“ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ทางที่ดีที่สุดพวกเราก็ควรกลับไปยังเผ่า เผ่าแดงสดเหล่านั้นไล่ล่าสังหารพวกเราได้ครั้งหนึ่ง ระหว่างทางอาจจะเกิดการไล่ล่าสังหารครั้งที่สองก็เป็นได้ จากนี้พวกเราสามคนคงต้องพึ่งกำลังพี่แล้ว!” เมื่อมั่นใจว่าหานลี่เป็นชาววิหคสวรรค์ เฟิงเสี้ยวก็ไม่ปิดบังแผนการของตนเอง เอ่ยขอร้องหานลี่ด้วยความจริงใจ
คนที่เหลืออีกสองคนใช้สายตารอคอยมองมาทางหานลี่
ความสามารถที่หานลี่เพิ่งสำแดงออกมาเมื่อครู่ช่างน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง หากมีคนในเผ่าเดียวกันที่มีความสามารถเกรียงไกรคนหนึ่งคอยติดตาม ระยะทางต่อจากนี้ก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว
“ก็ได้ ในเมื่อข้าน่าจะเป็นชาววิหคสววรรค์ ลงแรงเพื่อเผ่า ก็เป็นเรื่องที่สมควร” หานลี่ขบคิดเล็กน้อย แล้วตอบตกลง
นี่คือโอกาสที่เขาจะแอบปะปนเข้าไปในเผ่าวิหคสวรรค์ จะปฏิเสธได้อย่างไร
“ต้องรบกวนพี่หานแล้ว! หลังจากกลับไป ผู้แซ่เฟิงจะรายงานคุณงามความดีของพี่กับท่านอาวุโส” เมื่อได้ยินคำนี้ เฟิงเสี้ยวก็เอ่ยขอบคุณอย่างต่อเนื่อง
ที่เหลืออีกสองคนก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมาเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำว่า ‘รายงานคุณงามความดี’ หานลี่ก็มีท่าทีไม่คิดเช่นนั้น แต่สายตากลับกวาดไปพิจารณาตาข่ายเส้นไหมสีฟ้ารอบๆ แล้วฉีกยิ้มพลางเอ่ยว่า
“ไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก พวกเราออกเดินทางกันเถิด ตาข่ายกักมารนี้ข้าเป็นผู้ทลายมันเอง”
เอ่ยจบหานลี่ก็ใช้มือหนึ่งชี้ไปที่ตาข่ายเส้นไหมที่อยู่ไกลออกไป วิหคเพลิงที่แต่เดิมบินวนอยู่รอบๆ พลันเปล่งเสียงร้องอันไพเราะน่าฟังออกมา กลายเป็นเปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เมื่อเปลวเพลิงสีเงินสัมผัสกับตาข่ายเส้นไหมสีฟ้า ก็เกิดเป็นรูขนาดใหญ่ จากนั้นเปลวเพลิงสีเงินก็แผ่ขยายออกไปตามตาข่ายเส้นไหมอย่างรวดเร็ว!
ตาข่ายเส้นไหมสีฟ้าขนาดใหญ่ถูกเผาจนมอดไหม้ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงินภายในชั่วลมหายใจ
สิ่งที่เรียกว่าตาข่ายกักมารเมื่ออยู่ตรงหน้าเพลิงกลืนวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานการโจมตีได้ราวกับกระดาษ
ทั้งสามคนของวิหคสวรรค์มองจนตาค้าง
พวกเขารู้สึกว่าตัวเองดูเหมือนว่าจะดูถูกความสามารถของคนในเผ่าคนใหม่ไปหน่อยจริงๆ
“เอาล่ะ ไปกันเถิด!”
หานลี่เอ่ยจบสองมือพลันร่ายอาคม เปลวเพลิงสีเงินที่อยู่ไกลออกไปผนึกรวมตัวกันอีกครั้ง สร้างภาพลวงตาเป็นวิหคเพลิงบินกลับมาอีกครั้ง แล้วจมหายเข้าไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอย
ทันใดนั้นทั้งสี่คนก็ร่วมเดินทางกัน พุ่งไปยังขอบฟ้าที่ไกลออกไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหานลี่รักษารูปลักษณ์ของมนุษย์เอาไว้หรือเปล่า ชาววิหคสวรรค์ทั้งสามจึงไม่ได้กลายเป็นวิหคยักษ์ แค่บินไปข้างหน้าท่ามกลางลำแสงสีเงินที่ห่อหุ้มตัวเท่านั้น
หานลี่รู้สึกสนใจความสามารถในการแปลงกายของคนเผ่าวิญญาณเหาะเหิน แต่ก็ไม่ได้ซักถามเรื่องนี้
แค่อาศัยข้ออ้างเล็กๆ ว่าตัวเองมาจากนอกมหาสมุทร สอบถามเรื่องของเผ่าวิญญาณเหาะเหินและเผ่าวิหคสวรรค์จำนวนมาก
เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ความลับอะไร เฟิงเสี้ยวและพวกทั้งสามจึงตอบกลับตลอด
เช่นนั้นหานลี่ไม่เพียงจะเข้าใจเผ่าวิญญาณเหาะเหินและเผ่าวิหคสวรรค์เป็นอย่างมาก และยังรู้ว่าบุรุษและสตรีวัวยเยาว์ของเผ่าวิหคสวรรค์คู่นี้เป็นพี่น้องกัน
คนพี่นามว่าไป๋เสวี่ย คนน้องนามว่าไป๋หนิง
แน่นอนว่าทั้งสามคนเป็นชาววิหคสวรรค์ และเอ่ยถามหานลี่ด้วยเจตนาแต่ไม่ได้เจตนาเล็กน้อย แต่ล้วนถูกหานลี่อ้างว่าตนเองฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก จึงไม่ค่อยได้พูดคุยกับคนอื่นๆ มาเป็นข้ออ้างไป
เมื่อเห็นหานลี่ไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวของตนเอง เฟิงเสี้ยวและพวกก็ไม่ได้ซักถามต่ออย่างรู้จักวางตัว
สำหรับพวกเขาแล้วขอแค่อีกฝ่ายเป็นชาววิหคสวรรค์จริงๆ นั่นก็เพียงพอแล้ว
จากนั้นเฟิงเสี้ยวก็พาหานลี่ข้ามผ่านเนินเขาต่างๆ บินผ่านผืนหญ้าและป่าไม้มาสองสามแห่ง ในที่สุดก็มาถึงหน้าเทือกเขายักษ์ที่กว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา
และนั้นก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว
ระหว่างนี้ก็ไม่พบชาวเผ่าแดงสดมาขัดขวางอีก แต่กลับพบชาวเผ่าวิหคสวรรค์ระดับต่ำจำนวนไม่น้อยเคลื่อนไหวอยู่
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเหมือนว่าคนในเผ่าเหล่านี้จะมีท่าทีไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเผ่า
เช่นนั้นจึงทำให้ความรู้สึกร้อนใจของเฟิงเสี้ยวและพวกพลันผ่อนคลายลงหลายส่วน
ดูแล้วไม่ใช่คนของเผ่าแดงสดที่โกหก ก็คงเป็นเพราะชนชั้นสูงของเผ่าวิหคสวรรค์ปิดข่าวเอาไว้ นี่จึงไม่ทำให้ในเผ่าวิหคสวรรค์เกิดความวุ่นวาย ยังคงรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยเอาไว้ได้
หลังจากที่เข้ามาในเทือกเขา ระหว่างทางก็พบกับชาวเผ่าวิหคสวรรค์จำนวนมาก
หนึ่งในนั้นมีทั้งวิหคยักษ์แปลงกายบินไปมา และมีทั้งคนที่ใช้รูปลักษณ์ของมนุษย์เดินไปบนถนนอย่างไม่รีบร้อน
ขณะที่หานลี่กำลังให้ความสนใจนั้นก็พบว่าชาวเผ่าวิหคสวรรค์ที่พบระหว่างทาง ถึงแม้นว่าจะมีปีกและรูปทรงจะเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว แต่สีกลับมีหลากหลายไม่เหมือนกัน
ปีกของชาวเผ่าวิหคสวรรค์มีสีเขียวและสีขาวมากที่สุด รองลงมาคือเหมือนกับเฟิงเสี้ยวและพวกอย่างไรอย่างนั้นคือมีขนสีเงิน
นอกจากนี้ยังมีสีทองและดำสองสี แต่จำนวนของเผ่าวิหคสวรรค์เหล่านี้กลับน้ยอมาก ตลอดทางที่หานลี่ผ่านมา ก็แทบจะเห็นชาววิหคสวรรค์สวรรค์มีปีกสองสีนี้แค่สองสามคน
สีปีกที่กล่าวถึงสามสีแรกล้วนไม่มีอะไรพิเศษ แต่สองสีหลังนั้นเฟิงเสี้ยวกละพวกทั้งสามกลับมีท่าทีไม่เหมือนกัน
เมื่อพบกับผู้ที่มีปีกสีทอง แม้นว่าพลังยุทธ์จะต่ำกว่าพวกเขา เฟิงเสี้ยวและพวกก็แสดงออกอย่างนอบน้อมมาก เป็นฝ่ายเข้าไปทักทายคารวะ แต่ชาวเผ่าวิหคสวรรค์ที่มีปีกสีดำอีกสองคน เฟิงเสี้ยวและพวกกลับมีสีหน้าปั้นปึ่ง ทั้งไม่เข้าไปหา และไม่ทักทาย คาดไม่ถึงว่าจะบินผ่านทั้งสองไปราวกับมองไม่เห็น
ส่วนชาวเผ่าวิหคสวรรค์ที่มีปีกสีดำสองคนนั้นกลับมีพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่ากลุ่มของเฟิงเสี้ยว
หานลี่รู้สึกสนใจและรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับข้อห้ามของเผ่าวิหคสวรรค์ ดังนั้นจึงทำเป็นนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีจะซักถามเรื่องนี้
ผลคือหลังจากบินเข้าไปในเทือกเขาได้สามวันสามคืน ในที่สุดกลุ่มของพวกเราก็มาพบกับกลุ่มชาววิหคสวรรค์ที่ลาดตระเวนอยู่
คนกลุ่มนี้บินเข้ามา มีประมาณสามสิบกว่าคน ทุกคนล้วนสวมเกราะสีขาว มือหนึ่งถือหอกยาวเปล่งแสงสีเงินเอาไว้ ดูจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมา พลังยุทธ์น่าจะอยู่ในระดับสร้างปราณและหลอมรวม
แต่จากภารกิจลาดตระเวนแล้ว ก็นับว่าเป็นกลุ่มที่เป็นหัวกะทิ
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำเห็นกลุ่มของเฟิงเสี้ยว ชั่วขณะนั้นพลันดีอกดีใจ รีบร้อนเข้ามาคารวะ
“คารวะท่านแม่ทัพเฟิงและท่านแม่ทัพไป๋ เหล่าอาวุโสมีคำสั่งว่าหลังจากที่ทั้งสามท่านกลับมาแล้วไปไปที่หอหมื่นวิหคทันที เอ๋ อรหันต์ผู้นี้คือ…” หลังจากที่ชาวเผ่าวิหคผู้นั้นเอ่ยจบแล้ว สายตาก็ตกมาที่เรือนร่างของหานลี่ จึงอดที่จะรู้สึกแปลกใจเล็กๆ ไม่ได้
“นี่คือพี่หานที่กักตนบำเพ็ญเพียรอยู่นอกมหาสมุทรมาตลอด ครั้งนี้จึงพาพี่หานจะกลับมายังเผ่าอีกครั้ง ขอโทษด้วย ดูแล้วพวกเราสามคนต้องไปพบท่านอาวุโส ท่านไปพักผ่อนที่เรือนรับแขกในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก่อนเถิด จากความสามารถของพี่หาน เหล่าอาวุโสจะต้องเรียกพบแน่” เฟิงเสี้ยวได้ฟังว่าอาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์เรียกพบพวกเขา หลังจากหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ก็เอ่ยกับหานลี่ทันที
“ไม่เป็นไร ข้าน้อยเพิ่งจะกลับมายังเผ่าเป็นครั้งแรก แต่เดิมก็คิดจะเดินดูอะไรตามลำพังอยู่แล้ว พี่เฟิงไปจัดการธุระก่อนเถิด” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“แดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเราใหญ่โตมาก เกรงว่าพี่หานคงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะคุ้นเคย นี่คือแผ่นป้ายของข้า นอกจากเขตต้องห้ามที่เข้าไปไม่ได้แล้ว ที่เหลือพี่หานลี่ก็ใช้แผ่นป้ายนี้สำรวจดูได้ตามสบาย ไม่มีใครขัดขวางแน่ พวกเจ้าส่งคนมานำพี่หานไปที่เรือนรับแขกคนหนึ่ง” เฟิงเสี้ยวขบคิดเล็กน้อย ก็ควักแผ่นป้ายไม้มาโยนให้หานลี่ และหันกายไปออกคำสั่งกับชายวัยกลางคนเผ่าวิหคสวรรค์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ขอรับ” เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของเฟิงเสี้ยวในเผ่าวิหคสวรรค์นั้นไม่ต่ำต้อยเลย หัวหน้ากลุ่มลาดตระเวนระดับหลอมรวมผู้นั้นตอบกลับอย่างนอบน้อม
“พี่เฟิง ช่างใส่ใจจริงๆ!” หานลี่ยิ้มรับ
“ที่ไหนกัน! ความจริงแล้วข้าน้อยก็ต้อนรับอย่างไม่เต็มที่แล้ว หลังจากจัดการธุระเสร็จ ข้าจะพาพี่หานชมเมืองด้วยตนเอง” เฟิงเสีย้วกลับตอบกลับด้วยท่าทีรู้สึกผิด
ทันใดนั้นเขาและพี่น้องตระกูลไป๋ ก็คารวะหานลี่ แล้วรีบร้อนกลายเป็นวิหคยักษ์สีเงินสามตัวจากไป พุ่งไปทางด้านหน้า
“ฮว่าอวี่ เจ้าพาอรหันต์ไปที่เรือนรับแขก จะต้องดูแลให้ดี ห้ามดูแคลน!” รอจนเฟิงเสี้ยวจากไปไกลแล้ว ชายวัยกลางคนเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นั้นก็ชี้ไปยังบุรุษเผ่าวิหคสวรรค์อายุประมาณสิบแปดสิบเก้าอี้คนหนึ่งในบรรดาลูกน้อง แล้วออกคำสั่งเสียงเข้ม
บุรุษผู้นั้นมีท่าทางสง่างาม ค้อมตัวลงตอบรับทันที
หลังจากนั้นชายวัยกลางคนก็ออกคำสั่งอีกสองสามประโยค แล้วคารวะหานลี่ พลางนำทัพลาดตระเวนจากไป
หานลี่จึงเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาต่อโดยมีบุรุษนามว่าฮว่าอวี่เป็นผู้นำทาง
บุรุษเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้มีท่าทีนอบน้อมต่อหานลี่เป็นอย่างมาก นอกจากหานลี่จะเอ่ยปากซักถามแล้ว ก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายเอ่ยอะไรออกมาก่อน
แต่จากระดับสร้างปราณเล็กๆ อย่างเขา ก็ไม่อาจรู้เรื่องสำคัญอะไรมากนัก ดังนั้นหานลี่เอ่ยถามแค่สองสามคำ ก็ขี้เกียจจะเอ่ยปากถามอีก
หลังจากที่บินตามคนผู้นี้ไปสองสามชั่วยาม เบื้องหน้าก็มีภูเขาน้อยสูงต่ำลดหลั่นกันไปสิบกว่าลูกปรากฎขึ้น เรียงรายปิดทางเข้าเอาไว้
กลางอากาศเหนือภูเขาเหล่านี้มีเมฆสีดำปกคลุม สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ เสียงฟ้าคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่อาจทะลุผ่านไปได้ง่ายๆ
เมื่อเห็นฉากนี้หานลี่พลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง
จากความสามารถด้านเขตอาคมที่ไม่ธรรมดาของเขา มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ว่าภูเขาน้อยเหล่านี้หรือเมฆดำทะมึนกลางอากาศนั้นล้วนเป็นภาพลวงตา ถูกคนวางเขตอาคมที่ยอดเยี่ยมเอาไว้
ดังคาดหลังจากที่ฮว่าอวี่พาหานลี่บินมาหน้าภูเขาน้อยๆ ลูกหนึ่ง ปีกทั้งสองพลันสยายออก ชั่วขณะนั้นขนนกสีขาวนวลเส้นหนึ่งพลันบินออกมาจากร่าง สว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ
เสียง “ปัง” ดังขึ้น
ภูเขาทั้งลูกเบื้องหน้าของหานลี่บิดเบี้ยวเริ่มลางเลือนราวกับเงาสะท้อนในแม่น้ำ หลังจากสั่นเทาสองสามครั้ง ภูเขาน้อยก็สลายหายไปราวกับฟองสบู่ เบื้องหน้ามีทางเดินยักษ์สีขาวโพลนปรากฎขึ้น
ชายหนุ่มบินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
หานลี่พลันขมวดคิ้วและกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวไล่ตามไปเช่นกัน
ทางเดินนี้ทอดยาวสองสามร้อยจั้ง หลังจากที่สายรุ้งสีเขียวพุ่งออกมา หานลี่ก็รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าเปล่งประกายเจิดจ้า
เมืองขนาดยักษ์ที่ไม่อาจมองเห็นปลายทางได้พลันปรากฎขึ้นสู่สายตา
เมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากภูเขา ทั้งสี่ทิศล้วนมีภูเขายักษ์สีเขียวมรกตสูงประมาณหมื่นจั้ง และกำแพงเมืองที่เข้ามาสู่ครรลองสายตานั้นก็สร้างขึ้นจากอิฐยักษ์สีขาวบริสุทธิ์ ไม่ถือว่าสูงนัก มีขนาดแค่ยี่สิบจั้งเศษ
ครานี้ประตูเมืองไม่ได้เปิดอยู่ บนท้องฟ้าถูกลำแสงสีขาวโพลนหนาๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ แต่แค่สองสามแห่งบนกำแพงเมือง มีเสายักษ์หลากสีสันสิบกว่าต้นตั้งตระหง่านอยู่ แผ่ลำแสงจางๆ ออกมา
มีชาวเผ่าวิหคสวรรค์จำนวนมากกระพือปีกบินผ่านระหว่างเสาขนาดยักษ์เข้าไปในเมือง