นอกจากเจ้าของร้านร่างกายผ่ายผอมแล้วและชายร่างใหญ่ที่เป็นฝ่ายพูดด้วยความโมโหแล้ว ยังมีชายหนุ่มหน้าหงานดุจผู้หญิงอีกคนหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจเช่นกัน
หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปอย่างเงียบๆ ก็มองออกว่าทั้งสองคนล้วนมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสูญขั้นต้น
“หึ ข้าไม่เคยพูดว่าจะให้คนคนเดียวมาช่วยข้าสยบอสูรวิญญาณ หากผู้ใดไม่ยินยอมล่ะก็ออกไปซะ ข้าจะไม่ห้ามปรามเลยสักนิด แต่หากอยากได้ผลึกใจวารี เหล็กลำแสงสีม่วงและผงตาข่ายเขียวต่างๆ ก็อย่าหวังเลย” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมค้อนปะหลักปะเหลือก พลางแค่นเสียงขณะเอ่ย
ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่ได้ยิน ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้ หานลี่กลับแค่ขมวดคิ้วมุ่นยืนอยู่ที่เดิม
“เอาล่ะ สามคนก็สามคนเถิด แต่ในบรรดาพวกเราสามคนหากมีคนสยบอสูรวิญญาณได้ก่อน คนที่เหลือจะไม่ไม่ได้อะไรหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“หึ เรื่องนี้วางใจเถิด เดิมทีตาเฒ่าก็ไม่ได้คิดว่าพวกเจ้าจะลงมือตามลำพังอยู่แล้ว ต้องให้ทั้งสามสำแดงวิชาอัสนีพร้อมกัน มิเช่นนั้นจากประสบการณ์ก่อนหน้าของข้า พลังอัสนีของพวกเจ้า ไม่อาจทำสำเร็จโดยลำพังได้ ขอแค่สยบสำเร็จ ข้าจะทำตามที่พวกเราตกลงกันไว้” เจ้าของร้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ได้ยินว่าจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มพลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง ไม่มีข้อคิดเห็นอื่นอีก
เจ้าของร้านเห็นเช่นนั้น พลันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่หลังจากกวาดสายตาไปบนเรือนร่างของหานลี่แล้ว ปากกลับเอ่ยจุ๊ๆ ออกมา
“พี่หาน ไม่เจอกันสองสามวัน ก็บรรลุจากแม่ทัพวิญญาณขั้นกลางเป็นแม่ทัพวิญญาณขั้นสูงเสียแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ผู้แซ่อวี๋ขอแสดงความยินดีด้วย เช่นนั้นพลังอัสนีก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกสองสามส่วนสินะ” เขาเอ่ยถามด้วยความรู้สึกสนใจ
“ชนรุ่นหลังแค่โชคดีเท่านั้น พลังอัสนีเพิ่มขึ้นนิดหน่อยจริงๆ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วตอบกลับด้วยความจริงครึ่งหนึ่งโกหกครึ่งหนึ่ง
ฟังจากคำพูดของทั้งสองคน ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำและชายหนุ่มพลันพิจารณาหานลี่สองแวบ ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กๆ ออกมา
“เยี่ยม ในเมื่อทั้งสามล้วนไม่มีข้อคิดเห็น ก็ตามตาเฒ่ามาเถิด อสูรวิญญาณถูกข้าขังเอาไว้ในสถานที่ลับ เจ้าทั้งสามตามข้ามาก็พอ” เจ้าของร้านเอ่ย
“ตามไปพี่อวี๋ไปนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ก่อนที่จะให้พวกเราลงมือ ควรจะให้พวกเราตรวจสอบสิ่งของก่อนหรือไม่” ชายหนุ่มหน้าหวานกลอกตาไปมา กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำได้ยินเช่นนั้นพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เอ่ยว่าใช่ๆ อย่างเห็นด้วย ใบหน้าเผยสีหน้าเห็นด้วยออกมา
“อยากดูของ! ไม่มีปัญหา ข้าเตรียมของเอาไว้ตั้งนานแล้ว ทั้งสามลองพิจารณาดูเถิด” เจ้าของร้านดูเหมือนว่าจะคาดเดาคำพูดของชายหนุ่มเอาไว้อยู่แล้ว จึงเอ่ยปากออกมา น้ำเสียงไม่โหดร้ายเหมือนแต่ก่อน กลับทำให้ชายหนุ่มที่เตรียมคำพูดเอาไว้มากมายพลันตะลึงงัน
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้นสามครั้ง กล่องไม้ขนาดน้อยใหญ่สามใบบินออกมา
บุรุษร่างกายผ่ายผอมโยนของออกมาอย่างคล่องแคล่ว
ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่พลันรู้สึกยินดี พากันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงผืนหนึ่งพุ่งออกมาม้วนเอากล่องไม้เบื้องหน้าเอาไว้
หานลี่พลันใจเต้นระรัว ยื่นมือออกไปรับกล่องที่ลอยมาหาตัวเอง จากนั้นก็เปิดฝาออกอย่างคล่องแคล่ว
กลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพรโชยมา ในกล่องไม้มีผลเหมือนลูกพีชขนาดเท่ากำปั้นสีเขียวมรกตวางอยู่ ด้านล่างยังมีใบไม้ประหลาดสีแดงอ่อนรองอยู่สองใบ หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ทันใดนั้นก็ยื่นนิ้วชี้ออกไปหมายจะชี้ไปที่ผลผลนั้น
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่หานลี่ คนที่เหลืออีกสองคนก็ยื่นมือออกไปหมายจะหยิบของในกล่องออกมาพิจารณาอย่างละเอียดเช่นกัน
แต่ในครานั้น เจ้าของร้านที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปากอย่างราบเรียบว่า
“ข้าว่าพวกเจ้าอย่าเอามือไปแตะของในกล่องเลย พวกมันถูกลงอาคมเล็กๆ เอาไว้ หากเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ทั้งสามถังแตกก็เกรงง่าจะไม่อาจชดใช้ได้”
ชั่วขณะนั้นมือของหานลี่พลันหยุดชะงักค้าง
“พี่อวี๋ หมายความว่าอย่างไร ใช้มือจับไม่ได้ จะแยกแยะว่าจริงเท็จได้อย่างไร” ชายร่างใหญ่ตกใจจนสะดุ้ง และรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย
“แค่ใช้ตาเนื้อและจิตสัมผัส จากพลังยุทธ์ของเจ้าทั้งสามก็น่าจะแยกแยะของได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว หากอยากตรวจสอบของในกล่องจริงๆ รอให้ทั้งสามทำภารกิจสำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด ข้าน้อยไม่อาจมั่นใจได้ว่าเหล่าสหายจะช่วยข้าสยบอสูรได้ หากล้มเหลวก็ไม่จำเป็นต้องแยกแยะด้วยมือ จากชื่อเสียงของข้าในเผ่า ทั้งสามท่านยังกลัวว่าข้าจะหลอกลวงหรือ?” บุรุษร่างกายผ่ายผอมกลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“เอาล่ะ พวกเราจะเชื่อเจ้าสักครั้ง คิดดูแล้วพี่อวี๋คงไม่มีทางทุบป้ายของตัวเอง” สายตาของชายหนุ่มหน้าหวานมองไปที่ของในกล่องสองสามครั้ง สีหน้าไม่แน่นอน สุดท้ายก็กระทืบเท้า โยนกล่องไม้กลับไปอีกครั้ง
หลังจากที่ชายร่างใหญ่พิจารณาของในมือเสร็จแล้ว แม้นว่าจะมีสีหน้าลังเล แต่สุดท้ายก็ยังส่งกล่องให้อย่างอาลัยอาวรณ์
หลังจากเก็บกล่องไม้ทั้งสองเสร็จแล้ว เจ้าของร้านแซ่อวี๋พลันเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา ในที่สุดสายตาก็กวาดไปที่อีกด้าน
ครานี้หานลี่กำลังจ้องเขม็งไปยังผลสีเขียวที่อยู่ในกล่องเขม็ง ส่วนลึกในม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“อันใด พี่หานคิดว่าผลตาข่ายเขียวนี้มีจุดที่ผิดปกติหรือ?” เจ้าของร้านเห็นสีหน้าของหานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“เปล่า” หานลี่สั่นศีรษะ ปิดฝากล่องไม้ แล้วโยนให้เจ้าของร้าน
ชายร่างใหญ่ร่างกายผ่ายผอมรับกล่องไม้ไป มองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของหานลี่แวบหนึ่ง แล้วหาทุกคนออกจากประตูใหญ่ไปโดยไม่พูดอะไร
หานลี่และพวกทั้งสามต่างก็ไล่ตามไปติดๆ
ความเร็วของบุรุษร่างกายผ่ายผอมนั้นรวดเร็วมาก แต่หานลี่และพวกทั้งสามก็ไม่ใช่คนธรรมดา จึงบินตามเขาออกจากวิหารการแลกเปลี่ยนได้อย่างสบายๆ ตรงไปยังที่หนึ่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์
บินมาได้หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ทุกคนก็มาถึงมุมที่รกร้างแห่งหนึ่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์
เห็นได้ชัดว่าที่นี่มีสิ่งปลูกสร้างอยู่บางตา มีชาววิหคสวรรค์สัญจรไปมาอยู่ไม่มากนัก เผยให้เห็นถึงความรกร้างเป็นอย่างมาก
เจ้าของร้านพาพวกเขาร่อนลงหน้าสิ่งปลูกสร้างที่ค่อนข้างเตี้ยและไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง
สิ่งปลูกสร้างนี้มีความสูงแค่สามสิบจั้งเศษ แบ่งออกเป็นสองชั้น สีเทาตุ่นๆ
เมื่อสองเท้าของบุรุษร่างกายผ่ายผอมร่อนลงถึงพื้น ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ บุรุษอายุยี่สิบปีเศษสองคนเดินออกมาจากด้านในทันที พลางรีบร้อนเข้ามาคารวะเจ้าของร้าน พลางเอ่ยถามว่า
“คารวะท่านปรมาจารย์!”
“พวกเจ้าสองคนคอยรักษาการณ์อยู่ภายนอก หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามผู้ใดเข้าไปด้านใน” เจ้าของร้านออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ขอรับ!” แน่นอนว่าบุรุษทั้งสองพลันตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็แยกย้ายกันไปยืนอยู่ด้านข้างประตูใหญ่ทั้งสองด้าน
หานลี่พิจารณาทั้งสองคนแวบหนึ่ง มองออกว่าทั้งสองมีพลังยุทธ์ระดับหลอมรวม จึงไม่สนใจอีก
เจ้าของร้านร้องเรียกคำนึง ก็เดินเข้าไปในสิ่งปลูกสร้าง หลังจากที่ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่ลังเลเล็กน้อย ก็เดินตามเข้าไป
หานลี่จึงเดินตามหลังไปเป็นคนสุดท้าย
ในห้องมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก ทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย โต๊ะไม้สี่เหลี่ยมสามตัวรวมทั้งเก้าอี้ไม้สิบกว่าตัวกินพื้นที่กว่าครึ่งห้อง
ส่วนกำแพงทั้งสี่ด้านของห้อง ยังมีภาพวาดโบราณสีออกเหลืองสองสามภาพแขวนอยู่ ภาพวาดเหล่านี้ล้วนเป็นภาพปีศาจอสูรและภูเขาลำธารต่างๆ ไม่แปลกตาเลยเช่นกัน
“พี่อวี๋ อสูรวิญญาณตัวนั้นอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ?” ชายร่างใหญ่กวาดสายตาไป แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
ที่นี่มีพื้นที่เล็กมาก ไม่น่าจะกักอสูรวิญญาณอะไรได้จริงๆ มิน่าล่ะเขาจึงรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“มาถึงที่นี่แล้ว ข้ายังจะโกหกพวกเจ้าอีกหรือ พวกเจ้าตามข้ามา” เจ้าของร้านถลึงตาใส่ชายร่างใหญ่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ ทันใดนั้นก็สาวเท้าไปยังกำแพงด้านหนึ่งที่มีรูปภาพภูเขาลำธารโบราณแขวนอยู่ สะบัดแขนเสื้อ ในมือมีม้วนรูปภาพปรากฎขึ้น
สะบัดเบาๆ ม้วนรูปภาพคลี่ออก คาดไม่ถึงว่าจะเผยรูปภาพที่เหมือนกับบนกำแพงออกมาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นฉากนี้ชายร่างใหญ่และหานลี่พลันตกตะลึง ไม่ทันได้เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร หลังจากที่สายตาของชายหนุ่มหน้าหวานกวาดไปที่ม้วนรูปภาพแล้ว กลับหน้าเปลี่ยนสีพลางร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า
“ภาพเขาพระสุเมรุ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีสมบัติวิเศษของเผ่าเบญจลำแสง!”
“ภาพเขาพระสุเมรุ? เป็นไปไม่ได้กระมัง สมบัติชนิดนี้ เผ่าเบญจลำแสงไม่ได้มีแค่เจ็ดชุดหรือ? พี่อวี๋ได้มาได้อย่างไร” ชายร่างใหญ่ตกใจจนสะดุ้งโหยง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกงุนงง แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘พระสุเมรุ’ กลับอดที่จะใจเต้นไม่ได้ พลางมองไปยังภาพวาดบนกำแพงอย่างละเอียด
เห็นเพียงม้วนภาพที่สีออกเหลือง คือภาพภูเขาสีเขียวเข้ม บนภูเขามีสิ่งปลูกสร้างอยู่เล็กน้อย แต่กลับลางเลือน ให้ความรู้สึกขมุกขมัว
“หึๆ ทั้งสองสายตาเฉียบแหลมมาก นี่คือภาพเขาพระสุเมรุ ทว่านี่ไม่ใช่หนึ่งในเจ็ดชุดที่เผ่าเบญจลำแสงมองว่าเป็นสมบัติประจำเผ่า แต่เป็นภาพเขาพระสุเมรุที่มีข้อบกพร่องชุดหนึ่งเท่านั้น” เจ้าของร้านเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ของลอกเลียนแบบ?” ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่พลันตะลึงงัน
“ใช่แล้ว เรื่องนี้แม้แต่เผ่าเบญจลำแสงก็มีคนรู้เพียงไม่กี่คน ตอนแรกที่เผ่าเบญจลำแสงใช้กระดูกของนกยูงห้าสีหลอมภาพเขาพระสุเมรุนั้นไม่ใช่เจ็ดชุด แต่เป็นสิบชุด แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือสามชุดในนั้นหลอมออกมาได้ไม่สมบูรณ์ ผลคืออานุภาพลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นสามชุดนี้จึงถูกซ่อนเอาไว้เนิ่นนานแล้ว และไม่เคยแพร่งพรายออกมาภายนอก ด้วยเหตุผลต่างๆ นี้ต่อมาภาพเขาพระสุเมรุทั้งสามชุดจึงถูกคนในเผ่าเบญจลำแสงปล่อยออกมาภายนอก และตกอยู่ในมือของคนเผ่าอื่น ส่วนข้าได้ภาพชุดนี้มาได้อย่างไรนั้น พวกเจ้าสามคนไม่จำเป็นต้องรู้” บุรุษร่างกายผ่ายผอมเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ถึงแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง พี่อวี๋ก็ยังได้ของพระสุเมรุมา ช่างมีวาสนานัก” ชายร่างใหญ่เผยสีหน้าชื่นชมแกมอิจฉาออกมาขณะเอ่ย
ชายหนุ่มหน้าหวานมองภาพทั้งสองม้วน แววตาอดที่จะเผยแววตาละโมบออกมาแวบหนึ่งไม่ได้
แม้นว่าหานลี่จะไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ในใจก็รู้สึกรุ่มร้อนเช่นกัน
ของพระสุเมรุ เป็นหนึ่งในสมบัติที่เขาอยากได้หลังจากมาถึงแดนวิญญาณ ไม่เหมือนกับห้วงมิติเวลาพระสุเมรุปลอมที่ใช้ในรอยแยกของห้วงเวลาในแดนมนุษย์ น่าจะดำรงอยู่อย่างอิสระและเป็นสมบัติห้วงเวลาที่แท้จริงซึ่งสามารถพกติดตัวไปได้ตลอดเวลา
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถิด อสูรวิญญาณตัวนั้นถูกข้าเก็บไว้ในถ้ำนี้” เจ้าของร้านหุบยิ้มบนใบหน้า สะบัดม้วนภาพในมือ
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น
เห็นเพียงบนม้วนภาพมีลำแสงห้าสีเปล่งแสงเจิดจ้า ทันใดนั้นก็สั่นเทากลายเป็นลำแสงผืนหนึ่ง ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในรูปภาพบนกำแพง
เจ้าของร้านบริกรรคมคาถาออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็ชี้ไปที่รูปภาพ
รูปภาพบนกำแพงเปล่งแสงเจิดจ้า และพ่นลำแสงผืนใหญ่ออกมา
ภายใต้การควบคุมของเจ้าของร้าน ลำแสงห้าสีพลันม้วนเอาทุกคนเข้าไปข้างใน
หานลี่ลังเลเล็กน้อยและเลิกต่อต้าน ปล่อยให้ลำแสงห่อหุ้มตนเองเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ลำแสงวิญญาณที่ปกป้องร่างก็ยังคงเพิ่มขึ้นสองสามชั้นอย่างเงียบเชียบ
ผลคือหลังจากที่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ พื้นที่ก็ว่างเปล่า ทั้งหมดไม่มีคนแม้แต่คนเดียว