A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1712 วิมานในฉากกั้น

เมื่อวิหคเพลิงตัวนี้ปรากฏตัวขึ้น ก็เปล่งเสียงร้องกู่ก้องในทันใด

หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฝ่ามือหยกสีขาวบริสุทธิ์ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ

นิ้วทั้งห้าหงิกงอ แล้วร่ายอาคมอย่างต่อเนื่อง

ปลายนิ้วมีเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ทุกสายโจมตีไปที่วิหคเพลิงสีทอง ล้วนทำให้ลำแสงที่พุ่งมาหม่นแสงลงไปไม่น้อย

เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีโจมตีไปบนตัวของวิหคสีทอง ทำให้เปลวเพลิงสีทองส่งเสียงกรีดร้องแล้วหม่นแสงลง ทันใดนั้นลำแสงก็สว่างวาบแล้วกลับคืนเป็นยาลูกกลอนสีทองเม็ดหนึ่งดังเดิม

ยาลูกกลอนมีขนาดเท่าหัวแม่มือ ผิวของมันมีลวดลายเต็มไปหมด ประกอบกับแสงสีทองเรืองรองและสิ่งที่แสดงออกมาเมื่อครู่ ดูแล้วช่างมหัศจรรย์จริงๆ

“ไม่ผิดแน่ ยาลูกกลอนชนิดนี้คือยาลูกกลอนวิญญาณสูญ” พริบตาที่ยาลูกกลอนกลับคืนสภาพเดิมแววตางดงามของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็เปล่งประกายดีใจ ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงน่าเอ็นดู

สือคุนจ้องเขม็งไปยังยาลูกกลอน ใบหน้าเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างยากที่จะระงับเอาไว้ออกมาเช่นกัน แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พลางเอ่ยถามหานลี่อย่างร้อนรน

“พี่หาน หรือว่าในขวดมียาลูกกลอนวิญญาณสูญเพียงเม็ดเดียว?”

หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ไม่ได้ตอบกลับอันใด แต่มือหนึ่งพลันร่ายอาคมชี้ไปที่ขวดสีม่วงทอง

ขวดสั่นเทาเล็กน้อย ปากขวดมีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นเสียงอึกทึกก็ดังขึ้น วิหคเพลิงสีทองอีกตัวหนึ่งบินออกมาจากด้านใน

“เยี่ยมมาก ยังมีอีกเม็ด!” สือคุนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็หัวเราะร่าอย่างดีใจ

“ท่านอาวุโสทั้งสองอยากได้ยาลูกกลอนชนิดนี้ หากยาลูกกลอนวิญญาณสูญมีสองเม็ด ก็แบ่งได้คนละเม็ดพอดี สหายทั้งสองไม่มีความเห็นอันใดสินะ” หลังจากที่หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา ก็เอ่ยถามทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามอย่างมีเลศนัย

หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็มองสบตากันแวบหนึ่ง

สือคุนมีสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนแววตางดงามของหลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับสดใสเปล่งประกาย

“ตกลงตามนี้เถิด แม้ว่าท่านอาจารย์จะรับสั่งอย่างเข้มงวดว่าให้ผู้แซ่สือเอายาลูกกลอนวิญญาณสูญกลับมาทั้งหมด แต่ในเมื่อเซียนหลิวไม่ยอมถอยให้ ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้แล้ว” หลังจากที่สือคุนลังเลเล็กน้อย ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย

“น้องหญิงไม่มีความเห็นอันใด หากไม่ได้กลับไปมือเปล่า ก็นับว่ารายงานกับท่านอาจารย์ได้แล้ว” แววตาเย็นชาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ผ่อนลง แล้วเอ่ยยอมรับอย่างเชื่องช้า

หานลี่เห็นทั้งสองคนล้วนไม่มีเจตนาขัดข้องก็พยักหน้า พลิกฝ่ามือชี้ไปที่ยาลูกกลอนสองเม็ดกลางอากาศ

เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น!

ยาลูกกลอนสีเหลืองทองสองเม็ดพุ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบก็แยกกันพุ่งไปหาหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองคน

หลิวสุ่ยเอ๋อร์ยกมือเรียวขึ้น ตะปบยาลูกกลอนเข้ามาอยู่ในมือ

สือคุนพลันอ้าปากออกพ่นหมอกลำแสงสีเหลืองออกมา

หมอกลำแสงม้วนวน ยาลูกกลอนถูกดูดเข้ามาในทันที

จากนั้นชายร่างใหญ่ถึงได้หยิบยาลูกกลอนออกมาจากหมอกลำแสงด้วยสีหน้าราบเรียบ

แม้ว่าทั้งสองจะมั่นใจว่ายาลูกกลอนชนิดนี้คือยาลูกกลอนวิญญาณสูญ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แน่นอนว่าพวกเขาจึงใช้เคล็ดวิชาลับตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

คนหนึ่งบริกรรมคาถา ร่ายคาถาใส่ยาลูกกลอนในมืออย่างต่อเนื่อง อีกคนหนึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม แค่จ้องเขม็งไปยังยาลูกกลอนในมือ ร่างกายนิ่งงัน

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ทั้งสองก็หยุดการเคลื่อนไหว มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจแล้วถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

“ครั้งนี้ลำบากพี่หานแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าพวกเราคงไม่อาจมาถึงที่นี่และเอายาลูกกลอนวิญญาณมาได้อย่างราบรื่นแน่” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ใช้ขวดที่พกมาด้วยบรรจุยาลูกกลอนลงไป แล้วส่งยิ้มเบิกบานขณะเอ่ยกับหานลี่

“ตอนแรกข้าน้อยได้ประโยชน์จากท่านอาวุโส ออกแรงหน่อยก็สมควรแล้ว” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่คิดเช่นนั้น

“พี่หานถ่อมตนเกินไปแล้ว ทว่าในขวดนั้นยังมียาลูกกลอนอื่นอยู่หรือไม่” หลังจากที่สือคุนได้รับยาลูกกลอนเช่นกัน ก็มองไปยังขวดสีม่วงทองที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยปากถามขึ้น

เมื่อได้ยินสือคุนถามเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ใจเต้น แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ

“หึๆ คิดไม่ถึงว่าสหายสือจะละโมบเช่นนี้ มียาลูกกลอนวิญญาณสูญเม็ดที่สามหรือไม่ สหายไปดูเองเถิด” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา ทันใดนั้นก็พลิกฝ่ามือร่ายอาคมกระตุ้นไปกลางอากาศ

ขวดสีม่วงทองกลายเป็นลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งพุ่งไปหาสือคุน

แม้ว่าสือคุนจะรู้ว่าหานลี่ไม่ค่อยพอใจนัก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับยาลูกกลอนวิญญาณสูญ จึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วตะปบมือไปทางขวดใบเล็ก ใช้จิตสัมผัสกวาดไปในขวด

แต่ในขวดนั้นว่างเปล่า ไหนเลยจะมียาลูกกลอนวิญญาณเม็ดที่สามอยู่ด้านใน

ใบหน้าของสือคุนมีสีหน้าผิดหวังฉายแวบผ่าน แต่เมื่อขบคิดอย่างรวดเร็ว ก็หันหน้าไปหัวเราะกับหญิงสาวสวมงอบแล้วเอ่ยว่า

“เซียนหลิวจะดูหรือไม่”

เขาเอ่ยพลางถือขวดเอาไว้ในมือหมายจะโยนไปทันที

แต่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดเล็กน้อย กลับสั่นศีรษะแล้วเอ่ยว่า

“พี่หานและพี่สือดูแล้ว น้องหญิงจะดูเรื่องให้ยุ่งยากอีกทำไมกัน น้องหญิงจะไม่เชื่อสหายทั้งสองได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินหลิวสุ่ยเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ สือคุนก็ไม่รู้จะพูดอันใดอีก ทำได้เพียงฉีกยิ้มแหยๆ ให้กับหานลี่ แล้วโยนขวดกลับไป

หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ แต่กลับสะบัดแขนเสื้อ หมอกลำแสงสีเขียวม้วนวนออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วขวดสีม่วงทองก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

ยามต่อมาหานลี่จึงหยิบของอีกสองสิ่งออกมาจากในหม้อ ล้วนเป็นวัตถุดิบหายากที่แทบจะหายสาบสูญไปจากแดนวิญญาณแล้ว และล้วนเป็นสิ่งที่ไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นต้องการ

เป็นเพราะของเหล่านี้มีเพียงหนึ่งชิ้น จึงถูกหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองเอาไปกันคนละชิ้น โดยไม่ได้ขัดแย้งอันใดเช่นกัน

เช่นนั้นนอกจากสมบัติสามชิ้นที่ได้มาตอนแรกแล้ว ของที่เหลือก็ถูกทั้งสองคนแบ่งกันไป

ในหม้อไม่มีสิ่งใดอีก

ครั้งนี้แม้แต่สือคุนก็ไม่ได้สงสัยอันใดอีก

ถึงอย่างไรเสียตอนแรกที่ดวงแสงสีทองถูกเส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ ก็มีแค่สองสามลูกเท่านั้น

“พี่หาน สมบัติที่เจ้าเก็บเอาไว้ทั้งสามชิ้นล้วนไม่ใช่สิ่งที่ท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วนต้องการ พวกเรามาแบ่งกันเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์รอจนหานลี่เก็บหม้อนภาสูญแล้ว ก็ฉีกยิ้มขณะเอ่ย

“ฮ่าๆ ใช่แล้ว สมบัติมีสามชิ้นก็แบ่งคนละชิ้นพอดี พี่หานไม่ต้องเกรงใจ เลือกก่อนเถิด” สือคุนดูเหมือนว่าจะใจกว้างขึ้นมา

หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยินพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ตอบตกลงพร้อมกับอมยิ้ม

ทว่านั่นก็ปกติมาก

ไม่ว่าน้ำเต้าสีทอง สมบัติหอคอย หรือว่าจานอาคมหกเหลี่ยม อาศัยเพียงตาเนื้อและจิตสัมผัสกวาดผ่านไป ล้วนไม่อาจตัดสินประโยชน์และอานุภาพของมันได้ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ เลือกก่อนหรือหลังล้วนไม่มีความหมายอันใด

หานลี่ได้ฟัง มุมปากก็หยักรอยยิ้ม และเอ่ยอย่างแช่มช้า

“ในเมื่อสหายทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานจะปฏิเสธก็จะเป็นการไม่เคารพ หากข้าเลือกสมบัติเหล่านี้แล้ว ไม่ทราบว่าที่เหลืออีกสองชิ้น สหายทั้งสองจะเลือกกันอย่างไร”

เอ่ยจบหานลี่ก็สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นของสองสิ่งก็บินออกมา ลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า

นั่นก็คือหอคอยสีทองและจานอาคมหกเหลี่ยม!

น้ำเต้าสีทองที่ปรากฏตัวแรกสุด กลับถูกหานลี่เก็บเอาไว้

แม้ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนจะรู้สึกตกตะลึงกับการเลือกของหานลี่ไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้วางใจมากนัก กลับจ้องเขม็งไปยังสมบัติวิเศษอีกสองชิ้น ต่างฝ่ายต่างคิดไม่ตก

“น้องหญิงเลือกหอคอยสีทอง ที่เหลือให้สหายก็แล้วกัน พี่สือคิดว่าอย่างไร?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ชิงเอ่ยปากก่อน

“ได้ ข้าเอาชิ้นสุดท้ายก็แล้วกัน” สือคุนลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็พยักหน้ายอมรับข้อเสนอของหลิวสุ่ยเอ๋อร์

“น้องหญิงต้องขอบพระคุณพี่สือที่ยอมถอยให้” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยินพลันฉีกยิ้ม ยกมือขึ้นกวักไปฝั่งตรงข้าม

ชั่วขณะนั้นสมบัติหอคอยสีทองที่อยู่ตรงหน้าของหานลี่ก็เปล่งเสียงร้องแล้วบินมา ถูกหญิงสาวผู้นี้เก็บเข้าไปในมือ

สือคุนย่อมสำแดงฝีมือ เก็บจานอาคมหกเหลี่ยมกลับไปเช่นกัน

ทั้งสามคนจึงได้มองสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนมีท่าทียินดีเป็นอย่างมาก

“พี่หาน เซียนหลิว หม้อสีทองนี้เจ้าสองคนคงไม่แย่งกับผู้แซ่สือหรอกกระมัง สิ่งนี้ให้ข้าน้อยเก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์เถิด” ฉับพลันนั้นสือคุนก็สาวเท้ามาสองสามก้าว เดินมาอยู่ตรงหน้าหม้อโบราณสีทอง เบะปากขณะเอ่ย

มือหนึ่งตบออกไป ชั่วขณะนั้นหม้อสีทองพลันเปล่งแสงเจิดจ้า หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็มีขนาดเท่ากำปั้น ถูกชายร่างใหญ่ตะปบเอาไว้ในมือ

เมื่อเห็นการกระทำอันบุ่มบ่ามของสือคุน หานลี่ก็ขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบว่า

“ในเมื่อพี่สือสนใจสิ่งนี้ ผู้แซ่หานก็ไม่มีความเห็น ขอแค่เซียนหลิวตกลง ก็เอาไปเถิด”

“หม้อใบนี้เป็นสมบัติที่ใช้บรรจุของสำคัญขั้นสุดยอด น้องหญิงเองก็อยากเก็บเอาไว้ แต่ถูกพี่สือชิงไปก่อน หากเป็นเช่นนั้น น้องหญิงก็ไม่แย่งชิงแล้ว ให้สหายเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองหม้อสีทอง แววตาเปล่งประกาย เผยสีหน้าเสียดายออกมา

ในเมื่อของสิ่งนี้ถูกสือคุนถือไปแล้ว แม้ว่านางจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ทำได้เพียงกล่าวเช่นนี้

สือคุนหัวเราะหึๆ ออกมา แล้วยัดหม้อสีทองเข้าไปในแขนเสื้อด้วยท่าทีทระนงองอาจ เปล่งแสงสว่างแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นพลันเหลือบตามอง กลับพบว่าหานลี่มาจ้องเขม็งมองอันใดสักอย่างอยู่ที่ฉากกั้นห้องตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้

“พี่หาน เจ้าพบอันใดหรือ?” ชายร่างใหญ่เห็นหานลี่มองอย่างเหม่อลอย ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

“ของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา” หานลี่ตอบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

สือคุนได้ยินคำนี้ก็รู้สึกหมดคำพูด

ฉากกั้นห้องนี้สามารถกลืนกินจิตสัมผัสของพวกเขาได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ของธรรมดา คำตอบที่เขาต้องการ แน่นอนว่าไม่ใช่คำพูดที่คลุมเครือเช่นนี้

แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กลับไม่อาจซักถามต่อได้ จึงทำได้เพียงเบิกตาทั้งสองข้าง ใช้เคล็ดวิชาลับต่างๆ ที่ไม่ซ้ำกัน ถึงจะตรวจสอบระดับของฉากกั้นห้องนี้ได้

ร่างบางของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่อีกด้านเองก็ยืนอยู่หน้าฉากกั้นห้อง แววตาเผยแววครุ่นคิดอันใดสักอย่างออกมา

และในยามนั้นเอง ร่างของหานลี่พลันพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะอ้อมไปด้านหลังฉากกั้นห้อง

ยกมือทั้งสองข้างขึ้น นิ้วทั้งสิบร่ายอาคม ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ อาคมหลากสีดีดออกมาเต็มไปหมด ทยอยกันพุ่งไปที่ฉากกั้นห้อง

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหานลี่

สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันตกตะลึง ทยอยกันหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเอง มองไปที่หานลี่พร้อมกัน

และในยามนั้นเอง ปากของหานลี่ก็ร้องตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา หว่างคิ้วมีไอสีดำหมุนติ้วๆ ปรากฏขึ้น จากนั้นก็ผนึกรวมตัวกลายเป็นเนตรสีดำสนิท

เนตรดวงนี้เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นก็พ่นเสาลำแสงสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือออกมาโจมตีไปยังฉากกั้นห้อง

ชั่วขณะนั้นด้านหลังฉากกั้นห้องก็เปล่งเสียงอึกทึกขึ้น หมอกลำแสงเจ็ดสีเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมา ม้วนวนรอบหานลี่ แล้วบินกลับไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ด้านหลังฉากกั้นห้องว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะหายตัวไปเช่นนั้นอย่างไร้ร่องรอย

สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันใจหายวาบ ขยับกายโดยไม่ต้องคิด อ้อมไปที่ด้านหลังฉากกั้นห้องเช่นกัน

ผลคือเห็นเพียงม่านลำแสงสีเขียวในฉากกั้นห้อง มีตัวอักษรโบราณสีม่วงปรากฏขึ้น

“วิมานในฉากกั้น”

หลังจากนั้นรูม่านตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันหดเล็กลง แล้วเอ่ยพึมพำบริกรรมคาถาออกมา

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset