ท่าทางของแขกทั้งสองเป็นคู่สองสามีภรรยาคู่หนึ่ง กำลังพูดคุยอะไรสักอย่างกับเจ้าของร้าน
ทั้งสองคนหนึ่งมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสูญขั้นต้น คนหนึ่งระดับหลอมสูญขั้นกลาง ส่วนเถ้าแก่ผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับหลอมสูญขั้นปลาย
ผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับนี้ มาเปิดร้านค้าอะไรพวกนี้ทำไมกัน
หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึง
บุรุษและสตรีคู่นั้นเห็นว่ามีคนเข้ามา ก็รู้สึกว่าไม่คุ้นหน้า จึงรู้สึกประหลาดใจ
กลับเป็นเถ้าแก่เจ้าของร้านร่างกายผ่ายผอมผู้นั้นที่แค่เหลือบตามาและไม่สนใจหานลี่อีก พลางพูดคุยกับคนที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสองต่อด้วยท่าทีเกียจคร้าน
“หากหาศิลาดูดวิญญาณไม่พบล่ะก็ พวกเจ้าก็อย่าเพ้อฝันถึงไม้เซียนม่วงเลย! ส่วนศิลาวิญญาณระดับสูงนั้น พวกเจ้าคิดว่าข้าขาดแคลนหรือ?” ตาแก่หนังเหนียวผู้นี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงใหญ่ๆ
“พี่อวี้ ใช้ศิลาดูดวิญญาณมาแลกกับไม้เซียนม่วง เงื่อนไขนี้มันทารุณเกินไปแล้ว เจ้าสิ่งนี้มีอยู่แค่ในหุบเหวลึกเท่านั้น อย่าพูดถึงสองสามีภรรยาผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญอย่างพวกเราเลย แม้แต่อาวุโสในเผ่าก็ไม่กล้าลงไปลึกขนาดนั้น” สตรีที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เอ่ยด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
“ตาเฒ่าไม่สนหรอก เจ้าคิดว่าไม้เซียนม่วงของตาเฒ่าได้มาเพราะลมพัดมารึ? ไม่มีศิลาดูดวิญญาณ เรื่องนี้ก็พักเอาไว้เถิด” เถ้าแก่ร่างกายผ่ายผอมกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
สองสามีภรรยาคู่นี้ได้ยินเถ้าแก่เอ่ยเช่นนั้น แน่นอนว่าพลันหน้าเปลี่ยนสีเป็นอย่างมาก แต่จากนี้ไม่ว่าทั้งสองจะขอร้องอย่างไร ชายชราก็ยังเอ่ยอย่างเย็นชาอย่างไม่ยอมผ่อนปรน
สุดท้ายบุรุษและสตรีผู้นี้จึงทำได้เพียงจากไปด้วยความจนปัญญา
ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่ได้สนทนากับหานลี่แม้แต่ประโยคเดียว
“เด็กเอ๋ย เจ้ามาหาตาเฒ่ามีเรื่องอันใดหรือ?” เถ้าแก่รอจนสองสามีภรรยาคู่นั้นออกไปจากประตู ก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ด้านหลังโต๊ะด้วยท่าทีหงุดหงิด
“ได้ยินว่าท่านอาวุโสขายผลตาข่ายเขียว เป็นเรื่องจริงหรือไม่” หานลี่เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ผลตาข่ายเขียว เป็นหนึ่งในของที่ล้ำค่าที่สุดในร้านข้า ระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่งคงแลกไม่ได้ อย่าเสียเวลาข้าเลย รีบไปซะ” ชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดของหานลี่พลันตกตะลึง หลังจากพิจารณาหานลี่อย่างละเอียดอีกครั้ง้ กลับแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วเอ่ยปากขับไล่หานลี่
“ท่านอาวุโสไม่พูดถึงเงื่อนไข จะรู้ได้อย่างไรว่าชนรุ่นหลังไม่อาจแลกเปลี่ยนของชิ้นนี้ได้” หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ สองเท้าไม่ขยับไปไหน
“หึ ไม้อ่อนไม่ชอบชอบไม้แข็ง!” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมพลันโกรธเกรี้ยว จากนั้นปีกสีเงินที่แผ่นหลังพลันสะบัดมาทางหานลี่
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ชั่วขณะนั้นพลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งก็กดมาทางหานลี่ แม้แต่บรรยากาศรอบๆ ก็เกิดเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น
หานลี่หางตากระตุกและไม่ได้หลบหลีกใดๆ แค่ชูมือขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะวาดนิ้วออกไปราวกับกระบี่
ลำแสงสีทองสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งถูกตัดออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย แฉลบผ่านหานลี่ไปทั้งสองด้าน เกิดเป็นเสียงตูมๆ ดังสนั่นขึ้น
“เอ๋! มิน่าล่ะถึงมั่นใจนัก ดูแล้วคงมีฝีมืออยู่สองสามส่วนจริงๆ” เถ้าแก่ร่างกายผ่ายผอมร้องอุทานออกมาเบาๆ แววตาเปล่งประกายอย่างรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
“ครานี้ชนรุ่นหลังมีคุณสมบัติพอจะทำการแลกเปลี่ยนกับท่านอาวุโสหรือยังขอรับ” หานลี่กลับเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อืม นับว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอก็แล้วกัน ทว่าอยากได้ผลตาข่ายเขียว เจ้านี่ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอก” เถ้าแก่ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“แม้แต่จะแลกเปลี่ยนกับอะไรก็ไม่บอกชนรุ่นหลัง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าน้อยจะนำของที่ท่านอาวุโสต้องการออกมาไม่ได้” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับอมยิ้ม
“ในเมื่อเข้ามั่นใจขนาดนี้ ครานี้ตาเฒ่าไม่มีแขกท่านอื่น บอกเจ้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ความหายากของผลตาข่ายเขียวนั้นไม่ต้องพูดถึง อยากแลกกับของสิ่งนี้ ข้าจะให้ตัวเลือกเจ้าสามข้อ ขอแค่เจ้าทำได้ข้อนึง ผลตาข่ายเขียวก็จะเป็นของเจ้า” เถ้าแก่ขบคิดเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนใจพร้อมสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“สามตัวเลือก ดูแล้วผลตาข่ายเขียวคงได้มายากจริงๆ มิเช่นนั้นท่านอาวุโสจะให้ตัวเลือกที่เยอะขนาดนี้มาทำไม” ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย หานลี่กลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“เจ้ารู้แล้วก็ดี ข้อแรกหากเจ้านำดอกบัวของยมโลกทมิฬหรือว่าผลึกโลหิตทมิฬในตำนานออกมาได้ ข้าจะนำผลตาข่ายเขียวออกมาให้เจ้าทันทีอย่างไม่มีข้อแม้” หลังจากที่ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ก็เอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
“สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ร่ำลือกันมา ในโลกนี้มีของชิ้นนี้จริงหรือไม่ ก็ยังเป็นเรื่องที่พูดยาก ชนรุ่นหลังไม่อาจมีของสองสิ่งนี้ได้” หานลี่สั่นศีรษะ
“หึๆ ของที่ร่ำลือกัน” ชายวัยกลางคนได้ยินใบหน้าก็เผยสีหน้ายิ้มเยาะออกมา
“แต่ในเมื่อตัวเลือกที่หนึ่ง เจ้ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ งั้นตัวเลือกที่สอง ข้าจะพูดถึงของที่เจ้าหาได้แน่ หากในมือของเจ้ามีศิลาวิญญาณระดับสุดยอดห้าหกร้อยก้อน ตาเฒ่าก็พอจะขายผลตาข่ายเขียวให้เจ้าได้ผลหนึ่ง”
“ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดห้าหกร้อยก้อน ท่านอาวุโสเสนอเกินไปแล้ว ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดมากขนาดนั้น เดาว่าอาวุโสในเผ่าก็คงเอาออกมาไม่ได้กระมัง เรื่องนี้ชนรุ่นหลังทำไม่ได้” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง สีหน้าดูไม่ได้
หากอีกฝ่ายพูดว่าศิลาวิญญาณระดับสุดยอดร้อยกว่าก่อน เขาก็จะกัดฟันใช้สมุนไพรวิญญาณที่สะสมไว้จำนวนมากออกมาแลก ไม่แน่ก็อาจจะรวบรวมจนครบได้ แต่จำนวนห้าหกร้อยก้อนนั้น เขาจึงยอมแพ้โดยไม่ต้องคิด
“หึ ของของตาเฒ่า ตาเฒ่าคิดว่าผลตาข่ายเขียวคุ้มค่ากับศิลาวิญญาณขนาดนี้ แน่นอนว่าก็ต้องเสนอเงื่อนไขเช่นนี้” เถ้าแก่กลับเอ่ยอย่างไม่สนใจเลยสักนิด
หานลี่ได้ยินจึงทำได้เพียงหมดคำพูด
“สองทางเลือกแรกเจ้าไม่อาจรับได้ ตัวเลือกสุดท้าย เดาว่าเจ้าก็คงไม่อาจรับได้ ยังอยากฟังอยู่หรือไม่?” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมเอ่ยอย่างเย็นชา
“ท่านอาวุโสลองพูดมาเถิด!” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฟังหานลี่เอ่ยเช่นนี้ เถ้าแก่ก็เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยว่า
“ทางเลือกสุดท้ายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดก็มีคุณสมบัติพอที่จะเลือกได้ ก่อนที่ข้าจะพูดต้องถามเจ้าสักหน่อยว่าเจ้ามีพลังอัสนีหรือไม่?”
“พลังอัสนี?” รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง แล้วรู้สึกประหลาดใจมาก
“ใช่ หากไม่มีความสามารถธาตุอัสนี หรือว่ามีความรู้แค่เล็กน้อย ตาเฒ่าก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงทางเลือกที่สามแล้ว”
“หากเป็นพลังอัสนี ผู้แซ่หานมั่นใจว่าควบคุมได้อยู่บ้าง” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กๆ แต่หลังจากขบคิดแล้ว ก็ตอบไปตามความเป็นจริง
“งั้นหรือ พูดปากเปล่า ลองแสดงให้ตาเฒ่าดูสักหน่อยสิว่าเจ้ามีคุณสมบัติแล้วค่อยว่ากัน” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมกลับไม่คิดจะเชื่อหานลี่ง่ายๆ และดวงตาพลันเปล่งประกายขณะเอ่ย
“ไม่มีปัญหา!” หานลี่เอ่ยปากตอบรับ สองปีกที่แผ่นหลังสะบัดเบาๆ
เสียง “เปรี๊ยะๆ” ของพลังอัสนีพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎบนปีกทั้งสองข้าง จากนั้นก็ตัดสลับกัน ประจุไฟฟ้าทั้งหมดผนึกรวมตัวกัน ชั่วพริบตาลูกบอลอัสนีสีเงินสิบกว่าลูกก็ปรากฎรอบๆ หานลี่
ทุกลูกมีขนาดเท่ากำปั้น กระพริบระยิบระยับส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้นไม่หยุด แต่ความน่ากลัวที่แฝงอยู่ในลูกบอลอัสนีเหล่านี้ ก็ทำให้รูม่านตาของชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมหดเล็กลง เผยสีหน้าตื่นตะลึงระคนดีใจออกมา
“ไม่เลว เจ้ามิได้โอ้อวดดังคาด มีความสามารถด้านอัสนีไม่น้อยเลยจริงๆ ฟังทางเลือกสุดท้ายของข้าได้ ความจริงแล้วนั้นง่ายมาก ทางเลือกสุดท้ายนั้นไม่ได้ให้เจ้าใช้ของมาแลกกับผลตาข่ายเขียว ขอแค่เจ้าช่วยข้าสยบอสูรวิญญาณธาตุอัสนีตัวหนึ่งเท่านั้น”
“สยบอสูรวิญญาณ!” หานลี่แววตาฉายแววประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“อันใด เจ้าคิดว่าง่ายหรือ จะบอกอะไรให้ อสูรวิญญาณตัวนี้ค่อนข้างพิเศษ แม้นว่าข้าจะจับเป็นมันเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจสยบมันได้ ข้าหาคนมาไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดช่วยข้าสยบมันได้จริงๆ และคนจำนวนไม่น้อยที่มีความสามารถไม่พอก็ถูกอสูรตัวนี้แว้งกัดจนได้รับบาดเจ็บ ทว่าหากเจ้ามั่นใจในความสามารถอัสนีของเจ้า ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส แต่บอกเอาไว้ก่อนนะว่าถึงครานั้นหากบาดเจ็บหรือล้มตาย ตาเฒ่าจะไม่สนใจใดๆ” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมกลับเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย
“อสูรวิญญาณธาตุอัสนี? ท่านอาวุโสบอกความจริงกับข้ามาเถิดว่าคืออสูรวิญญาณชนิดใด” หลังจากที่หานลี่ได้ฟังจบก็ขมวดคิ้วมุ่น
“อสูรวิญญาณชนิดใด ข้าจะยังไม่บอกเจ้า เจ้าต้องตัดสินใจจะช่วยข้าก่อน แล้วข้าจะพาเจ้าไปดูอสูรตัวนั้น ถึงครานั้นเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” ดวงตาของชายวัยกลางคนฉายแววเจ้าเล่ห์
ฟังจากคำตอบที่คลุมเครือของอีกฝ่าย หลังจากที่หานลี่ลูบคางไปมา ก็ก่นด่าในใจไม่หยุด แต่ในหัวกลับมีความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้อยู่ในระดับหลอมสูญขั้นปลาย คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจสยบอสูรวิญญาณที่จับเป็นมาตัวหนึ่งได้ มันค่อนข้างแปลกๆ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเผยออกมาว่าต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญพลังอัสนี ถึงจะช่วยได้ ดูแล้วก็ไม่เหมือนกับไม่มีความจริงใจเท่าใดนัก
หานลี่ขบคิดไปชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยปากซักถามอีกครั้ง
“ท่านอาวุโสพูดถึงการสยบนั้น หมายถึงแบบใดถึงจะเรียกว่าสยบ”
“แน่นอนว่าต้องช่วยตาเฒ่า ให้มันยอมให้ข้าจับแต่โดยดี จากนั้นก็รับข้าเป็นายอย่างเป็นทางหาร” ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“หากแบบนี้ล่ะก็ ชนรุ่นหลังยอมช่วยท่านอาวุโสลองดูสักตั้ง” หานลี่เองก็ไม่ลังเลอีก
“เยี่ยมมาก! การรับเป็นนายอย่างเป็นทางการ ตาเฒ่าจำต้องเตรียมตัวสักหน่อย หลังจากนี้สี่วัน เจ้าค่อยมาหาข้าที่นี่ก็แล้วกัน” เถ้าแก่เผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“หลังจากนี้สี่วัน ข้าน้อยจะมาถึงที่นี่ตรงเวลา ชนรุ่นหลังขอตัวลาก่อน” หานลี่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หลังจากประสานกำปั้นคารวะแล้ว ก็กล่าวลาและออกจากร้านไป
มองประตูที่หานลี่จากไปแล้ว ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมก็ยกมือขึ้นลูกไปที่เคราแพะ สายตาเผยแววตื่นเต้นดีใจออกมา
หลังจากที่หานลี่ออกมาจากร้าน ก็ไม่ได้รีบร้อนออกจากวิหารการแลกเปลี่ยนในทันที แต่ไปปรากฎตัวที่หน้าเสาหินแลกเปลี่ยนข่าวสารอีกครั้ง หวังว่าจะพบอะไรที่น่าตกตะลึงระคนดีใจยิ่งกว่าเดิม…
จวบท้องฟ้าเปลี่ยนสี วิหารการแลกเปลี่ยนกำลังจะปิด เงาร่างของหานลี่ถึงได้บินออกจากประตูยักษ์ด้วยความยินดีปรีดา
ครั้งนี้เขาได้กำไรเป็นอย่างมาก นอกจากจะพบร่องรอยของผลตาข่ายเขียวแล้ว ยังพบวัตถุดิบล้ำค่าที่ไม่อาจพบได้ในเผ่ามนุษย์สองสามชนิดจากวิหารการแลกเปลี่ยนของเผ่าวิหคสวรรค์ หนึ่งในนั้นมีทั้งวัตถุดิบหลอมอาวุธ และสมุนไพรวิญญาณ
สมุนไพรต้นหนึ่งยังสามารถใช้ผสมกับแมลงผลึกกระดูกทองเป็นสมุนไพรหลักอีกชนิดที่ใช้หลอมรูปมารเที่ยงแท้พรามหณ์ศักดิ์สิทธิ์
นี่ทำให้หานลี่ดีใจเกินคาด
ขอแค่เขาหาสมุนไพรอีกสองชนิด ก็สามารถรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดได้ครบ และหลอมรูปภาพเที่ยงแท้ได้แล้ว
หานลี่ขบคิดในใน ร่างทั้งร่างกลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่ง บินไปยังที่พัก
พรุ่งนี้ก็คือวันที่สามที่นัดกับมหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์เอาไว้
หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนี เผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา ราวกับว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น