มองจากที่ไกลๆ เทือกเขาเทือกนี้ล้วนเต็มไปด้วยยอดเขาสูงชัน ติดกันเป็นลูกๆ หนาแน่นจนไม่รู้ว่ามีมากเท่าไหร่
แม้ว่าจะยังไม่ได้เข้าไป แต่กลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากในภูเขา ก็ทำให้หานลี่รู้สึกตกตะลึงไปส่วนหนึ่ง
ทว่าเช่นเดียวกันไอวิญญาณในเทือกเขานั้นมีมากกว่าด้านนอกเป็นอย่างมาก แค่จุดนี้ก็ไม่ได้ทำให้หานลี่ขบคิดอะไร พลันควบคุมลำแสงหลีกหนีอีกครั้ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปข้างใน
เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจ หานลี่ก็กดลำแสงหลีกหนีให้ต่ำลง และยิ่งไปกว่านั้นก็ลดระดับความเร็วลง แฉลบผ่านเนินเขาทีละลูกๆ ไป
เขาที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีพลันแผ่จิตสัมผัสเข้าไปด้านในห่อหุ้มเอาไว้ในระยะสองสามลี้ ในเวลาเดียวกันสองตาก็ตรวจสอบรอบๆ ไม่หยุด
แค่บินเข้าไปในเทือกเขาได้พันกว่าลี้ สีหน้าตกตะลึงระคนดีใจของหานลี่ก็ไม่อาจปกปิดได้อีกครั้ง
ภายในเทือกเขาคาดไม่ถึงว่าทุกแห่งจะเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า แม้นว่าส่วนใหญ่จะเป็นแดนที่อันตราย และยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับต่ำ แต่จำนวนมากขนาดนี้ ก็ทำให้หานลี่รู้สึกดีใจเกินคาด
ถึงอย่างไรเสียเขาก็แค่พุ่งผ่านไปอย่างเร็วๆ เท่านั้น หากพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว อาจจะได้ประโยชน์รับผลประโยชน์จากเทือกเขาแห่งนี้เป็นอย่างมาก
คิดดูแล้วสมุนไพรระดับสูงก็น่าจะมีปะปนอยู่ไม่น้อย
นอกจากสมุนไพรวิญญาณแล้ว ฝูงอสูรในภูเขาก็มีอยู่จำนวนมากเกินกว่าที่หานลี่คาดคิดเอาไว้
แม้กระทั่งหานลี่ก็มองเห็นฝูงอสูรกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดด้วยแววตาที่ประหลาดใจ
ตอนนั้นเขาบินแฉลบผ่านระหว่างภูเขายักษ์สองลูกที่ค่อนข้างเป็นที่ราบที่โอบล้อมด้วยภูเขา ฉับพลันนั้นเสียงร้องของวานรและเสียงคำรามของอสูรชั่วร้ายพลันดังขึ้นจากภูเขายักษ์ทั้งสองลูก
จากนั้นกลางภูเขายักษ์ลูกหนึ่งพลันมีวานรยักษ์ขนสีขาวสูงสองจั้งจำนวนมากปรากฏขึ้น ภายใต้การนำของวานรยักษ์ร่างสีทองเรืองรอง มือถือพวกไม้กระบอง และกระบองหินเอาไว้ กระโจนเข้าไปหาภูเขายักษ์อีกลูกหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม
และกลางภูเขาอีกลูกหนึ่งก็มีอสูรหัววัวตัวเป็นสิงโตที่ดูโหดร้ายกรูกันออกมา ผู้นำกลับเป็นอสูรยักษ์ที่ร่างกายใหญ่โตกว่าพรรคพวกสองสามเท่า
ตรงกลางระหว่างทั้งสองเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างราบ กำลังยืนประจันหน้ากัน จิตสังหารแผ่ออกอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
วานรยักษ์เหล่านั้นกระโดดไปมาดุจเหาะเหิน ร่างกายมีพลังมหาศาล ส่วนอสูรโหดเ**้ยมหัววัวนั้นก็มีเขี้ยวและกรงเล็บที่แหลมคม หนังหนา ทั้งสองต่างดูพัดฟัดพัดเหวี่ยงกัน
สิ่งที่ทำให้หานลี่รู้สึกสนใจก็คือ วานรที่เป็นผู้นำและอสูรโหดร้ายเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีบางส่วนที่เบิกเนตรแล้ว ตนหนึ่งยิงก้อนหินยักษ์ในมือ ตนหนึ่งพ่นลำแสงสีเหลือง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอสูรปีศาจระดับสามและสี่
วานรยักษ์ขนสีทองหนึ่งในนั้นอาศัยความว่องไวของร่างกายมาเป็นข้อได้เปรียบ แต่จ่าฝูงของอสูรโหดเ**้ยมหัววัวเองก็ไม่ได้แย่เท่าใดนัก
ดังนั้นหลังจากที่ฝูงอสูรทั้งสองเข่นฆ่ากันได้ครึ่งชั่วยามจนรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว ในที่สุดจ่าฝูงทั้งสองก็เปล่งเสียงร้องคำรามยาวๆ ออกมา หมายความว่าหมายจะกลับไปยังยอดเขาของตนเอง
แค่ระหว่างยอดเขานั้นมีซากศพจากฝูงอสูรทั้งสองชนิดกองอยู่จำนวนมาก ดึงดูดความสนใจของวิหคประหลาดสองหัวที่ดูอัปลักษณ์ ให้มากัดกินซากศพเหล่านี้
หานลี่หลบซ่อนอยู่กลางอากาศสูง มองดูการต่อสู้ของฝูงอสูรอย่างออกรสชาติ เมื่อเห็นวานรยักษ์เหล่านั้นกำลังล่าถอย คาดไม่ถึงว่าจะมีวิธีเหมือนกับการสู้รบอย่างไรอย่างนั้น เขาพลันใจเต้นมีความคิดผุดขึ้นมาในหัว
นอกจากนี้แล้วขณะที่เข้าลึกเข้าไปในเทือกเขา แน่นอนว่าหานลี่ก็พบว่าอสูรประหลาดประเภทอื่นกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง บนยอดเขาสองสามลูกที่มีไอวิญญาณหนาแน่นที่สุด ดูเหมือนว่าจะมีแม้กระทั่งอสูรปีศาจระดับหกและเจ็ดหลบซ่อนตัวอยู่
หานลี่เองก็ขี้เกียจจะไปสนใจสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอำนาจคุกคามเพียงพอ จึงแค่ขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีบินลึกเข้าไปในเทือกเขาไม่หยุด
เทือกเขาแห่งนี้กว้างใหญ่มากกว่าที่หานลี่คิดเอาไว้
บินไปได้สองเดือนเต็ม คาดไม่ถึงว่าเขาจะยังบินออกจากเทือกเขาแห่งนี้ไม่ได้
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจ
ขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะย้อนกลับไปดีหรือไม่ กลับมีทะเลหมอกสีดำที่ไร้ขอบเขตปรากฏขึ้น ปกคลุมยอดเขายักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
หานลี่หยุดลงห่างจากทะเลหมอกไปสองสามลี้ อาศัยความสามารถของเนตรวิญญาณวารีกระจ่าง มองดูสถานการณ์ในทะเลหมอกด้วยสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าตรงปลายของทะเลหมอกไม่มีต้นไม้ใบหญ้าเลยสักนิด แม้กระทั่งก้อนหินดินทรายบนพื้นก็ยังออกเป็นสีดำและแตกระแหงเป็นอย่างมาก
ภายใต้สถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ แน่นอนว่าหานลี่จึงไม่ได้เสี่ยงบุกเข้าไป แต่ตะปบมือไปทางต้นไม้ที่หนาเท่าปากชามต้นหนึ่งด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นพลันถอนต้นไม้ออกมา ถูกหานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบลำต้นเอาไว้ในคราเดียว
รอบกายเปล่งลำแสงสีทองออกมา แขนข้างหนึ่งของหานลี่มีเกล็ดสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น โบกสะบัดอย่างรุนแรง
หลังจากที่เสียงแหวกอากาศดัง “สวบ” ดังสนั่นขึ้น ต้นไม้น้อยๆ ็พุ่งออกไปหาหมอกสีดำเป็นระยะทางสองสามลี้ราวกับลูกธนู
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ จ้องมองต้นไม้เล็กต้นนั้นโดยไม่ปริปากใดๆ
ฉากที่ทำให้เขาใจเต้นพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตาที่ต้นไม้น้อยๆ บินเข้าไปในหมอกสีดำ ต้นไม้ทั้งต้นก็เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเขียว ชั่วพริบตาก็เ**่ยวเฉากลายเป็นผุยผง
หานลี่มีสีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย
เขามองไปทางซ้ายทีขวาที หลังจากขบคิดชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็ควบคุมลำแสงหลีกหนีก็บินไปอีกด้าน
คาดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจบินไล่ตามขอบของทะเลหมอกไป ดูว่าจะเจอทางออกอะไรหรือไม่
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หานลี่พลันมาปรากฏตัวใกล้ๆ กับภูเขาขนาดย่อมที่อยู่ติดกับทะเลหมอก และภูเขาอีกด้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ภูเขาลูกนี้สูงประมาณสองสามร้อยจั้ง แต่ที่อยู่ตรงข้ามกับหานลี่กลับแบนราบ ราวกับว่าถูกผู้ใดใช้ความสามารถตัดออกอย่างไรอย่างนั้น
และตรงด้านที่เรียบเกลี้ยงของภูเขา มีตัวอักษรสีแดงโลหิตขนาดสองสามจั้งสามตัวเขียนอยู่
ช่วงเวลาที่หานลี่อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์นั้นได้เคยศึกษาตัวอักษรโบราณของเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ รวมทั้งตัวอักษรของเผ่าประหลาดมาสองสามชนิด แต่ตัวอักษรประหลาดทั้งสามตัวนั้น กลับไม่จัดอยู่ในนั้น เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นตัวอักษรของเผ่าประหลาดเผ่าอื่นที่เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจไม่เคยคบค้าสมาคมด้วย
แม้นว่าจะไม่เข้าใจความหมายของตัวอักษรเหล่านี้ แต่ตัวอักษรเหล่านี้ล้วนเป็นเส้นขีดดุจดาบ คาดไม่ถึงว่าจะให้ความรู้สึกถึงจิตสังหารที่รุนแรงต่อเขาเป็นอย่างมาก
เชื่อว่าหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อย แค่มองตัวอักษรเหล่านี้ ก็น่าจะถูกบีบให้ล่าถอยออกไป ไม่อาจมองดูภูเขาด้านนี้ได้นานแน่
แน่นอนว่าจากความสามารถของหานลี่ในตอนนี้ แน่นอนว่าจึงไม่ได้สนใจจิตสังหารนี้ เมื่อมองดูอย่างละเอียดกลับพบว่าตัวอักษรเหล่านี้ดูเหมือนจะเก่าแก่มากแล้ว ภูเขาหินรอบๆ ก็ผุกร่อนไปไม่น้อย แม้แต่ตัวอักษรทั้งสามก็ยังรางเลือนไม่ชัดเจน
หานลี่ครุ่นคิดอยู่ที่เดิมเงียบๆ ชั่วครู่ เมื่อไล่ตามทะเลหมอกสีดำไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ผลคือหลังจากผ่านไปสองสามวัน ในที่สุดก็บินออกจากเทือกเขาได้
แต่ไม่รอให้เขาได้รู้สึกดีใจ หลังจากมองเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้ว ร่างทั้งร่างกลับตะลึงงัน
ที่นี่คือทะเลที่ติดกับทะเลทราย ไกลออกไปมีน้ำทะเลสีแดงสดที่กำลังปะทะเข้ามาชะล้างหินโสโครกไม่หยุด
หานลี่ลูบใต้คางยืนอยู่กลางอากาศ มองไปยังทะเลผืนนี้โดยไม่ปริปากใดๆ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ฉับพลันนั้นลำแสงหลีกหนีพลันปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งบินกลับไปทางที่บินมา ตรงไปยังอีกด้านของทะเลหมอกสีดำ
ครั้งนี้หานลี่ใช้กำลังเต็มเหยียด หลังจากผ่านไปสิบกว่าวัน กลับมาปรากฏตัวบนเนินเขาที่ใกล้กับทะเลอีกแห่งหนึ่ง
ในที่สุดหานลี่ก็มั่นใจว่าตนเองน่าจะอยู่ในเกาะยักษ์แห่งหนึ่ง
เกาะยักษ์แห่งนี้น่าจะเป็นเกาะที่มีอยู่น้อยมาก และยิ่งไปกว่านั้นเกาะแห่งนี้น่าจะมีรูปทรงยาว ครึ่งหนึ่งคือที่เขาอยู่ อีกครึ่งหนึ่งกลับเป็นที่ที่ทะเลหมอกสีดำปกคลุมอยู่
เดิมทีหานลี่ยังคิดจะอ้อมทะเลหมอสีดำไป ดูว่าอีกด้านของเกาะคืออะไรกันแน่
ผลคือเขาอ้อมเกาะแห่งนี้ไปได้หนึ่งเดือน คาดไม่ถึงว่าจะไม่เห็นปลายทาง ในเกาะยังคงมีทะเลหมอกสีดำปกคลุม
หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึง หันหัวกลับไปทางเดิมเอาเสียเลย
ดูแล้วเขาน่าจะอยู่ในคาบมหาสมุทรยักษ์ ไม่ใช่เกาะที่โดดเดี่ยวอะไร มิเช่นนั้นเกาะกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ คงกลายเป็นแผ่นดินที่เป็นเอกเทศแล้ว
ทว่าไม่ว่าที่นี่จะเป็นคาบสมุทรหรือว่าเกาะ ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรสำหรับเขา
นอกจากทะเลหมอกสีดำที่แปลกประหลาดเหล่านั้นแล้ว สถานที่ที่เหลือบนเกาะก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งนัก ส่วนไอวิญญาณที่หนาแน่นมากในเทือกเขา ก็เป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญเพียรที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
แต่เมื่อหานลี่นึกถึงสิ่งมีชีวิตระดับเดียวันที่ปรากฏตัวที่ชายหาดแล้ว คาดไม่ถึงว่าเกราะที่กว้างใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีปีศาจที่แข็งแกร่งยึดครองอยู่ ช่างแปลกประหลาดจริงๆ
และยิ่งไปว่านั้นอสูรปีศาจแปลงกายระดับแปดอย่างปีศาจปลาหมึกตัวนั้น เมื่อเห็นเขาก็หันกายหนีโดยไม่สนสิ่งใด ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกกังขาในใจ
หานลี่ขบคิดอยู่นานก็ไม่อาจหาข้อสรุปอะไรได้ แต่เพื่อเป็นการป้องกัน ควรเตรียมเวลาหาว่าใกล้ๆ นี้มีเกาะอื่นๆ หรือมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งพอจะคุกคามเขาได้หรือไม่ก่อนจะดีกว่า
ดังนั้นหนึ่งเดือนที่เหลือ หานลี่จึงใช้ครึ่งหนึ่งของเกาะแห่งนี้เป็นศูนย์กลาง ตรวจสอบผิวน้ำทุกอย่างอย่างละเอียดในรัศมีแสนกว่าลี้
ผลคือนอกจากเกาะร้างสองสามเกาะที่ไม่มีมูลค่าแล้ว ก็ไม่พบสิ่งใดอีก
ก้นทะเลรอบๆ มีอสูรทะเลอยู่สองสามตัว แต่ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจปลาหมึกที่เคยพบมากนัก และยังไม่เบิกเนตร จึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร
เช่นนั้นหานลี่จึงรู้สึกวางใจ กลับไปยังเทือกเขายักษ์ เตรียมฝึกบำเพ็ญเพียรที่นี่สักระยะแล้วค่อยว่ากัน
ภายใต้การคัดเลือกอย่างละเอียด เขาเลือกภูเขายักษ์ที่มีไอวิญญาณยอดเยี่ยมที่สุด ขุดเนินเขากว่าครึ่งให้กลายเป็นถ้ำพำนักขนาดยักษ์ หลังจากวางเขตอาคมเรียบร้อย ตนเองก็ย้ายเข้าไป
ถ้ำพำนักถ้ำนี้อยู่ใกล้กับขอบของเทือกเขา ห่างจากทะเลหมอกสีดำไปเป็นระยะทางประมาณสิบกว่าวัน แม้ว่าทะเลหมอกจะมีอันตรายอะไรจริงๆ ก็ไม่อาจสร้างผลกระทบอะไรให้เขาได้แน่
เพียงพอจะให้เขามีปฏิกิริยาตอบสนองและเตรียมตัวได้ทัน
หลังจากที่หานลี่นำสมุนไพรที่พกมาทั้งหมดปลูกลงไปในถ้ำพำนักแล้วคนก็เข้าไปในห้องลับทันที เริ่มสาละวนอยู่กับงาน
ชั่วขณะนั้นกำไลเก็บของบนข้อมือพลันพุ่งออกมาจากมือ หลังจากหมุนวนอยู่กลางอากาศ ลำแสงสีเขียวก็ม้วนออกมา ซากคางคกเที่ยงแท้ดวงตาสีเขียวมรกตตัวใหญ่สองตัวตัวเล็กเจ็ดตัวพลันปรากฏขึ้นบนพื้น แทบจะกินพื้นที่กว่าครึ่งของห้องลับเอาไว้
ซากศพทั้งหมดต่างมียันต์ประหลาดๆ หลากสีสันสองสามสายแปะอยู่ เพื่อไม่ให้รางของอสูรเน่าเปื่อย และทำให้ประสิทธิภาพของโลหิตวิญญาณลดลง
หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ชี้ไปที่กำไลเก็บของอีกครั้ง ขวดหยกสีขาวบริสุทธิ์ขวดหนึ่งปรากฏขึ้น
อีกมือหนึ่งพลันตะปบไปทางคางคกน้อยจากกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นคางคกตัวนั้นพลันลอยขึ้น
ร่ายนิ้วมือไปมาเบาๆ ลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นบนซากของคางคกน้อยพลันมีไอกระบี่สายหนึ่งพุ่งทะลุผ่านเป็นรูเล็กๆ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ด้านในพลันมีของเหลวเหนียวๆ ไหลรินออกมา เปล่งแสงระยิบระยับ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสีเงินขาว