาม บุรุษร่างกายผ่ายผอมก็เป็นฝ่ายอธิบายว่า

 

 

“จากประสบการณ์การล้มเหลวของข้าในอดีต อาศัยแค่พลังอัสนีของพวกเจ้าสามคนเกรงว่าจะยังไม่พอ ดังนั้นข้าจึงอัญเชิญพลังฟ้าดินที่แฝงอยู่ในภาพเขาพระสุเมรุมาด้วย ให้พวกมันสร้างภาพลวงตาพลังอัสนีมาช่วยพวกเจ้าอีกแรง หลังจากเสร็จเรื่องนี้ ภาพนี้ก็น่าจะถูกทำลายลง ดังนั้นครั้งนี้ตาเฒ่าถือว่าทุ่มสุดตัวแล้ว หวังว่าเหลาสหายจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่ ขอแค่กำราบอสูรตัวนี้ได้ ข้าไม่เพียงจะมอบของตามที่พวกเราตกลงกันไว้ให้พวกเจ้า ยังจะมอบศิลาวิญญาณจำนวนมากให้พวกเจ้าด้วย” เอ่ยจนมาถึงสองสามประโยคสุดท้าย สีหน้าของเจ้าของร้านก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

 

 

หานลี่และพวกทั้งสามคนพลันรู้สึกดีอกดีใจ ทยอยกันแสดงออกว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ออกมา

 

 

บุรุษร่างกายผ่ายผอมได้ยินแล้วพลันพยักหน้า จากนั้นปีกที่แผ่นหลังก็สะบัดไปที่ม้วนภาพเบื้องหน้า ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันพุ่งออกมา ชั่วครู่ก็ม้วนเอาม้วนภาพเขาพระสุเมรุเข้าไปด้านใน

 

 

หลังจากที่รูปภาพหมุนติ้วๆ ในม่านหมอก อักขระประหลาดหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฎขึ้น สุดท้ายก็เปล่งเสียงตูมๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเสาลำแสงห้าสีสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเมฆสีดำที่อยู่สูงขึ้นไป

 

 

ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น

 

 

หลังจากเมฆสีดำที่อยู่กลางอากาศหมุนคว้างก็เปล่งเสียงฟ้าคำรามราวกับพื้นดินแตกแยกดังขึ้น ทันใดนั้นกลางเมฆดำก็มีประจุไฟฟ้าห้าสีหนาเท่าปากชามสายหนึ่งปรากฏขึ้น สีสันเจิดจรัสอย่างสุดๆ เปล่งแสงกระพริบระยิบระยับท่ามกลางกลุ่มเมฆไม่หยุด ราวกับว่างูเหลือมยักษ์ห้าสีตัวหนึ่งที่หมุนวนติ้วๆ อยู่กลางกลุ่มเมฆ

 

 

“เคราะห์สวรรค์ห้าสี?” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำเห็นอัสนีห้าแสงชั่วครู่ก็กระโดดขึ้นด้วยความหวาดกลัวราวกับเห็นผีก็ไม่ปราณอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“นายท่านโปรดวางใจ นี่ไม่ใช่อัสนีห้าสีในเคราะห์ราชันย์วิญญาณเหาะเหินเที่ยงแท้ ข้าแค่ยืมพลังปราณจากฟ้าดินจำลองมันขึ้นเท่านั้น อาณุภาพไม่เท่าหนึ่งในสิบส่วนของเคราะห์อัสนีห้าสี เหล่าสหายโปรดวางใจ” เจ้าของร้านกับเอ่ยอย่างเคร่งขรึมออกมา

 

 

หานลี่และชายหนุ่มที่แต่เดิมเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาได้ยินคำนี้ก็มีสีหน้าผ่อนคลาย

 

 

หานลี่มองไปยังอัสนีห้าสีกลางอากาศ แววตายังคงฉายแววตกตะลึงอยู่เล็กน้อย

 

 

อัสนีสวรรค์ห้าสีนี้คือเคราะห์อัสนีที่มีไว้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับต้าเซิ่งในตำนาน ไม่ใช่สิ่งที่เคราะห์อัสนีสีม่วงทองของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมร่างจะเปรียบเทียบได้

 

 

เกรงว่าต่อให้มีพลานุภาพแค่หนึ่งในสิบส่วน ภายใต้การโจมตีของอัสนีห้าสี ผู้ที่อยู่ที่นั่นจะต้านทานได้จริงๆ หรือไม่ ผู้ใดก็มิกล้ารับประกัน

 

 

ครานี้บุรุษร่างกายผ่ายผอมไม่สนใจหานลี่และพวกทั้งสามแล้ว เริ่มสำแดงเขตอาคมอื่นกระตุ้นเสาสำริดแปดสิบเอ็ดต้นเบื้องหน้า

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset